ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 71-5 ตกเลือด
อวิ๋นเสวียนฉั่งฟังถึงตรงนี้ ก็พอจะชัดเจนบ้างแล้ว จึงชายตามองไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่นั่งอยู่ข้างกาย พอเห็นนางเหงื่อกาฬหลั่งไหล ก็รู้แล้วว่านางต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่ แต่ทำไมนางถึงต้องดีกับพี่เฉียวขนาดนี้ด้วยเล่า
และเมื่อได้ยินมารดาถาม อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงได้แต่ตอบ
“โดยทั่วไป เจ้าของตั๋วแลกเงินที่มีเลขที่และตราสัญลักษณ์ก็คือขุนนางในราชสำนัก และเงินทองในจวนข้าส่วนใหญ่ สะสมไว้ในรูปแบบของตั๋วแลกเงินมีเลขที่และตราสัญลักษณ์…”
“หมายความว่า เงินค่าไถ่ตัวแม่นางหงเยียน แปดเก้าส่วนมาจากภายในจวนของเรา” อวิ๋นหว่านชิ่นพูด พลางจ้องมองใบหน้าที่ซีดเซียวของไป๋เสวี่ยฮุ่ย “ซึ่งนอกจากท่านแม่แล้ว ข้าก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่า ยังมีนายคนไหนในจวนที่ดีกับพี่เฉียวได้ถึงเพียงนี้อีก”
ถ้ามิใช่ภารกิจสำคัญ นายไหนเลยจะตกรางวัล จ่ายค่าเหนื่อยให้มากมายขนาดนี้ ถงฮูหยินประสบการณ์มากกว่า สมองพลันวาบ เมื่อเดาได้เช่นนี้ ก็กัดฟันแน่น
เมี่ยวเอ๋อร์เห็นคุณหนูใหญ่คุมสถานการณ์สำเร็จ จึงนำกล่องใบเล็กในมือของหงเยียนมาไว้ในมือตน เปิดออก แล้วหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆ ขึ้นมาปึกหนึ่ง เห็นรอยนิ้วมือสีแดงประทับไว้ที่ด้านหลังของกระดาษทุกแผ่น มองผ่านๆ เหมือนรอยนิ้วมือของคนเดียวกัน
อวิ๋นเสวียนฉั่งกับถงฮูหยินรับกระดาษมาดูคนละแผ่น เป็นใบแจ้งหนี้ของบ่อนการพนันจี๋เล่อ ซึ่งทั้งหมดเป็นของพี่เฉียว น้อยหน่อยก็ไม่กี่ตำลึง มากหน่อยก็หลายสิบตำลึง ปึกๆ หนึ่งนับคร่าวๆ อย่างน้อยก็มีหนี้รวมหลายร้อยตำลึง
“บ่อนในเมืองหลวงที่ใดไม่มีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังบ้าง ผู้ที่ติดหนี้แล้วไม่ใช้หนี้ บ่อนจะหักแขนหักขาแทน ซึ่งมีอยู่มากมาย แต่ผู้ที่มีหนี้บานเบอะอย่างพี่เฉียว กลับไม่ถูกบ่อนเล่นงาน นี่ก็แปลก ลูกจึงให้คนไปสืบดู ถึงได้รู้ว่า มีคนใช้หนี้แทนพี่เฉียวจนเกลี้ยง ชนิดไม่ต้องพูดจากันอีก”
ริมฝีปากอวิ๋นหว่านชิ่นขยับ “หนี้สินมากมายก่ายกองเช่นนี้ เขาไม่จ่ายเป็นตัวเงินกัน จึงยังต้องใช้ตั๋วแลกเงิน ซึ่งตั๋วแลกเงินนี้ มีตราสัญลักษณ์และเลขที่กำกับไว้หรือไม่นั้น ท่านพ่อสามารถตรวจดูได้”
เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ ยังจะต้องพูดจาอะไรกันอีก การใช้เงินเกือบพันตำลึงซื้อตัวบ่าวคนหนึ่ง ยังจะใช่เรื่องอะไรเล็กๆ อีก
อวิ๋นเสวียนฉั่งขยำใบแจ้งหนี้ทั้งหมด แล้วบีบให้เป็นก้อนๆ เดียว ก่อนโยนลงบนพื้น
