ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 88-5 ยิงนกที่ยื่นหัวออกมาก่อน
เหลียนเหนียงเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าเล็กๆ ที่ร้องไห้เหมือนแมว แต่น้ำตากลับไม่เลอะขนตา ดวงตายังคงสดใส เห็นชัดว่าหน้าตาไม่เลอะเทอะ ให้ความรู้สึกอ่อนโยนและสะอาดดุจดอกแพรที่มีหยดน้ำฝนเกาะอยู่ ชุดกระโปรงเรียบๆ สีขาวที่นางสวม ถูกจัดแจงให้เรียบร้อยมาก่อน แม้ตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อหยาบ แต่ใส่แล้วมีเอวมีสะโพก ขับให้รูปร่างดูผอมเพรียวดุจต้นหลิว บวกกับท่าร้องไห้แบบนี้ ยิ่งทำให้ดูนุ่มนิ่มน่าทนุถนอม จนทำให้อวิ๋นเสวียนฉั่งที่นั่งอยู่ตะลึงไปชั่วขณะ
อวิ๋นหว่านชิ่นขมวดคิ้ว อวิ๋นเสวียนฉั่งยังคงแพ้ทางหญิงสาวลักษณะนี้เสมอมา เหลียนเหนียงเหมือนไป๋เสวี่ยฮุ่ยตอนสาวๆ มาก กระทั่งมีลูกไม้แพรวพราวและเจ้าเลห์กว่าไม่น้อย ไป๋เสวี่ยฮุ่ยอย่างไรก็อาศัยแต่เรื่องบนเตียงดึงดูดความสนใจ แต่เหลียนเหนียงลามไปถึงการใช้คนแทนมือเท้าตัวเองในชีวิตประจำวันด้วย
เพียงเกรงว่าการออกมาแสดงตัวของเหลียนเหนียงในครั้งนี้ อาจเข้าตาอวิ๋นเสวียนฉั่ง
เหลียนเหนียงคุกเข่าลง ก้มหน้าลงครึ่งหนึ่ง ไม่ยอมเงยหน้าขึ้น น้ำตาดุจไข่มุกสีเงิน หยดหยาดไม่ขาดสาย ทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลง เห็นแล้วก็อดหวั่นไหวไม่ได้
“บ่าวมาสารภาพผิด เป็นบ่าวเองที่เข้าใจเถาฮวาผิด กลัวว่าเข็มกลัดชิ้นนั้น เถาฮวาขโมยมา จึงไปบอกแม่เล็ก ให้แม่เล็กเป็นผู้ตัดสิน กลับคิดไม่ถึงว่า จะเป็นการทำร้ายเถาฮวาไป! บ่าวผิดไปแล้ว ร่างกายของเถาฮวาในตอนนี้ ถ้าออกจากบ้านสกุลอวิ๋น ไหนเลยจะอยู่รอด ถ้านายท่านกับผู้อาวุโสตัดสินใจขายเถาฮวาจริงๆ ก็นำบ่าวขายไปพร้อมกับนางด้วย นางไปไหน บ่าวก็ตามไปที่นั่น จะได้ดูแลนางตลอด เป็นการชดใช้ให้กับนาง!”
คำพูดนี้จริงๆ แล้วก็เสี่ยงอยู่เหมือนกัน! ถ้าเจ้าบ้านบอกว่า “ดี ข้าจะให้เจ้าสมหวังดังตั้งใจ” ก็เท่ากับว่าเหลียนเหนียงแพ้อย่างหมดรูป เพียงแต่ที่ผ่านมา ผู้พนันยิ่งวางเดิมพันมาก ความเสี่ยงมาก ผลตอบแทนก็ยิ่งมากตาม แต่ถ้าพูดขอร้องด้วยคำพูดธรรมดาๆ ไม่ให้รู้สึกเจ็บปวด ก็จะเหมือนเกาไม่ถูกที่คัน ไร้ซึ่งประโยชน์ จะตีทั้งที ก็ต้องตีให้แรงหน่อย!
