ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 99-3 รายชื่อผู้ตามเสด็จออกล่าสัตว์
อวิ๋นเสวียนฉั่งลูบสันจมูกอีกครั้ง รู้สึกปวดศีรษะอยู่บ้าง
“…ระยะนี้ ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไร พวกเจ้าก็ไม่ต้องออกจากบ้านให้เตะตาผู้คน ถ้าเรื่องของเว่ยอ๋องยังไม่ถูกตัดสิน อย่าออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียวเป็นดี อยู่ในเรือนของตัวเองตามปกติ กระทั่งนอกเรือนก็ออกไม่ได้ พวกที่ชอบสวมเครื่องประดับเงินทอง ต้องถอดออกให้หมด เปลี่ยนไปใส่ชุดเรียบๆ แทน ไม่สวมอะไรที่มีหยกมีมุก ไม่สวมเสื้อแพรไหม หวังว่าเมื่อทำตัวสมถะแล้ว จะไม่เป็นขี้ปากชาวบ้าน จะได้ไม่ถูกเว่ยอ๋องเชื่อมโยงเข้าไป…ถ้าใครยังทำตามอำเภอใจ ไปมาหาสู่สะเปะสะปะ พูดจานินทากันเป็นการส่วนตัว ข้าจะฟาดขาให้หักเสียทีเดียว!”
ทุกคนล้วนพยักหน้ารับ
อวิ๋นหว่านชิ่นชำเลืองมองน้องชาย เรื่องดี? ออกจากบ้านไม่ได้เนี่ยนะเรื่องดี? ต่างกับการถูกกักบริเวณตรงไหน
พออวิ๋นจิ่นจ้งเห็นสายตาสงสัยของพี่สาวมองมา กลับทำปากยื่นปากยาว บอกใบ้ว่าอย่าเพิ่งร้อนใจไป จากนั้นก็วางศอกลงบนที่เท้าแขนเก้าอี้ แล้วหันหาอวิ๋นเสวียนฉั่ง
“ท่านพ่อ ท่านบอกว่ามีสองเรื่องมิใช่หรือ”
พอได้ยินลูกชายเตือนสติ สีหน้าของอวิ๋นเสวียนฉั่งก็ผ่อนคลายลงมาก กระทั่งรอยตีนกาบางๆ ที่หางตาก็ไม่มีแล้ว หันมองลูกสาว ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายลงไม่น้อย
“อีกเรื่องหนึ่ง วันนี้หลังประชุมท้องพระโรง ข้าได้รับแจ้งจากคนของสำนักพระราชวังว่า อีกสามวันถัดจากนี้ เป็นวันล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ร่วง ขอเชิญข้า จิ่นจ้ง และชิ่นเอ๋อร์ตามเสด็จไปล้อมป่าฮู่หลงด้วยกัน โดยครั้งนี้จิ่นจ้งต้องอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนเหล่าองค์ชาย ส่วนชิ่นเอ๋อร์ก็อยู่กับเหล่าสตรีชาววัง คอยเป็นเพื่อนและรับใช้สตรีผู้สูงศักดิ์ในกระโจม”
ชะงักเล็กน้อย ค่อยว่า “จิ่นจ้งยังนับว่าเคยฝึกขี่ม้ามาแต่เด็ก ตอนนี้ที่โรงเรียนก็สอนศิลปะการต่อสู้เบื้องต้นอีก ข้าจึงไม่ค่อยห่วง ชิ่นเอ๋อร์นี่สิ ไม่เคยสัมผัสกับการนั่งบนหลังม้าและยิงธนูมาก่อน ข้าเกรงว่าถึงตอนนั้นเจ้าจะตื่นเต้นจนประหม่า ไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไรดี จึงบอกให้ไคไหลเลือกลูกม้ามาสองตัว กะว่าจะใช้เวลาสองวันนี้ ฝึกให้พวกเจ้าสองพี่น้องขี่ม้าเป็นสักหน่อย เตรียมพร้อมเอาไว้”
ตอนอยู่ที่โรงเรียน อวิ๋นจิ่นจ้งได้ยินข่าวนี้มาบ้างแล้ว ตอนนี้พอบิดาพูดออกจากปากด้วยตัวเอง จึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความดีใจด้วยการตบมือแล้วว่า “เยี่ยม!”
ถ้าบอกว่าเรื่องเมื่อครู่ทำให้บ้านสกุลอวิ๋นโกลาหล เรื่องนี้กลับทำให้ถงฮูหยินโล่งใจลง สีหน้าปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง ทีแรกคิดว่าความวัวยังไม่ทันหาย ความควายอะไรจะเข้ามาแทรกอีก ที่ไหนได้ กลับเป็นเรื่องดีที่โชคดีอะไรเช่นนี้ ทั้งหลานชายและหลานสาวในบ้านตนจะได้ออกล่าสัตว์ร่วมกับองค์ฮ่องเต้ นี่มิใช่พรอันประเสริฐจากฟากฟ้าหรอกหรือ!
