ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 79-4 ท่านสามไล่คน
เรื่องที่โรงละคร ทำให้รัชทายาทอย่างเขาตกใจ แต่ไม่อันตราย และเนื่องจากเขาออกจากวังในชุดสามัญชน เรื่องจึงมิได้แพร่งพรายออกไป แต่หลังจากเสด็จพ่อรู้ ก็เพียงส่งขุนนางไม่กี่คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มาสอบถามเขา ก่อนสืบเป็นการภายใน
สวี่มู่เจินเกรงว่าจะกระทบถึงญาติผู้น้อง จึงขอร้องเขาไว้ก่อนว่า ไม่ให้บอกว่าญาติผู้น้องเป็นคนแจ้งให้ทราบ
เขารู้ว่าพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ล้วนต้องถูกสอบสวน และผู้ต้องสงสัยจะถูกจับกุม กักขัง กระทั่งถูกทรมาน ถ้าบอกว่าอวิ๋นหว่านชิ่นเป็นคนแจ้งให้ตนหนีออกไปก่อน กรมอาญาก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะนำเสนอว่านางเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย และต่อให้เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง นางก็หนีไม่พ้นที่จะถูกสอบสวนอยู่ดี
ซึ่งสำหรับคุณหนูกุลสตรีแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดี ดังนั้น ตอนรัชทายาทถูกสอบถาม จึงมิได้บอกว่าวันนั้นพบเจอคุณหนูอวิ๋น ยิ่งมิได้บอกว่าคุณหนูอวิ๋นเป็นคนแจ้งให้ทราบ
ร่างอันสูงโปร่งของรัชทายาทประดุจต้นไผ่ที่งอกงามเร็ว ค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้ ก่อนตอบคำถามเมื่อครู่ของนางเบาๆ
“เสด็จพ่อกำลังสืบหามือระเบิด แต่ยังไม่พบเบาะแส เจ้าสนใจในตัวมือระเบิดมากขนาดนี้เลยหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองไกลไปยังภูเขาที่อยู่นอกพระราชวัง พลางพยายามพูดให้เบาและเร็วที่สุด
“มิได้สนใจอะไร ถ้าเป็นความลับ หม่อมฉันก็ไม่ถามอีก”
ว่าแล้วก็หันหน้ามาเงียบๆ เห็นรัชทายาทกำลังมองทิวทัศน์ทะเลสาบอย่างสงบนิ่ง
ไม่รู้ทำไม นางถึงได้รู้สึกว่า สีหน้าของรัชทายาทดูเหมือนไม่สนใจก็จริง แต่ก็เหมือนเข้าใจเจตนาของมือระเบิดอย่างถ่องแท้ และมีรายชื่ออยู่ในใจแล้ว
…
ตำหนักชุ่ยหมิง
สนมเอกเฮ่อเหลียนแต่งหน้าเสร็จเรียบร้อย หลานถิงจึงยิ้มน้อยๆ พลางเดินเข้ามา พอเห็นสนมเอกที่ผ่านการแต่งเนื้อแต่งตัวจากผู้เชี่ยวชาญอย่างจื่อซวง จนสวยสดงดงาม โดดเด่นไม่แพ้ใคร ก็รู้สึกดีใจยิ่ง
ตั้งแต่ฝ่าบาทมาค้างที่ตำหนักชุ่ยหมิงในคืนนั้น ก็มาพักติดต่อกันอีกหลายคืน จะเดินเล่นชมสวนชมทะเลสาบ ก็ต้องพาสนมเอกไปด้วย คล้ายกลับคืนสู่ความรักที่หวานชื่นในวันวาน
วังหลังก็เป็นเช่นนี้ แดงสู้กับขาว คนล้มถูกข้าม ผู้คนแย่งกันพึ่งพาภูเขาสูง
โดยระยะนี้ สายตาของคนในวังที่มองสนมเอก มิได้เมินเฉยเฉกเช่นเดิมอีก กระทั่งผู้ที่มีดวงตาบนหน้าผากอย่างมเหสีรองเหวย ก็ยังไม่กล้าเรียกใช้สนมเอกสุ่มสี่สุ่มห้า อีกทั้งสนมเอกบ้านตนนั้น เมื่อเป็นที่โปรดปราน ก็มิได้ดีใจจนออกนอกหน้า และมิได้แก้แค้น ยังคงใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างเงียบสงบในตำหนักชุ่ยหมิง เพียงแต่พอได้เป็นคนโปรด ก็เหมือนสายฝนอันชื่นใจ รูปร่างและหน้าตาจึงดูอวบอิ่มและสวยกว่าเมื่อก่อน
