ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 83-2 มาติดตามข้า ดีไหม
เกรงว่า หนิงซีฮ่องเต้ทรงอยากฮุบอำนาจของสกุลเหวยมานานแล้ว
เพียงติดที่ตำแหน่งโอรสสวรรค์ แม้สูงส่ง แต่ใช่ว่าจะสะดวกออกหน้าด้วยองค์เองทุกเรื่องไป โดยเฉพาะสกุลเหวยในตอนนี้ก็มิได้ทำผิดอะไร ย่อมไม่สามารถเล่นงานกันซึ่งๆ หน้า
จึงให้ไทเฮาออกหน้าโดยใช้การสมรส ลดทอนอำนาจสกุลเหวย ขวางไม่ให้สกุลเหวยเป็นใหญ่ต่อ ซึ่งคนสกุลเหวยก็ไม่โง่ พอเห็นว่าทรงพระราชทานลูกสาวขุนนางที่มีสถานะไม่สูงนักให้เป็นชายารองของเว่ยอ๋อง ก็ย่อมเข้าใจความหมายของราชสำนัก
และถ้าสกุลเหวยฉลาด ก็ต้องสรรหาวิธี ที่จะทำให้ฝ่าบาททรงวางพระทัย เช่น ลดบทบาทพรรคพวกที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ ลง เป็นต้น
แต่ถ้าไม่ยอม แล้วทำอะไรบางอย่างที่แสดงความไม่พอใจออกมา เช่นนั้น ฝ่าบาทก็อาจไม่เกรงใจอีก สรุปแล้ว ล้วนเป็นฝ่าบาทที่ได้ประโยชน์
ดูเหมือนว่า การจับคู่ที่คล้ายผิดฝาผิดตัวนี้ แท้จริงแล้ว ซ่อนอุบายของเหล่าเชื้อพระวงศ์ไว้หลายชั้น
ใครว่าเป็นฮ่องเต้ ไม่ต้องต่อสู้แย่งชิงอีก ก็ยังคงต้องชิงอำนาจเหมือนเดิม
เพียงแต่วิธีการแนบเนียนกว่าหน่อยเท่านั้น
ยิ้มของหญิงสาวปรากฏที่ดวงตา ซย่าโหวซื่อถิงเพียงรู้สึกว่ามีลูกไฟวาบผ่าน ผิวหนังร้อนผะผ่าว ใบหน้าของนาง เหมือนใบหน้านางมารที่นั่งอยู่ปลายเตียงในคืนนั้นไม่มีผิด ยิ้มเจ้าเลห์และ…หยิ่งทะนง
ลมหายใจของเขาหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ น้ำเสียงต่ำๆ พลันดังขึ้น
“เจ้ากลับรู้ไม่น้อย…”
“ท่านอ๋องพูดเหมือนหม่อมฉันกำลังสอดแนมอยู่” อวิ๋นหว่านชิ่นโน้มตัวเข้าหา “เรื่องราวล้วนแบอยู่ตรงหน้า แค่ยอมหรือไม่ยอมคิดให้มากหน่อยเท่านั้น”
นางรู้สึกว่าทรวงอกของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ากระเพื่อมขึ้นลง ลำคอจึงขยับ รีบว่า “นี่ก็สายมากแล้ว หม่อมฉันขอกลับไปรับใช้พระสนมเอกก่อน…”
แล้วก็ได้ยินเสียงลมจากด้านหลัง อวิ๋นหว่านชิ่นยืนนิ่ง ด้วยมีคนก้มศีรษะลงมาที่ข้างหู เมื่อครู่ตนยังไม่ทันพูดจบ ตอนนี้กลับได้ยินเสียง
“…เรื่องตัวเองไม่ยุ่ง มัวแต่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน ทำไมไม่ห่วงตัวเองให้มากกว่านี้”
อวิ๋นหว่านชิ่นเลิกคิ้วขึ้น “ท่านอ๋องรู้ได้อย่างไรว่าหม่อมฉันไม่ห่วงตัวเอง หรือการห่วงตัวเองต้องเอาแต่คิดหาวิธีจับผู้ชายชั้นสูง แล้วแต่งงาน? เดิมทีรู้สึกว่าท่านอ๋องไม่เหมือนคนอื่นอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว ก็เหมือนๆ กับคนทั่วไป”
เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน ไม่คิดวางแผนชีวิตว่าจะหาสามีดีๆ สักคนแต่งงานด้วย ยังนับเป็นอะไรได้
คำพูดเช่นนี้ กลับคล้ายคนที่เคยออกเรือนแล้วก็ไม่ปาน เคยเห็นทะเลมาแล้ว จึงไม่คิดมองแม่น้ำอีก…
ซย่าโหวซื่อถิงจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ดวงตาเฉยชา
“จะบอกว่า ข้อเสนอของข้าในครั้งก่อน เจ้ายังคงปฏิเสธ?”
