ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 93-2 หยุดลมปากคนข้างหมอน
อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นเหลียนเหนียงยกน้ำชามาด้วยตนเอง แม้แปลกใจ แต่ก็ไม่คิดจะตำหนิอะไร น้ำเสียงกลับอ่อนโยนขึ้น เต็มไปด้วยความรักและทนุถนอม
“ทำไมเป็นเจ้าไปได้ล่ะ”
นอกหน้าต่าง อวิ๋นหว่านชิ่นคิดไม่ถึงว่าเหลียนเหนียงจะโผล่มาในเวลาเช่นนี้ เห็นชัดว่าบิดามิได้บอกนางก่อนว่าให้มารับใช้ จึงนึกสงสัย อนุรองผู้นี้ ตั้งแต่เข้าบ้านอวิ๋นจนได้เลื่อนเป็นอนุ กระทำการใดๆ ล้วนอยู่ในกรอบ ไม่นอกลู่นอกทางแม้แต่น้อย แต่วันนี้กลับล้ำเส้นอยู่บ้าง จึงจ้องมองนางนิ่ง
เหลียนเหนียงสวมชุดผ้าไหม เป็นเสื้อสีชมพูอมเทา ทับด้วยเสื้อกั๊กสีเขียว กระโปรงสีฟ้าอมเขียว แล้วใช้ปิ่นฝังอัญมณีฝีมือปราณีตเสียบไว้กับมวยผม มือถือถาดไม้แดง ก้มหน้านำกาน้ำชาและถ้วยน้ำชาเข้ามา แล้วเดินเข้าไปที่โต๊ะ รินน้ำชาให้ทั้งสองคน เสร็จแล้วจึงว่า
“ตอนที่ได้ยินว่าท่านพี่คุยกับแขกอยู่ในห้องรับแขกนั้น ข้ากำลังใช้กาใบเล็กต้มชาอู่หลงอยู่พอดี จึงรีบยกมาให้ท่านพี่กับแขก อากาศเย็น ท่านพี่กระเพาะไม่ค่อยดี เหมาะกับการดื่มชาชนิดนี้”
แล้วจึงชำเลืองมองมู่หรงไท่ที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“คุณชายรองมู่หรงก็ค่อยๆ ดื่มนะเจ้าคะ ข้าไม่รบกวนท่านทั้งสองแล้ว”
อวิ๋นเสวียนฉั่งมองนางด้วยสายตารักใคร่เอ็นดูยิ่ง ก่อนยิ้มพลางพยักหน้า
“วันนี้ลมแรง เจ้าก็ไม่ต้องวิ่งไปมาคอยรับใช้หรอก เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”
เหลียนเหนียงยิ้มน่ารัก “ขอบคุณท่านพี่ที่เป็นห่วง เช่นนั้นข้าก็ต้องขอตัวกลับเรือนเจี่ยวเย่ว์ก่อน แล้วท่านพี่ยังจะไปทำงานที่ห้องหนังสือต่อหรือเปล่า อย่าทำงานหนักจนเกินไปนะเจ้าคะ ไว้ช่วงเย็นข้าค่อยนำน้ำชาไปให้”
ขณะพูดก็เจตนากวาดตามองมู่หรงไท่แบบไม่ได้ตั้งใจ
“ดี” อวิ๋นเสวียนฉั่งพยักหน้าด้วยความพอใจ
เหลียนเหนียงจึงไม่พูดมากอีก บิดเอวอ้อนแอ้นเดินจากไป
มู่หรงไท่เห็นอวิ๋นเสวียนฉั่งนั่งตาเยิ้ม จ้องมองตามนางไป จวบจนนางก้าวข้ามธรณีประตูแล้วเลี้ยวออก ไม่เห็นเงาอีก ค่อยเก็บสายตาคืนกลับ
เช่นนี้ก็ทำให้มู่หรงไท่ดีใจขึ้นมา เขามีโอกาสแล้ว
สตรีที่น่ารักน่าชังนางนี้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นอนุในบ้านสกุลอวิ๋น เพียงดูจากการแต่งกายของนาง กับการที่นางออกมาต้อนรับแขกเช่นนี้ ย่อมเป็นคนที่เอาอกเอาใจเจ้าของบ้านเก่ง และเป็นคนโปรดหลังบ้านในตอนนี้ พอมาดูการพูดคุยของคนทั้งสอง กับความละเอียดอ่อนเอาใจใส่ที่อวิ๋นเสวียนฉั่งมีให้นาง ช่างอ่อนโยนเสียนี่กระไร ต้องเป็นช่วงที่เขามีความรู้สึกลึกซึ้งมากที่สุดแน่
ช่วงที่ชายหญิงหวานใส่กันจนน้ำผึ้งเรียกพี่นั้น ผู้หญิงก็คือสมบัติในดวงใจของผู้ชาย