หนังตาอวิ๋นหว่านชิ่นกระตุก นี่เป็นขนมปังที่หล่นมาจากฟากฟ้าจริงๆ กำลังพูดอยู่แหม่บๆ ว่าทำอย่างไร
ถึงจะได้พบเจี่ยงยิ่น เมื่อสามารถไปล้อมป่าที่ฮู่หลงด้วยกัน ใยมิใช่มีโอกาสเยอะแยะมากมายหรือ
ทว่า…ก็อย่างที่บิดาบอก การตามเสด็จและปรนนิบัติรับใช้ของเหล่าลูกสาวขุนนาง ย่อมต้องสัมผัสกับลูกม้า ซึ่งผู้ที่ได้ไปส่วนใหญ่เป็นลูกสาวขุนนางฝ่ายบู๊ ทำไมถึงได้เลือกลูกสาวขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างตนล่ะ
การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงเป็นเทศกาลงานรื่นเริงของบุรุษ ซึ่งโอรสสวรรค์ทรงเป็นเจ้าภาพมาแต่ไหนแต่ไร และรัชสมัยนี้ รายชื่อผู้เข้าร่วมในทุกๆ ปี หนิงซีฮ่องเต้ต้องพิจารณาด้วยองค์เอง มิใช่งานเลี้ยงเล็กๆ ของเหล่าสตรีในวัง และมิใช่ว่าพระสนมเอกเฮ่อเหลียนพูดคำเดียวก็สามารถยัดชื่อตนเข้ามาได้แน่ๆ หรือแม้แต่เจี่ยไทเฮา ก็ไม่มีสิทธิยุ่งเกี่ยวกับรายชื่อ
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่คิดเก็บความสงสัยนี้ไว้ เชิดหน้าขึ้น แล้วแสร้งทำเป็นไม่ได้ตั้งใจ ถามออกไปตรงๆ อย่างสุภาพ
“ท่านพ่อ เหตุใดปีนี้คนของสำนักพระราชวังถึงได้เลือกลูกให้ตามเสด็จไปด้วยเจ้าคะ ลูกได้ยินมาว่า การไปล้อมป่าฮู่หลงล่าสัตว์ในทุกๆ ปี ลูกสาวขุนนางที่ไปด้วย ถ้าไม่ใช่พระธิดาในราชวงศ์ ก็ต้องเป็นลูกสาวขุนนางฝ่ายบู๊ที่เชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนูนา”
อวิ๋นเสวียนฉั่งนิ่งไปสักพัก คล้ายค้างแข็งในพริบตา ก่อนตอบด้วยการจ้องตาอวิ๋นหว่านชิ่น คล้ายซ่อนความกระอักกระอ่วนใจที่พูดไม่ออกไว้ แต่ก็รีบดึงสติคืนกลับ ยืดหลังให้ตรง แล้วแสดงท่าทีไม่ค่อยพอใจกับข้อสงสัยธรรมดาๆ ของลูกสาว โดยพูดอย่างรำคาญใจ
“ตอนนี้พ่อเป็นขุนนางชั้นสอง แม้ยังไม่ได้รับบรรดาศักดิ์ ก็ถือว่าเป็นขุนนางใหญ่ การที่มีชื่อเจ้าในรายชื่อ ก็เพราะฝ่าบาทและขุนนางในราชสำนักเห็นความสำคัญของพ่อ จึงได้ให้ลูกชายและลูกสาวตามพ่อไปเปิดหูเปิดตา ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”
เหลียนเหนียงหัวเราะตัวโยน “จริงด้วยเจ้าค่ะ ท่านพี่กำลังเนื้อหอม คนในบ้านสกุลอวิ๋นยิ่งมาก็ยิ่งเนื้อหอมตาม วันเวลาอันเรืองรองของสกุลอวิ๋นเรามีแนวโน้มว่าจะสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
ถงฮูหยินตีมือหลานสาวเบาๆ “ขุนนางในราชสำนักเห็นความสำคัญของพ่อเจ้า ถึงได้เลือกลูกชายคนเดียวของบ้านสกุลอวิ๋นให้ไปด้วย ชิ่นเอ๋อร์เป็นพี่สาวมารดาเดียวกันกับจิ่นจ้ง จะเกาะรัศมีไป ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินคำพูดของมารดา ทั้งร่างก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เกรงว่าต้องเป็นลูกชายเกาะรัศมีของลูกสาวถึงจะถูก…แต่จะพูดออกไปก็ไม่ดี จึงชะงักเล็กน้อย ก่อนว่า
“เจ้าจะไปทั้งที ก็ต้องพาคนที่พึ่งได้และใช้งานได้ไปด้วย บ่าวที่สามารถช่วยเจ้าได้น่ะ”
