ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 84-3 กุลสตรีมีมลทิน
สกุลเจี่ยงของเจี่ยงฮองเฮามีเจี่ยงยิ่นเป็นที่พึ่งพิง พอเจี่ยงยิ่นจากไป อำนาจของฮองเฮาก็ลดลง รากฐานไม่แน่นดังเดิม ทำให้เจี่ยงฮองเฮาร้อนใจยิ่ง ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ พี่ชายถึงได้หลงใหลการบำเพ็ญเพียรนักหนา จึงส่งคนไปเกลี้ยกล่อมให้พี่ชายกลับราชสำนัก แต่เจี่ยงยิ่นตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้ว ชวนกี่ครั้งก็ไม่คิดคืนกลับ
และพอนับนิ้วดู ตอนนี้เจี่ยงยิ่นได้ปลีกวิเวกที่วัดในหุบเขาลึกได้สามสี่ปีแล้ว
โดยสองปีมานี้ พออำนาจเปลี่ยนมือไปอยู่กับสกุลเหวยของมเหสีรองเหวย เจี่ยงฮองเฮาก็ยิ่งร้อนใจ ไม่อยากยอมแพ้ จึงพยายามเชิญพี่ชายให้กลับมาอย่างไม่ลดละ และเมื่อเดือนก่อน ก็นำวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบห้ารอบของเจี่ยไทเฮามาเป็นข้ออ้าง ซึ่งที่สุดแล้ว ก็สามารถเชิญพี่ชายท่านนี้กลับมาอยู่ได้ไม่กี่วัน
ซึ่งขณะนี้พระมาตุลาเจี่ยงกำลังพักอยู่ที่เรือนเหยาหวาในตำหนักบูรพา ช่วงเช้าพอเข้าร่วมพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาเจี่ยไทเฮาเสร็จ ก็เสร็จสิ้นภารกิจ เหมือนเขาได้เข้าไปลาหนิงซีฮ่องเต้ตรงหน้าพระที่นั่งแล้ว และกำลังเตรียมตัวกลับวัด
ตอนนี้ พอขันทีน้อยได้ยินว่ารัชทายาทให้ไปเชิญเสด็จลุงมา ก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“เรียนรัชทายาท เกรงว่าพระมาตุลาอาจไม่มางานสังสรรค์เช่นนี้…บ่าวควรจะพูดอย่างไรดี”
รัชทายาทหันมองฉินอ๋องที่นั่งอยู่ข้างๆ พลางกลั่นกรองในใจ จากเนื้อความในกระดาษ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า เขาคิดจะทำอะไร จึงป้องปากกำชับขันทีน้อยไป
ขันทีน้อยฟังแล้วก็หันกาย วิ่งไปเรือนเหยาหวา
แล้วรัชทายาทก็ลุกขึ้นยืน พาคนในวังไม่กี่คนเดินออกจากที่นั่ง ตรงไปยังริมทะเลสาบเฉิงเทียน
ด้านเจี่ยไทเฮา พอฟังอวี้โหรวจวงกล่าวหาอวิ๋นหว่านชิ่นอย่างดุเดือดจนจบ ก็เงียบไปสักพัก ก่อนเอ่ย
“คุณหนูอวิ๋น เจ้าจะแก้ตัวเช่นไร เจ้าคบหาคนชั้นล่างพวกนั้นจริงๆ หรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นหันหาเจี่ยไทเฮา แล้วย่อตัวลง สีหน้าไม่เปลี่ยน ก่อนพูดอย่างอ่อนโยน
“ถ้าคนที่คุณหนูอวี้พูดถึงคือ เถ้าแก่เนี้ยของร้านที่ถนนจิ้นเป่า ก็เป็นจริงตามนั้นเพคะ”
“เจ้า…” พอเจี่ยไทเฮาเห็นนางยอมรับโดยดุสดีเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆ
“แต่” อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้น ดวงตากระจ่างใส ไม่กลัวที่จะเดิมพันข้างไทเฮาแต่อย่างใด “ไทเฮาพอจะฟังหม่อมฉันเล่าเรื่องราวทั้งหมดไหมเพคะ”