คำพูดเป่าหูข้างหมอนนี่ล่ะ ชนะอาวุธวิเศษทุกชนิด ร้ายกาจยิ่ง
พอคิดถึงตรงนี้ มู่หรงไท่ก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบโดยไม่รู้ตัว แล้วยิ้ม
“ชาดี ท่านลุงอวิ๋นสายตาแหลมคมมาก”
ล้วนเป็นผู้ชายเหมือนกัน อวิ๋นเสวียนฉั่งใยไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่กำลังพูดถึงอะไร จึงเหลือบตามองไปยังประตูที่ไร้เงาคน คล้ายกับว่าตรงนั้นยังมีเงาร่างของอนุอยู่ พลางรู้สึกภูมิใจในตัวเองขึ้นมา
มู่หรงไท่กระพริบตาปริบๆ ก่อนพูดถึงเรื่องอวิ๋นหว่านชิ่นอีก ซึ่งอวิ๋นเสวียนฉั่งในตอนนี้ จัดให้จวนโหวอยู่ในสถานะรอดูสถานการณ์ โดยไม่คิดที่จะบาดหมางด้วย แต่ก็ไม่อยากรับปากอย่างรีบร้อนเช่นกัน อย่างไรมีทางเลือกอีกทางก็ไม่เลว จึงยกมือปราม
“เชิญนำของขวัญกลับไปก่อน ให้ข้าคิดพิจารณาสักระยะเถิด”
มู่หรงไท่เห็นเขายังคงยืนกระต่ายขาเดียว จึงไม่ขอร้องต่อ ประสานมืออำลา
อวิ๋นเสวียนฉั่งก็รีบเรียกบ่าวให้เดินไปส่งคุณชายรองมู่หรงด้วยความเกรงอกเกรงใจ
นอกหน้าต่าง อวิ๋นหว่านชิ่นยืดตัวตรง นางไหนเลยจะไม่รู้จักนิสัยของมู่หรงไท่ ถ้าแม้แต่ท่านโหวอาวุโสและฮูหยิน เขายังเกลี้ยกล่อมสำเร็จ การมาในครั้งนี้ ให้ตายอย่างไรเขาก็ต้องพูดจาโน้มน้าวจิตใจบิดาตนให้ได้ จึงไม่มีทางจากไปง่ายๆ เช่นนี้แน่
ด้านมู่หรงไท่ ขณะบ่าวบ้านสกุลอวิ๋นเดินนำเขากับเด็กรับใช้ออกมาได้ครึ่งทาง เขาก็พลันตบศีรษะตนเองเบาๆ “จริงสิ มีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าลืมพูดกับนายเจ้า รอก่อนนะ ข้าขอกลับไปพูดหน่อย”
ว่าแล้วก็ส่งสายตาให้เด็กรับใช้ บอกให้เขาอยู่พัวพันบ่าวบ้านสกุลอวิ๋นไปพลางๆ ก่อน
ซึ่งบ่าวบ้านสกุลอวิ๋นนี้ก็มิได้สงสัยอะไรเขา ยืนรอเขาอยู่กับเด็กรับใช้ของจวนโหว
มู่หรงไท่เดินกลับไปทางห้องรับแขก แต่พอรอดพ้นสายตาคน และแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น ก็หันกาย เดินมองหาคลำทางไปเรื่อย เพราะดูแล้วจวนรองเจ้ากรมไม่นับว่าใหญ่โต ซึ่งไม่นานเขาก็เจอเรือนเจี่ยวเย่ว์ที่เหลียนเหนียงอาศัยอยู่จนได้
ซึ่งเหลียนเหนียงเองก็ได้ไล่บ่าวในเรือนออกไปจนหมดแต่แรกแล้ว โดยเหลือเพียงพี่ตงยืนเฝ้าอยู่นอกเรือน และถูกสั่งว่าอย่าให้ใครเข้ามาเป็นอันขาด
ตอนนี้พอได้ยินเสียงฝีเท้า ก็รู้ว่าคุณชายรองมู่หรงมา จึงรีบออกไปรับ
พอมู่หรงไท่เห็นว่ารอบๆ เรือนไม่มีคนอยู่ ก็ตระหนักรู้ในทันทีว่า อนุผู้นี้คล้ายรอตนอยู่ก่อนแล้ว การที่นางดอดไปรับใช้ที่ห้องรับแขก ที่แท้เพราะต้องการบอกใบ้ให้ตนมาที่นี่! มิน่าเล่า ตอนนางรินน้ำชาเสร็จ ถึงได้พูดแปลกๆ ออกมาว่า ตนอาศัยอยู่ที่ไหน แถมยังแอบบอกใบ้อีกว่า สักพักอวิ๋นเสวียนฉั่งจะไปทำงานที่ห้องหนังสือ ยังไม่มาเรือนเจี่ยวเย่ว์! ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจงใจ! อนุผู้นี้ จริงๆ แล้วคิดจะทำอะไรกันแน่