“หญิงชั่ว! มีอะไรปิดบังข้ากันแน่! หรือต้องให้ข้าสืบด้วยตัวเองก่อน เจ้าถึงจะยอมพูดความจริงออกมา!”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเหงื่อไหลไม่หยุด กล้ามเนื้อท้องคล้ายบิดตัวอย่างต่อเนื่อง ในท้องปวดเสียดขึ้นมา ฟ้าแลบแปลบปลาบ นางรู้สึกแต่เพียงเมฆดำปกคลุมเหนือศีรษะ แต่ให้ตายอย่างไรก็ยอมรับไม่ได้ จึงพูดตะกุกตะกัก
“เถามอมอมีบุญคุณกับข้า แม้นางทำผิด แต่สุดท้ายก็มีจุดจบที่อเนจอนาถ ข้าเห็นใจนางเป็นอย่างยิ่ง จึงอยากดีกับหลานของนางให้มากๆ…”
ผียังไม่เชื่อคำพูดเช่นนี้ กระทั่งนางเองก็ยังขาสั่น ยืนไม่ขึ้น
อวิ๋นหว่านชิ่นดึงผ้าอุดปากพี่เฉียวออก
“โอกาสสุดท้าย ถ้าสารภาพ ก็ทรมานน้อยลง…ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้ว”
พี่เฉียวแค้นที่ไป๋ฮูหยินที่ไม่ช่วยตนอยู่ก่อนหน้า พอเห็นด้านหนึ่งเกิดเรื่อง คุณหนูใหญ่พาหงเยียนเข้ามา พร้อมใบแจ้งหนี้ของตน ตรงหน้ามีพยานหลักฐานครบถ้วน ตนยังจะแก้ต่างอะไรได้
ต้องรักษาตัวให้รอดก่อน จึงตัดสินใจเด็ดขาด
“ผู้อาวุโส นายท่าน คุณหนูใหญ่! บ่าวถูกฮูหยินบีบบังคับ! ฮูหยินสั่งให้บ่าวไปเป็นเพื่อนคุณชายที่บ้านสวน แล้วกำชับบ่าวว่า ถ้ามีโอกาส ก็…”
“ก็อะไร!” ถงฮูหยินชี้ถามอย่างดุดันพลางหน้าพี่เฉียว
หวงน้าสี่ถอยไปอยู่อีกด้านแต่แรกแล้ว คิดไม่ถึงว่าการก่อเรื่องของตนในครั้งนี้ กลับกลายเป็นการเปิดโปงเรื่องชั่วช้าของไป๋เสวี่ยฮุ่ยไปได้ จึงลอบดีใจ พลางตั้งใจฟังจนหูผึ่ง
พี่เฉียวกลืนน้ำลาย “…ถ้ามีโอกาส ก็อย่าปล่อยให้คุณชายกลับมาอีก!”
กลุ่มคนถลึงตามองไป๋เสวี่ยฮุ่ยเป็นจุดเดียว
“พูดจาเหลวไหล!” ตีให้ตายไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็ไม่ยอมรับ
“ตอนนั้นบ่าวตกใจมาก ไม่กล้า…แต่” พี่เฉียวพูดต่อ
“แต่ฮูหยินรู้ว่าบ่าวเคยไปเที่ยวที่เรือสำราญว่านชุนมาก่อน และถูกใจในตัวหงเยียน จึงบอกว่าถ้าเรื่องนี้สำเร็จ จะไถ่ตัวหงเยียนให้ และจะใช้หนี้ที่บ่อนจี๋เล่อแทน อีกทั้งจะช่วยสร้างครอบครัว สร้างกระท่อมหลังเล็กๆ แยกออกมาต่างหากให้บ่าว! ตอนนั้นบ่าวโลภ จึงรับปากนาง บ่าวอยู่ข้างกายคุณชายมาหลายปี มีความผูกพันอยู่ แล้วจู่ๆ จะให้บ่าวฆ่าคุณชายกับมือ บ่าวทำไม่ลง พอคิดว่าบนเขาหลงติ่งมีหน้าผาสูงชัน มีสัตว์ร้าย และสัตว์มีพิษมากมาย บ่าวจึงพาคุณชายขึ้นเขาไปเที่ยวเล่น แล้วปล่อยปละละเลย ทิ้งคุณชายไว้ คิดว่าคุณชายไม่น่าจะรอดกลับมา…นี่…นี่เป็นก้าวที่ผิดมหันต์…นายท่าน ผู้อาวุโส ยกโทษให้บ่าวด้วย! ถ้าไม่ใช่เพราะฮูหยินหลอกล่อและบีบบังคับ รับรองว่าบ่าวไม่มีทางคิดทำอะไรชั่วร้ายเช่นนั้นเป็นอันขาด! ขอพวกท่านเห็นแก่บ่าวที่สารภาพ เมตตาลดโทษให้บ่าวด้วย!”