อายุน้อยแค่นี้ ไม่รู้ไปเอาพลังมาจากไหน แววตาไม่มีความกลัว ไม่มีความเสียใจให้เห็น กลับทำให้เจี่ยไทเฮาถอนหายใจออกมา “เล่าเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงยืดตัวตรง หันมองคุณหนูสูงศักดิ์ที่รายล้อมอยู่ น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย แต่กลับคล้ายมีเสาคานที่แน่นหนาค้ำจุนอยู่ ไม่มีวันพังทลาย
“หญิงผู้นั้นเดิมทีก็เหมือนคุณหนูทุกๆ ท่านในที่นี้ เกิดและเติบโตขึ้นในครอบครัวที่ดี มีพ่อแม่คอยเลี้ยงดู
มีพี่ชายที่รักนาง และเคยฝันเช่นกันว่าต่อไปจะแต่งงานกับสามีแบบไหน มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ใช้ชีวิต
ปกติธรรมดาตามประสา แต่เมื่อครอบครัวตกต่ำอย่างไม่มีทางเลือก นางจึงโชคร้าย ตกไปอยู่ในสถานบันเทิงเริงรมย์ ความฝันทั้งหมดจึงกลายเป็นฟองสบู่ นี่ยังคงเป็นโศกนาฎกรรมลำดับหนึ่งในใต้หล้า เดิมทีผู้หญิงทุกคนล้วนอยากรักษาร่างกายให้บริสุทธิ์ แต่ถึงจะวางแผนไว้ดีอย่างไร ก็คิดไม่ถึงว่า บ่าวผู้ชั่วร้ายในจวนของหญิงสูงศักดิ์ท่านหนึ่งจะบ้ากาม ร่วมมือกับแม่เล้า บังคับขืนใจนาง แล้วยังเหิมเกริม คิดครอบครองนางต่อไปเรื่อยๆ อีก นี่ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมลำดับสองในใต้หล้า ซึ่งต่อมาบ่าวผู้นั้นก็ได้กระทำความผิดร้ายแรงจนเรื่องแดง และถูกลงโทษด้วยกฎของบ้านอย่างเด็ดขาด หญิงผู้นั้นจึงไร้ที่พึ่ง ล่องลอยดุจจอกแหน ทั้งไร้บ้าน และไร้ที่ๆ ตั้งรกราก นี่ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมลำดับสามในใต้หล้า…”
เจี่ยไทเฮาค่อยๆ มีอารมณ์ร่วม ความโกรธจึงลดลงไปกว่าครึ่ง
คุณหนูสูงศักด์หลายคนอ่อนไหว ตาจึงเริ่มแดง
แล้วอวิ๋นหว่านชิ่นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนต่อ
“หลังจากผ่านโศกนาฏกรรมมาสามครั้ง จะมีผู้หญิงสักกี่คนในใต้หล้าที่ไม่หลั่งน้ำตา และยืนขึ้นได้อย่างปราศจากความกลัวบ้าง หญิงผู้นี้เข้มแข็งมาตลอด นางตั้งสติให้มั่น ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ หรือมองโลกในแง่ร้ายด้วยการโทษฟ้าดินว่ากลั่นแกล้ง นางมาขอเป็นบ่าวรับใช้หม่อมฉัน”
พอพูดถึงตรงนี้ ลำคอขาวเนียนก็หันมองไปรอบๆ พร้อมแววตาหมองหม่นน้อยๆ
“จึงอยากถามคุณหนูทุกท่านว่า ถ้าพวกท่านพบเจอคนเฉกเช่นในเรื่อง ลองถามใจตัวเองดูว่า สามารถไม่พูดไม่จา รีบไล่คนที่น่าสงสารเช่นนี้ออกไปจากบ้านหรือไม่”
จูซุ่นนึกได้คำหนึ่ง ร้ายกาจ เริ่มต้นก็ปูเรื่องได้ดีมาก บรรยายเสียจนเห็นภาพว่าหญิงผู้นั้นมีสภาพที่น่าเวทนาเพียงใด ไหนเลยจะมีคุณหนูสูงศักดิ์ท่านใดยอมรับว่าตนเองใจไม้ไส้ระกำ เห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยบ้าง
และแล้ว เหล่าคุณหนูก็หันมามองหน้ากัน ตอบก็ไม่ดี ไม่ตอบก็ไม่ดี ถ้าตอบว่าช่วย ก็ละเมิดขอบเขตของกุลสตรี ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ถ้าตอบว่าไม่ช่วย ตนเองก็มิต้องกลายเป็นคนใจหิน ที่ไม่น่าชื่นชมหรอกหรือ
เลือกยากจริงๆ
เช่นนั้นก็ปิดปากเงียบ ไม่ตอบเสียดื้อๆ แล้วกัน
ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นก็มิได้ต้องการให้เหล่าคุณหนูตอบกันจริงๆ พอเห็นกลุ่มคนเงียบงัน ก็หันกลับมามองเจี่ยไทเฮา
“…ตอนนั้นหม่อมฉันก็ตัดสินใจได้ยากเช่นกัน จึงลองชั่งน้ำหนักดู และเห็นว่า แม้นางตกทุกข์ได้ยาก แต่กลับมีใจสู้ชีวิตเรื่อยมา ทำให้หม่อมฉันซาบซึ้งยิ่ง นางถูกบ่าวในบ้านหม่อมฉันทำให้มีสภาพเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันอยากชดใช้ให้ จึงตัดสินใจว่า คนต้องช่วย แต่ก็ไม่อาจทำให้ชื่อเสียงสกุลอวิ๋นต้องเสียหายเพราะความเมตตา หม่อมฉันจึงมอบทรัพย์สินส่วนตัวจำนวนหนึ่ง ให้นางนำไปใช้ตั้งต้นชีวิตใหม่ นี่คือวิธีประนีประนอมที่สุดที่หม่อมฉันคิดได้ ซึ่งนางก็ซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล และมาที่จวนเพื่อขอบคุณหม่อมฉัน…ตอนที่หม่อมฉันพบกับหงเยียนนั้น นางได้พ้นจากการเป็นคนของเรือสำราญว่านชุนเรียบร้อย โดยถูกไถ่ตัวออกมานานแล้ว สถานะจึงไม่ถือว่าเป็นคนไร้หัวนอนปลายเท้า ซึ่งต่อมานางก็หาเลี้ยงชีพด้วยสองมือของนางเอง ดังนี้ ถ้าต้าเซวียนยังรับผู้หญิง
เช่นนี้ไม่ได้ หม่อมฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก!”
พูดเสียจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด เข้าใจเบี่ยงประเด็นนี่! อวี้โหรวจวงมิได้รู้สึกเห็นใจอะไร จึงหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา
แต่เจี่ยไทเฮากลับสะเทือนใจไปกับคำพูดแต่ละคำแต่ละประโยค ตอนนี้จึงไม่รู้สึกโกรธนังหนูอวิ๋นแล้ว กลับมีความรู้สึกดีที่บอกไม่ถูกเพิ่มเข้ามา แต่ก็อย่างที่อวี้โหรวจวงพูด ถ้าให้นางพักอยู่ในวังอาจไม่เหมาะสม คิดพลาง เจี่ยไทเฮาก็ค่อนข้างรู้สึกเสียดาย และรู้สึกไม่พอใจอวี้โหรวจวงอยู่บ้าง เดิมทีก็สงบเงียบดีกันแท้ๆ ทำไมต้องทำให้เสียบรรยากาศด้วย จึงมองค้อนอวี้โหรวจวงด้วยสายตาเย็นชาไปทีหนึ่ง
อวี้โหรวจวงกำลังได้ใจ ด้วยมองว่า ที่อวิ๋นหว่านชิ่นมาร่วมงานเลี้ยง แล้วเอาอกเอาใจไทเฮา มิใช่เพราะอยากเป็นจุดสนใจของคนชั้นสูง เผื่อจะได้แต่งกับคนที่ดูดีมีสกุลสักคนหรอกหรือ
วันนี้ตนได้เปิดเผยเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงของนางต่อหน้าคนชั้นสูงมากมาย แม้ไทเฮาไม่ลงโทษนาง แต่พอออกจากวังไป เรื่องที่นางคบกับหญิงคณิกาก็จะถูกพูดต่อๆ กันไปในแวดวงคนชั้นสูง ถึงตอนนั้น ตนก็อยากดูว่า จะมีตระกูลสูงศักดิ์ที่รักศักดิ์ศรีตระกูลไหนยังจะไปขอนางอีก!
ซึ่งจุดๆ นี้เมี่ยวเอ๋อร์ก็คิดได้เช่นกัน แม้คุณหนูอุตส่าห์เค้นความเจ็บปวดออกมา ทำให้รอดพ้นจากการถูกเจี่ยไทเฮาลงโทษไปได้ แต่เกรงว่าชื่อเสียงยังคงถูกกระทบกระเทือน และอาจเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังไม่ได้อีก ทำให้หมดโอกาสได้พบเจอผู้สูงศักดิ์ จึงกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว พลางมองอวี้โหรวจวงอย่างเชือดเฉือน