ทว่า ไม่ว่าอย่างไร เขาแน่ใจได้ว่า นางคิดจะช่วยเขา เช่นนั้นก็ดี
ในเรือน ทั้งสองเลือกยืนในที่ๆ ลับตาคน โดยเหลียนเหนียงเป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อนอย่างนุ่มนวล
“คุณชายรองเป็นผู้ที่มีความสามารถ หล่อเหลาและชาญฉลาด ลูกเขยที่ดีพร้อมเช่นนี้ นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดท่านพี่ข้าถึงต้องคิดพิจารณาอีก”
มู่หรงไท่ยิ้มอย่างรู้ทัน “ทั้งหมดเป็นเพราะว่า เมื่อก่อนบ้านสกุลมู่หรงข้ากับบ้านสกุลอวิ๋นมีเรื่องบางเรื่องที่เข้าใจผิดกัน ตอนนี้จึงต้องพึ่งพาท่านให้ช่วยพูดจาหว่านล้อมท่านพี่ของท่านให้หน่อย”
ว่าแล้วก็เดินเข้าไปใกล้ ก่อนพูดเสียงเบา
“ถ้าอนุรองช่วยข้า ข้าย่อมตอบแทนอนุรองอย่างแน่นอน ของขวัญที่นำมาในวันนี้ อีกสักครู่ข้าจะบอกให้คนแยกออกมาลังหนึ่ง แล้วนำไปไว้บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเฝิงหยวนที่อยู่หน้าปากซอยจวนสกุลอวิ๋น ซึ่งอนุรองสามารถให้สาวใช้คนสนิทไปเอาได้ทุกเมื่อ…”
ตอนเหลียนเหนียงก้าวเข้าไปในห้องรับแขก ก็เหลือบมองของขวัญสองลังใหญ่นั่นเหมือนกัน ซึ่งแต่ละลังล้วนมีของล้ำค่าบรรจุอยู่ ถ้านำไปเปลี่ยนเป็นเงิน ก็จะได้เงินเก็บส่วนตัวจำนวนมหาศาล จึงอดไม่ได้ที่จะยินดีปรีดา แต่กลับไม่แสดงออกทางสีหน้า
“คุณชายรองไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเช่นนี้ ทำอย่างกับว่าข้าเป็นคนเห็นแก่เงิน”
ก่อนไป ที่สุดแล้วมู่หรงไท่ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ “ทำไมอนุรองถึงอยากจะช่วยข้านัก”
ทำไมน่ะหรือ เหลียนเหนียงสะดุดกึก ถ้าคุณหนูใหญ่นั่นอยู่ในบ้านหนึ่งวัน นางเดินไปไหนมาไหนก็เหมือนถูกตีตรวนหนึ่งวัน ด้านหลังก็มักคล้ายมีสายตาคู่หนึ่งจับตามองราวกับคู่อาฆาตแต่ชาติปางก่อน! เมื่อเห็นมู่หรงไท่มาขอเจ้าสาวถึงบ้าน คล้ายกระตือรือร้นยิ่ง แล้วทำไมนางจะไม่ช่วยผลักคุณหนูใหญ่นั่นออกไปเสียโดยเร็วเล่า
สมองคิดเช่นนี้ แต่ปากของเหลียนเหนียงกลับพูดพอเป็นพิธี
“คุณหนูใหญ่กับคุณชายรองก็เหมือนกิ่งทองใบหยก คู่รักที่เหมาะสมกันเช่นนี้ เมื่อข้าเป็นคนบ้านสกุลอวิ๋น ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลใจอยู่บ้าง”
มู่หรงไท่ไหนเลยจะเชื่อว่า เมียน้อยอย่างนางจะกังวลใจเรื่องการแต่งงานของลูกสาวเมียหลวง แต่ก็ไม่ได้ถามมากความอีก หัวเราะหึๆ แล้วไปจากเรือนเจี่ยวเยว์
พอมู่หรงไท่ติดสินบนเหลียนเหนียงเรียบร้อย มาคิดดูอีกที ก็รู้สึกว่าวันนี้อวิ๋นเสวียนฉั่งมีท่าทีกลิ้งกลอกอยู่บ้าง ตนจึงต้องใจกว้างเข้าไว้ ขณะรีบสาวเท้ากลับไปหาเด็กรับใช้ เพิ่งเดินอ้อมระเบียงทางเดิน ก็เห็นว่าด้านหน้ามีคนขวางทางอยู่ จึงชะงักฝีเท้า