ตอนนี้อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเข้าใจแล้วว่า เหตุใดบิดาถึงพูดว่า มีเรื่องของเมี่ยวเอ๋อร์ด้วย จึงรับคำ
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นลูกพาเมี่ยวเอ๋อร์ไปก็แล้วกัน”
อวิ๋นเสวียนฉั่งพยักหน้าหงึกๆ เมี่ยวเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ตรงประตูก็ได้ยินอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน จึงก้าวเข้ามาแล้วโค้งตัวลง “บ่าวช่วยคุณหนูใหญ่ได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
พอกำชับทุกเรื่องแจ่มแจ้งแล้ว กลุ่มคนก็พากันเดินออกจากห้องรับแขก แยกย้ายกันกลับเรือนของตน
อวิ๋นจิ่นจ้งจงใจเดินช้าๆ ฉวยจังหวะขณะชานเรือนไม่มีคน กระทุ้งพี่สาวจากด้านข้างพลางยิ้ม
“พี่ เห็นไหมข้าไม่ได้หลอกพี่นา ก็บอกแล้วว่าเป็นเรื่องดี…”
พูดยังไม่ทันจบ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ดึงแขนเล็กๆ ของเขาไว้
“เจ้ารู้อยู่แต่แรกแล้วว่า เราสองคนอยู่ในรายชื่อผู้ตามเสด็จไปล่าสัตว์ เจ้าได้ยินมาจากไหน”
“ตอนเช้า หยางจิ่นพูดที่โรงเรียนน่ะ” อวิ๋นจิ่นจ้งยิ้มตาหยี
“พ่อของเขาก็คือราชครูหยางไง พี่น่าจะรู้จักนะ ได้ยินว่าพี่รองของเขาเคยส่งรถม้ามารับพี่หลังจากงานเลี้ยงในวังเลิก! เอาเป็นว่าหยางจิ่นพูดว่า หลายวันก่อนตอนอยู่ในบ้าน เขาได้ยินพ่อบอกว่า ในใบรายชื่อมีชื่อของเราสองคนอยู่ด้วย”
ราชครูหยางเป็นอาจารย์ของหนิงซีฮ่องเต้ และเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก การรู้รายชื่อผู้ตามเสด็จไปล่าสัตว์ก่อนใครก็ไม่น่าแปลกใจ เมื่อกำหนดรายชื่อไว้หลายวันแล้ว ก็แสดงว่าฝ่าบาททรงกำหนดให้ตนกับจิ่นจ้งไปด้วยองค์เอง
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกกังขา แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก
พระราชฐานชั้นใน ตำหนักหมิงชุ่ย
ในสวนดอกเหมย วันนี้อากาศกำลังดี พระสนมเอกเฮ่อเหลียนจึงอยู่นอกตำหนัก ตัดแต่งกิ่งเหมยด้วยองค์เองอย่างสบายอกสบายใจ โดยมีพวกหลานถิง คอยรับใช้อยู่ด้านข้าง
จางเต๋อไห่ไปข้างนอกเพิ่งกลับ ก็ตรงมาที่สวนดอกเหมยทันที หลังจากก้าวเข้าทำความเคารพ ก็ก้าวเข้ากระซิบข้างหูนายตน
“ฉินอ๋องเข้าวังมาพ่ะย่ะค่ะ”
กรรไกรหยกในมือสนมเอกเฮ่อเหลียนนิ่งค้างกลางอากาศ พลางขมวดคิ้ว “มีเรื่องอะไรหรือ”
จางเต๋อไห่ส่ายศีรษะ “เหมือนเพิ่งเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่ตำหนักหย่อนใจ”
ลูกคนนี้ ถ้าไม่ถูกเรียกตัว ไม่มีทางเข้าวังหรอก และถ้าเข้าวังมาเอง ก็เหมือนครั้งก่อน ที่ตนล้มป่วย
แต่ตอนนี้ตนไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ป่วย ไม่ได้ประสบเหตุเภทภัย แล้วเขาเข้าวังมาทำไม
สนมเอกเฮ่อเหลียนจึงใส่กรรไกรลงไปในตระกร้าหวาย แล้วว่า
“จางเต๋อไห่ เจ้าไปดูหน่อยสิว่า หมอนี่มาพูดอะไรกับฝ่าบาท”