อุตส่าห์เปลี่ยนเรื่องแล้วยังวกกลับมาจนได้
อวิ๋นหว่านชิ่นโค้งตัวลง
“ท่านอ๋องให้เกียรติฟังความเห็นจากหม่อมฉัน หม่อมฉันซาบซึ้งใจยิ่ง แต่ ในงานเลี้ยง ไทเฮามีเจตนาพระราชทานสมรสให้ท่านอ๋องกับคุณหนูอวี้ ทรงกำหนดให้คุณหนูอวี้เป็นชายาเอกของฉินอ๋องแล้ว ส่วนหม่อมฉันรู้ตัวดีว่า นิสัยไม่ดี ไม่ใช่คนอ่อนโยนที่จะยอมเป็นเมียน้อยและเชื่อฟังใครง่ายๆ ถ้าฝืนใจไป ก็รังแต่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุข และพลอยทำให้สามีไม่มีความสุขไปด้วย หม่อมฉันจึงเหมาะกับการเป็นเมียหลวงมากกว่า แม้สามีไม่ใช่ชนชั้นสูง อย่างน้อยก็ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่อึดอัดใจ…”
ชาติก่อน ตนใช้ชีวิตอยู่อย่างอเนจอนาถ ไม่เหมือนเมียด้วยซ้ำ ชาตินี้จึงต้องมีความสุขอย่างเต็มที่ ไหนเลยจะอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีก
เมื่อคิดกันคนละอย่าง ก็ต้องแยกทางกันเดิน พูดชัดเจนขนาดนี้ ฉินอ๋องท่าน ยังจะทำอย่างไรได้อีก
ก็แค่สมรสพระราชทาน ให้ได้ก็เก็บกลับคืนได้ จะกลุ้มว่าไม่มีทางแก้ไปทำไม
ซย่าโหวซื่อถิงยอมแพ้เป็นครั้งที่สอง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับครั้งก่อน ที่นางโพล่งออกมาว่า ‘ไม่ได้’ ก็นับว่าก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยก็ให้เหตุผลมาว่า ตนสวมหมวกเป็นอ๋อง…ไม่อ้อมค้อม ตรงดี
ต้นหอมหมื่นลี้ยืนอยู่อย่างสงบข้างตำหนักหลังหนึ่ง ฤดูใบไม้ร่วงคลืบคลานเข้าภาคกลางแล้ว กลิ่นหอมของดอกหมื่นลี้จึงจางหายไปแต่แรก เหลือเพียงดอกสีเหลืองอ่อนเ**่ยวๆ ไม่กี่ดอก ฝังอยู่ตามกิ่งใหญ่ พอลมเย็นพัดมา กิ่งไม้บนศีรษะของคนทั้งสองก็ไหวขึ้นไหวลงเบาๆ
รอสักพัก เสียงที่เคร่งขรึมของชายหนุ่มก็ดังขึ้นที่ข้างหู
“หรือว่า วันนี้ การกัดริมฝีปากของข้าจะเสียเปล่า”
อวิ๋นหว่านชิ่นใจฝ่อขึ้นมา
ฉินอ๋องมีโลกส่วนตัวสูง เหมือนบ่อน้ำที่ลึกเกินหยั่ง พฤติกรรมตามปกติ ถ้าไม่แสดงออกมาตรงๆ ก็จะเก็บไว้ในใจ คำพูดเมื่อครู่ น่าจะถือว่าทำลายขีดจำกัดของตัวเอง
เขาสะบัดชุดยาว สายตาสงบนิ่ง หันไปที่ระเบียง เอ็ดขันที “หลับตา!”
ขันทีตรงระเบียงจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ รีบหันหลังให้ ก่อนยกมือปิดตาทั้งสองข้าง
ชายหนุ่มหันหน้าเข้าหาหญิงสาวร่างเล็ก แล้วโค้งตัวลง เห็นชัดว่ากินแรงอยู่บ้าง ท้ายที่สุด ก็กุมมือนางไว้ ยังไม่วายพูดประชดอย่างจริงใจไปคำหนึ่ง “…โตแต่ใจ แต่ตัวไม่โต”
อวิ๋นหว่านชิ่นหน้าแดง เคืองอยู่บ้าง ก็อายุสิบสี่สิบห้าเอง จะสูงได้แค่ไหนเชียว ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษท่านที่สูงเกิน ยังมีหน้ามาหาว่าข้าเตี้ยอีก…
ไม่รอให้นางโกรธ ชายหนุ่มจับมือเล็กๆ มาแนบกับริมฝีปากตน ตรงที่ถูกกัดจนเป็นแผลแตก
อวิ๋นหว่านชิ่นตกใจ
เล็บของนางมนและใสวาว สะอาดจนจับมาใกล้ได้ หรืออยากจะกลืนเข้าไปด้วยซ้ำ เล็บไม่ยาวและทาสารสกัดจากดอกเทียนบ้านแดง เล็บจึงเป็นสีเดียวกับผิว ชุ่มชื่นและแวววาวอย่างเป็นธรรมชาติ
ซย่าโหวซื่อถิงไม่รู้ว่านางกำลังหลีกหนีอะไร ทั้งๆ ที่แอบช่วยเขาไว้ แต่กลับไม่ต้องการตกเขา ไม่เพียงไม่คิดตก ยังเหมือนพยายามรักษาระยะห่างกับเขา และเคารพนบนอบเขามาตลอดด้วย
แปลกมาก คล้ายกำลังปฏิบัติกับ…เจ้านายอย่างไรอย่างนั้น
ให้ตายเถอะ…แต่เขาไม่ต้องการให้นางเคารพเขาแบบนี้!