พอคิดถึงตรงนี้ หลานถิงก็รายงานอย่างยินดีปรีดาว่า
“พระสนมเอก ฉินอ๋องเข้าวังแล้วเพคะ”
องค์ชายย่อมมางานเลี้ยงสังสรรค์ในวันนี้ และองค์ชายที่มาก่อน โดยทั่วไปจะพักอยู่ในที่พักสำหรับองค์ชาย เพื่อรองานเลี้ยงเริ่ม แต่พอสนมเอกเฮ่อเหลียนกลับมาเป็นคนโปรดอีกครั้ง จึงมีบารมี โอรสก็พลอยได้รับความยืดหยุ่นไปด้วย ก่อนงานเลี้ยงเริ่ม สามารถมาตำหนักพระมารดานั่งคุยพักผ่อนหย่อนใจได้
“รีบเชิญเข้ามา” สนมเอกเฮ่อเหลียนตอบในทันที
หลานถิงจึงออกไปรับฉินอ๋องเข้ามา
นอกม่านไข่มุก ซย่าโหวซื่อถิงถวายพระพร ทว่าสองแม่ลูกเพิ่งนั่งลงสนทนาปฏิสัมพันธ์กันไม่กี่ประโยค ก็ใกล้ถึงเวลาเริ่มงานแล้ว
จางเต๋อไห่เข้ามา โค้งกายทักทายฉินอ๋องก่อน ค่อยรายงานที่ข้างหูสนมเอก “คุณหนูอวิ๋นเข้าวังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่ในตึกไจซิง กำลังรอพระสนมเอกเรียกให้ไปศาลาปทุมหอมด้วยกัน”
เสียงแม้เบา แต่ซย่าโหวซื่อถิงกลับได้ยินอย่างชัดเจน ไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ถ้วยชาในมือจึงเอียงเล็กน้อย
นาง เข้าวังแล้ว?
สนมเอกเฮ่อเหลียนเห็นโอรสแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง แต่หูกลับผึ่งอยู่ตรงนั้น จึงอดขำไม่ได้ แล้วก็เกิดความคิดที่จะจับผิดขึ้นมา จึงบอกจางเต๋อไห่ว่า
“ดี คุณหนูอวิ๋นเข้าวังเป็นครั้งแรก ไม่คุ้นกับสถานที่และผู้คน เจ้าดูแลนางดีหรือเปล่า อย่าทำให้นางเบื่อเสียก่อนล่ะ”
“สนมเอกวางพระทัย” จางเต๋อไห่ยิ้มพลางว่า “ในตึกไจซิงมีคุณชายและคุณหนูชนชั้นสูงอยู่ไม่น้อย ซึ่งดูไปแล้ว คุณหนูอวิ๋นเป็นคนที่ดูแลตัวเองได้ดี ไม่เหมือนหญิงสาวที่ขี้ขลาด ไม่แน่ว่าตอนนี้ อาจรวมกลุ่มอยู่กับคุณหนูท่านอื่นๆ แล้วก็เป็นได้”
สนมเอกเฮ่อเหลียนชำเลืองมองโอรส ยังไม่ขยับอีก? อดทนเก่งจริงจริ๊ง จึงหัวเราะออกมา ทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้นเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ดี…ได้ยินว่าหนุ่มๆ ชนชั้นสูงที่มาในครั้งนี้ งานดีกันทั้งนั้น หลายคนนอกจากเป็นลูกชายของขุนนางคนสำคัญแล้ว ยังมีเล่อจวิ้นอ๋อง ซุนจวิ้นอ๋อง ลูกโทนของเสด็จน้าเหวย หรือแม้แต่หลานของเจี่ยงฮองเฮาที่ยังไม่ได้แต่งเมียหลวง ก็มากันหลายคนอยู่…สรุปแล้ว แต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นลูกท่านหลานเธอ ก็ดี บอกให้คุณหนูอวิ๋นคลุกคลีกับพวกเขาให้มากๆ หน่อย หนุ่มสาวถ้าสบตากัน ก็รับประกันไม่ได้ว่า ใช่พรหมลิขิตหรือไม่ ซึ่งก็เป็นไปตามจุดประสงค์ที่ไทเฮาจัดงานเลี้ยงสังสรรค์พอดี”
จางเต๋อไห่อึ้ง เหลือบมองฉินอ๋องเงียบๆ แต่ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไร พอหันมองสีหน้านายหญิง ก็เข้าใจแล้วว่า สนมเอกกำลังลองใจโอรสอยู่!