และแล้ว คำพูดนี้ก็มีน้ำหนัก พิสูจน์ให้เห็นว่าเหลียนเหนียงไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มีแต่ความสำนึกเสียใจ พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยิน ก็เลิกคิ้วขึ้น
“จะโทษเจ้าก็ไม่ได้ เพราะเจ้าภักดีต่อสกุลอวิ๋น เกรงว่าบ้านจะแย่ถ้าคนในเป็นขโมย ถึงได้ทำแบบนี้”
เหลียนเหนียงที่กำลังลุ้น ค่อยเบาใจลง รู้สึกดีใจยิ่ง แต่หน้าที่บานเป็นดอกชบากลับมีน้ำตาไหลพราก นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา พลางพูดสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร
“เช่นนั้น…นายท่านกับผู้อาวุโส ไม่โทษข้าที่ผิดพลาดเพราะบุ่มบ่ามแล้วหรือ”
ถ้าโทษเจ้า ข้าก็หนีความรับผิดชอบไม่พ้นน่ะสิ อนุฟางจึงรีบเอ่ยปาก
“นายท่านก็บอกแล้วไงว่า เป็นเพราะเจ้าภักดี อยากปกป้องบ้านเราเท่านั้น ยังจะร้องห่มร้องไห้อยู่อีก เช็ดน้ำตาเถิด”
อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นด้วยกับคำพูดของอนุฟาง จึงผายมือออก “ลุกขึ้นเถิด ไม่โทษเจ้าหรอก”
ไม่รู้เหมือนกันว่า ต่อไปอนุฟางจะเสียใจไปจนตาย ที่ตนได้ช่วยพูดประโยคนี้ให้หรือเปล่า อวิ๋นหว่านชิ่นคิดพลางมองดูเหลียนเหนียงพูดพึมพำ
“ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณผู้อาวุโส ขอบคุณแม่เล็ก”
แล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ระหว่างนี้ยังสะอื้นไห้จนซวนเซไปมาคล้ายจะเป็นลม ทำให้ผู้คนเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง อวิ๋นเสวียนฉั่งก็มองจนหนังตากระตุก นิ้วมือขยับสองที โน้มตัวไปข้างหน้า พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง
“เจ้าเป็นคนมีน้ำใจ วางใจเถิด สกุลอวิ๋นเราไม่ทำร้ายเถาฮวาหรอก ต้องเลือกบ้านที่ดีหน่อยให้นางแน่”
เหลียนเหนียงจึงโค้งกายลง แล้วพูดละล่ำละลัก “ขอบคุณนายท่าน” จากนั้นก็หันกายเดินจาก
ตอนหันกาย ดูเหมือนนางเพียงค่อยๆ หันคอไป แต่ความจริงแล้ว สายตากลับคล้ายเบ็ดตกปลา มองไปที่เจ้าบ้านแล้วเกี่ยว
ผ่านไปสักพัก อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงเอ่ยปาก
“พอเถาฮวาไป ในเรือนข้าก็ขาดคนไปคนหนึ่ง ท่านแม่ว่าจะย้ายใครมาดี”
ก็ต้องเลือกจากหนึ่งในสองม้าผอมนั่นล่ะ พอถงฮูหยินเห็นลูกชายอภัยให้เหลียนเหนียงเร็วเช่นนี้ ก็เดาออกว่า เจ้ารองน่าจะมีใจให้ผ้าผอมนางนี้เสียแล้ว จึงยินดีตอบสนอง
“เช่นนั้น เหลียนเหนียงก็แล้วกัน”
อวิ๋นเสวียนฉั่งมีสีหน้าอิ่มเอมใจวาบหนึ่ง ก่อนว่า “ได้ ตามใจท่านแม่”
สายมากแล้ว กลุ่มคนจึงแยกย้าย เดินออกจากห้องโถงหลัก
ระหว่างทางกลับเรือนหยิงฝู ขณะที่ชูซย่ากับเมี่ยวเอ๋อร์กำลังพูดคุยกันไม่หยุดนั้น คุณหนูใหญ่ก็พูดขึ้น
“ชูซย่า ล่าสุดที่เจ้าไปเยี่ยมเถาฮวามา นางเป็นอย่างไรบ้าง”
“ยังจะเป็นอย่างไรได้” ชูซย่าส่ายหน้า “นางนอนแค้นจนตาแดงอยู่บนเตียง ขยำผ้าห่มตลอด ปากก็ตะโกนว่าจะฉีกเหลียนเหนียงเป็นชิ้นๆ ให้จงได้”
“เจ้าเอาเงินจำนวนหนึ่งไปให้เถาฮวาหน่อย”