จึงจับนิ้วเล็กๆ มาสัมผัสเบาๆ ตรงปากแผลที่เพิ่งสมานเข้าหากัน พลางพูดเสียงนุ่ม
“ดูสิ เป็นแผลขนาดนี้แล้ว”
พูดไม่กี่คำ รัดกุมมาก แต่ทุกคำคล้ายเข้าไปรบกวนจิตใจนาง
น้ำเสียงเช่นนี้…งอนหรือ
ถ้านี่เป็นการแสดงความเจ้าชู้ตามแบบฉบับของเขา อวิ๋นหว่านชิ่นก็คงยอมแพ้แล้วจริงๆ
ไม่สอดคล้องกับรูปลักษณ์ภายนอกของเขาเลย
ทว่าถ้ามองดูริมฝีปากของเขาให้ดีๆ ก็รู้สึกสงสารจับใจอยู่เหมือนกัน
ขนาดกัดเนื้อตัวเองลงมาได้นี่ ใจต้องถึงพอควร
อวิ๋นหว่านชิ่นนึกถึงตอนที่ตนอยู่บ้าน ทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ แบบเด็กผู้หญิง แล้วไม่ทันระวัง เข็มทิ่มโดนนิ้ว ก็ยังเจ็บอยู่ครึ่งค่อนวัน หรือขณะเพิ่มอุณหภูมิหม้อดินเผาเพื่อต้มขี้ผึ้งหอม ไม่ทันระวัง จับโดนหม้อเข้า ยังต้องรีบจับติ่งหูตัวเอง แล้วกระโดดไปมา อย่าว่าแต่ฟันของคนเราเวลาประกบกัน เพื่อกัดริมฝีปากตัวเองให้แตก จะเจ็บขนาดไหน
ทันใด นางก็งุนงงไปสักพัก ชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ไม่ใช่ฮ่องเต้ในอนาคตที่มีสนมนางในห้อมล้อมเป็นร้อยเป็นพัน เขาในตอนนี้ เป็นแค่เขาเท่านั้น
อาจเปรียบเทียบไม่ค่อยเหมาะสม…แต่เขาในตอนนี้เหมือน…สุนัขตัวใหญ่กำลังนั่งบาดเจ็บอยู่บนพื้น สายตาเว้าวอน อยากได้ความรักความสงสาร
ไม่จำเป็นต้องให้เขาจับมือ นางเขย่งปลายเท้า ใช้นิ้วที่นุ่มนิ่มขาวเนียน สัมผัสริมฝีปากของเขา รอบรอยแดงช้ำตรงปากแผล และบริเวณผิวปากที่เรียบเนียน ค่อยเป็นค่อยไปอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน อมยิ้มพลางว่า
“แบบนี้เจ็บไหม…แบบนี้ล่ะยังเจ็บอยู่อีกไหม…แล้ว…แบบนี้ล่ะ หือ? ท่านอ๋อง?”
ที่ๆ นิ้วหยกสัมผัสโดน นอกริมฝีปากบาง คล้ายมีลูกไฟติดมาด้วย ค่อยๆ วูบไปวาบมา พร้อมกับเสียงที่จงใจบีบให้เล็กของหญิงสาว ยั่วยวนเหลือทน
ซย่าโหวซื่อถิงตระหนักแล้วว่า ตนกำลังเล่นกับไฟ เด็กสาวผู้นี้ ไร้ยางอายจริงๆ ไม่เคยกลัวผู้ชายมาแต่
ไหนแต่ไร ตนน่าจะคิดได้แต่แรกแล้วว่า นางจะเหมือนเด็กสาวบอบบางที่ม้วนอาย หดตัวไปหลบอยู่อีกด้านได้
อย่างไรกัน เข้าทางนาง กลับมายั่วหยอกตนตอบ!
เขาพลันตัดสินใจ กระชับมือเล็กๆ ไว้ แล้วใช้นัยน์ตาสีดำเข้มจ้องมองนาง
“มาติดตามข้า ดีไหม”
นี่เป็นคำพูดที่เกินเลยขีดจำกัดมากสุดในชีวิตของเขาที่ใช้พูดกับหญิงสาว
หกคำเท่านั้น แต่กินแรงเขาไปครึ่งหนึ่ง
และ ขณะเปล่งออกแต่ละคำ แผ่นหลังจนถึงต้นคอที่แข็งแกร่ง ยังมีเม็ดเหงื่อซึมออกมาไม่หยุด ความรู้สึกเช่นนี้ มิได้กินแรงน้อยกว่าตอนที่พิษกำเริบในทุกๆ เดือนเลย…