จางเต๋อไห่จึงกระแอมไอออกมาสองที
“พ่ะย่ะค่ะ ใช่เลย ยังคงเป็นสนมเอกที่คิดได้รอบคอบ พูดถึงคุณหนูอวิ๋นแล้ว นางทำให้บ่าวตกตะลึง เดิมทีบ่าวคิดว่านางไม่เคยเข้าวัง ไม่เคยออกจากบ้านไปไหนไกลๆ ควรรู้สึกประหม่าถึงจะถูก คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นกิริยามารยาทที่เหมาะสม ยิ่งท่าทางก็มีส่วนคล้ายสนมเอกอยู่บ้าง เวลาอยู่ในกลุ่มคนชั้นสูง ล้วนโดดเด่นกว่าใคร! จึงทรงวางพระทัย ดวงตาสุกสกาวคู่นี้ของบ่าว มองธรรมชาติของคนออก จากสายตาของบ่าว เมื่อก่อนในแวดวงกุลสตรี คุณหนูอวิ๋นไม่เป็นที่รู้จัก แต่วันนี้พอมาปรากฏโฉมในหมู่ชายหนุ่มชั้นสูง รับรองต้องมีแย่ง! ซึ่งบ่าวมิได้พูดจาเกินเลย ตอนบ่าวเพิ่งส่งคุณหนูอวิ๋นเข้าไปในตึกไจซิง พอหันกลับไปมอง ก็เห็นคุณชายสูงศักดิ์ก้าวเข้าไปทักทายนาง…”
ในม่าน ยังไม่ทันสิ้นเสียงของจางเต๋อไห่ คนที่อยู่นอกม่านก็หน้าเครียดเล็กน้อย ค่อยๆ วางถ้วยชาลง
“เสด็จแม่ ทำไมถึงเชิญคุณหนูอวิ๋นเข้าวังมาได้” น้ำเสียงบางเบา สงสัยอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่พอใจ
ในที่สุดโอรสก็ทนไม่ไหวแล้ว สนมเอกเฮ่อเหลียนจึงขยับริมฝีปาก แต่ไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ก็แม่ชอบยาสระผมดอกมะลิขวดนั้นมาก จะว่าไป ถ้าไม่ใช่ยาสระผมขวดนั้น แม่ก็อาจไม่ได้คืนดีกับฝ่าบาทเร็วขนาดนี้ และที่แม่เชิญคุณหนูอวิ๋นให้มาร่วมงานเลี้ยงในวังเป็นเพื่อน ก็เพราะอยากขอบใจนาง ได้ยินว่านางยังมิได้หมั้นหมาย จึงคิดว่าน่าจะใช้โอกาสนี้ ให้นางกับคุณชายสูงศักดิ์ได้สานสัมพันธ์กัน แม่จะได้ตอบแทนน้ำใจนางยังไงล่ะ”
ที่แท้เสด็จแม่ก็สืบมาก่อนแล้วว่าใครเป็นคนทำยาสระผม
พอซย่าโหวซื่อถิงฟังจบ ก็ขยับลูกกระเดือก “โอ้” ไม่รู้ทำไม เก้าอี้ผ้าแพรนุ่มคล้ายใส่ถ่านไว้ เผาจนเขาตื่นตกใจ ตอบกลับโดยไม่นิ่งและคล่องปากดังเดิม สักพักก็ลุกขึ้นยืน
“ลูกอยากฉวยโอกาสช่วงงานยังไม่เริ่ม ไปเดินเล่นในสวนหลวงก่อน” ขณะพูด คล้ายกินปูนร้อนท้องอยู่บ้าง
“ไปเถอะ” สนมเอกเฮ่อเหลียนยิ้ม ไฟลนก้นล่ะสิ? ต้องให้คนบังคับ ไม่รู้จะฝืนใจตัวเองไปทำไม
…
ในตึกไจซิง รัชทายาทเดินตรวจสองรอบ ก็บอกแค่ว่า ก่อนงานเลี้ยงเริ่ม ตนต้องซ้อมละครเฉลิมพระชนมพรรษาก่อน จึงอยู่นานไม่ได้ แต่ก่อนไปก็ยังฉวยโอกาสช่วงที่ไม่มีใครสนใจ พูดกับอวิ๋นหว่านชิ่นเป็นการส่วนตัวเงียบๆ ว่า
“บทละครเรื่องสังหารปีศาจจิ้งจอก เราแก้ตอนจบแล้ว เดี๋ยวชิ่นเอ๋อร์ไปดูที่ตำหนักบูรพาหน่อยไหม”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่คิดว่าเขาจะมีคณะละครอยู่ในวังจริงๆ จึงยิ้มอย่างอดไม่ได้ ก่อนกล่าววาจาส่งรัชทายาทออกจากตึกไจซิงตามมารยาท
ตอนรัชทายาทอยู่ เหล่าชายหนุ่มชนชั้นสูงรู้สึกเครียดอยู่บ้าง แต่พอรัชทายาทไป พวกเขาก็คืนสู่ความรู้สึกอิสระและผ่อนคลายตามเดิม และตอนนี้ สายตาทุกคู่ล้วนพุ่งไปที่คุณหนูอวิ๋น