แม้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ถึงกับชอบเถาฮวา แต่พอเห็นว่าชะตากรรมของนางไม่ต่างอะไรกับตนในชาติก่อน สูญเสียความสามารถในการมีบุตรไป ก็เกิดความรู้สึกร่วมอยู่บ้าง
แล้วจึงหันหาเมี่ยวเอ๋อร์ “ส่วนเจ้าหาโอกาสไปพบฮุ่ยหลาน แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ตั้งแต่ต้นจนจบให้นางฟัง”
เมี่ยวเอ๋อร์ติดตามคุณหนูใหญ่มาพักใหญ่ จึงรู้ใจนางแต่แรกว่า ต้องการให้ฮุ่ยหลานระวังตัวไว้ จะได้ไม่กลายเป็นเถาฮวาคนที่สอง เหลียนเหนียงจะได้ไม่เป็นใหญ่คนเดียวในบ้าน จึงรีบไปทันที
พอฮุ่ยหลานรู้เรื่องของเถาฮวา และรู้จากปากของเมี่ยวเอ๋อร์ว่าเป็นแผนของเหลียนเหนียง ก็ตกใจจน
หน้าซีด ความโกรธปะทุขึ้นกลางอกไม่หยุด
ทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกัน และแทบจะโตมาด้วยกันในหอหย่าจื้อ เนื่องจากฮุ่ยหลานเกิดในชนบท จึงเป็น
คนซื่อและจิตใจดีงามกว่าอีกสองคน เหลียนเหนียงเป็นคนอ่อนโยนและอ่อนแอ แต่ก็รู้จักใช้ความอ่อนแอของตนทำให้คนสงสารและหลงรัก เมื่อก่อนฮุ่ยหลานมักคอยดูแลเหลียนเหนียง แม้มาถึงบ้านสกุลอวิ๋น พอเหลียนเหนียงบอกว่าไม่อยากทำงานนอกเรือน นางก็รีบขอทำหน้าที่นี้เอง เพราะไม่อยากเห็นการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น อยากมีชีวิตอยู่อย่างเงียบสงบ
ฮุ่ยหลานคิดว่า เมื่อเราสามคนมีวาสนามาอยู่บ้านหลังเดียวกัน ก็ควรร่วมแรงร่วมใจสามัคคีกันสู้กับคนนอก ไหนเลยจะรู้ว่า เพิ่งมาได้ไม่กี่วัน เหลียนเหนียงจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ให้ร้ายเถาฮวา จนเถาฮวาถูกตีอย่างไม่เป็นธรรม ตีจนมีลูกไม่ได้ แล้วยังถูกขายออกไปอีก!
ฮุ่ยหลานจึงบุกไปที่ห้องเหลียนเหนียง จัดการตบหน้านางไปสองฉาด
“คนใจโหด!” เหลียนเหนียงถูกตบจนงุนงง พอเห็นฉาดที่สามกำลังฟาดลง ก็จับข้อมือของฮุ่ยหลานไว้ ก่อนเอ็ดเสียงแหลม “พอแล้ว!”
พอฮุ่ยหลานเห็นความเ**้ยมวาบผ่านแววตาของเหลียนเหนียง ในที่สุดก็เข้าใจ เป็นอย่างที่เมี่ยวเอ๋อร์พูดไว้ไม่มีผิด เหลียนเหนียงไหนเลยจะเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับตนได้อีก จึงสะบัดมือ หัวเราะเย็นชาออกมา แล้วผลักประตูเดินออกไป พลางตัดสินใจว่า เมื่อธาตุแท้ของนางเป็นเช่นนี้ แต่นี้ไปก็ขาดกัน
ส่วนนอกบ้านสกุลอวิ๋น คดีถังโจวก็กำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก
เนื่องจากเป็นเรื่องที่หนิงซีฮ่องเต้ให้ความสำคัญ อีกทั้งเกี่ยวข้องกับพระมาตุลาเจี่ยงยิ่น ศาลสูงจึงทำการสอบสวนใหม่ ซึ่งเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพยิ่ง ผ่านไปไม่ถึงสองวัน ก็รวบรวมพยานหลักฐานได้ครบถ้วน ในวังจึงมีจดหมายเชิญให้หงเยียนเข้าวัง เพื่อให้การต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ในฐานะทายาทที่เหลืออยู่ของขุนนางในคดี ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการพิจารณาตัดสินคดี จากนั้น ก็จะทำการสรุปสำนวน เพื่อปิดคดีอย่างเสร็จสมบูรณ์
หงเยียนเข้าวังเป็นครั้งที่สอง การได้มีโอกาสได้ซักซ้อมกับเจ้าหน้าอาวุโสของศาลสูงอยู่หลายรอบ ทำให้นางไม่ประหม่าแบบครั้งแรกอีก พอมีพระบัญชาให้เข้าเฝ้า จึงเดินตามคนในวังไป