พอฟังถึงตรงนี้ ถงฮูหยินก็สั่นไปทั้งตัว นังงูพิษ ชั่วช้าสามานย์!
ทีแรกนางคิดว่าสะใภ้รองแค่ขาดความระมัดระวังในการเลี้ยงดูทายาทสืบสกุล คิดไม่ถึงว่าจะใจดำอำมหิตถึงเพียงนี้ และเนื่องจากนางโกรธจัด ร่างจึงโงนเงน จนเกือบหงายหลังล้ม ดีที่หวงน้าสี่ตาไวมือไว พยุงนางไว้ได้ก่อน
“ท่านแม่เย็นไว้ โกรธไปก็เสียสุขภาพเปล่าๆ!”
ถงฮูหยินยืนขึ้น ฟันสั่นกระทบกันขณะพูด “บ้านสกุลอวิ๋นข้าโชคร้ายมานานหลายปี ที่แท้ในบ้านก็เลี้ยงงูพิษต่ำทรามเอาไว้นี่เอง! เจ้ารอง เจ้าจัดการเอาเองก็แล้วกัน มีฐานะเป็นเมียน้อย แต่ไม่ทำดีกับเมียหลวงก็แล้วไป ยังมีจิตคิดร้ายอีก! ไข่ในหินคนเดียวของเจ้า เกือบจบชีวิตด้วยเงื้อมมือเมียน้อยของเจ้าแล้วไหมล่ะ!”
อวิ๋นเสวียนฉั่งกำลังโมโหจนหอบหายใจ ไม่แม้แต่มองคนข้างกาย ตวาดเสียงดัง
“เด็กๆ ลากตัวฮูหยินไปที่ห้องบูชาบรรพชน!”
ฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว สายฟ้าฟาดเปรี้ยง ราวกับจะแยกท้องฟ้าออกจากกันก็มิปาน และกำลังแยก
เขี้ยวกางกรงเล็บ ฉีกม่านราตรีที่คลี่คลุมอยู่ด้านล่างอย่างโหดร้าย
แสงสีเงินส่องต้องใบหน้าไป๋เสวี่ยฮุ่ย ทำให้ยิ่งขาวซีดผิดมนุษย์มนา นางพลันสติแตก ก้าวเข้าหาอวิ๋นหว่านชิ่นที่อยู่ด้านล่างพลางเงื้อมือขึ้น
“นังตัวดี! นังสารเลว! ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้า ล้วนเป็นเพราะเจ้า เจ้าทำร้ายข้า เป็นเจ้าที่ทำร้ายข้า เพราะเจ้าไม่อยากเห็นข้าได้ดีใช่ไหม ข้าจะบอกให้ แม่เจ้าน่ะไม่ได้เรื่อง ถูกข้าเหยียบจนตาย เจ้าก็เหมือนกัน ช้าเร็วก็ต้องตายกลายเป็นผี ด้วยน้ำมือข้า…”
ถึงขั้นนี้แล้ว นางยังปากแข็งเหมือนปากเป็ด อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสีหน้านางซีดขาวราวหิมะ ดวงตาแดงก่ำ น่าเกลียดสุดจะเปรียบ ก็คร้านที่จะหลบหลีก
“ยังไม่รีบขวางนังแพศยาที่เจตนาฆ่าคนทำร้ายคนไว้อีก!” ถงฮูหยินตะคอก
เสียงซู่ซ่า ฝนเม็ดใหญ่ตกลงมาพร้อมเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบ ในที่สุดก็ตกลงมาจนได้
บ่าวที่อยู่ข้างหน้าก้าวเข้ามาขวางทางไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่ด่าทอไม่หยุด ทว่านางยังไม่ทันเข้าใกล้อวิ๋นหว่านชิ่น อาการปวดท้องแบบบีบๆ บิดๆ ก็ถึงขีดสุด!
นางหยุดชั่วขณะ ด้วยมีอะไรบางอย่างไหลลง แล้วหลุดออกมา “อา…”
นางทรุดลงกับพื้น แต่พยายามประคองตัวให้ลุกขึ้นยืน พอจับหลังกระโปรง มือก็เต็มไปด้วยโลหิต และมีก้อนอะไรแข็งๆ ชิ้นเล็กๆ ปะปนมาด้วย
“อา…อา! ฮู ฮูหยินเลือดไหลเยอะมาก!” อาเถาร้องเสียงดังเป็นคนแรก!