เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 1
“เทพแห่งสงครามคุ้มครอง แม่น้ำหมิงไม่เหือดแห้ง เถ้ากระดูกกองสูงตระหง่านยาวพันลี้!”
“เทพแห่งสงครามคุ้มครอง ปกป้องราษฎรให้พ้นเภทภัย!”
“เทพแห่งสงครามคุ้มครอง หากข้ามิตาย หนี้เลือดนี้ต้องให้ตระกูลเป่ยเฉินชำระด้วยเลือด!”
เลือดสดสาดกระเซ็น
หญิงสาวนั่งหลับพักสายตาอยู่บนเฮลิคอปเตอร์พลันสะดุ้งโหยงตื่นขึ้น…
ผู้หญิงผมสั้นด้านข้างเห็นเธอสีหน้าแปลกพิกลจึงถามขึ้น “ฝันประหลาดนั่นอีกแล้วเหรอ”
เยี่ยเม่ยพยักหน้าพลางนวดหว่างคิ้ว ทว่าไม่เก็บไปใส่ใจ ใบหน้าเย็นชาของเธอคล้ายกับลายเส้นจากทวยเทพ วิจิตรงดงามราวกับตุ๊กตาเคลือบ ยามสงบเงียบคล้ายกับเทพธิดาบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างที่สุด ทว่าในดวงตาเย้ายั่วใจคนคู่นั้นเต็มไปด้วยความสนใจ ไม่รู้ว่าความสนใจนั้นมีเจตนาร้ายหรือเจตนาดี ชวนให้คนรู้สึกหนังศีรษะชาวูบ
เฮลิคอปเตอร์บินอยู่กลางอากาศ พวกเธอเพิ่งทำภารกิจจบ อยู่ในระหว่างนั่งเครื่องกลับ
เมื่อฝันแปลกประหลาดนั่นอีกครั้ง เยี่ยเม่ยหนักใจ มองไปที่ผู้หญิงผมสั้น สีหน้าเรียบเฉย “ลูกพี่ ยังไม่ถึงบ้านอีกหรือไง”
หญิงสาวผมสั้นที่ถูกเรียกเป็นลูกพี่ปรายตามองเธอ คลี่ยิ้ม “คุณผู้หญิงเยี่ยเม่ยคนสวย พวกเรายังต้องใช้เวลาอีกสามสิบนาทีเพื่อบินออกจากน่านน้ำ ตอนนี้เครื่องของเรากำลังบินผ่านสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา”
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาในเวลานี้ พื้นน้ำทะเลสงบไร้คลื่น เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบนอยู่บนฟ้า นั่นก็คือเครื่องของลูกพี่กับเยี่ยเม่ย
เยี่ยเม่ยปรายตามองช้า ๆ “ระวังคำพูดของเธอไว้ให้ดี!”
ลูกพี่ยกยิ้ม เอ่ยเสียงสูงรับกับเจตนาร้ายของอีกฝ่าย “คุณผู้หญิงเยี่ยเม่ยผู้สวยงามเพริศพริ้งเกินใคร อย่ารีบร้อนเกินไป”
สายตาเยี่ยเม่ยฉายแววพึงพอใจ น้ำเสียงยังคงเย็นชาดั่งเดิม “เธอเข้าใจความงามของฉันดีขนาดนี้ ไม่เสียดายที่เป็นเพื่อนซี้!”
ลูกพี่ “…”
ในขณะที่สองคนพูดคุยกับ ท้องมหาสมุทรพลันเกิดลมกรรโชกแรง หมุนเป็นวงใหญ่ ก่อเป็นพายุแรงดึงเฮลิคอปเตอร์เข้าไป เยี่ยเม่ยลุกขึ้นยืนหน้าประตูเฮลิคอปเตอร์ ขมวดคิ้วก้มหน้ามอง “เกิดอะไรขึ้น”
ลูกพี่หน้าคล้ำลง “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน!”
ท้องทะเลเกิดคลื่นพายุดึงเฮลิคอปเตอร์กลางอากาศม้วนตลบลงกลางทะเล นี่ถือเป็นภาพเหตุการณ์พิสดารฉากหนึ่ง เครื่องบินเสียสมดุล ถูกฉุดเข้าสู่ช่องว่างนั้น ไม่ว่าจะควบคุมอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้น คล้ายกับแม่เหล็กต้องการดูดพวกเธอเข้าไป
กำลังคนหรือจะขัดขืนลิขิตฟ้า เฮลิคอปเตอร์ถูกดูดเข้าสู่ทะเล ต่อให้เยี่ยเม่ยกับลูกพี่พยายามโดดหนีออกมาก็ยังคงถูกพายุนั้นดูดกลับเข้าไปอยู่ดี
ทั้งสองถูกคลื่นซัดจนแยกไปคนละทิศ น้ำทะเลสูงขึ้นจนมิดหัว
“เยี่ยเม่ย!”
“ลูกพี่!”
…..
บนหน้าผาตอนเหนือสุดของราชสำนักเป่ยเฉิน
ลำแสงสีแดงลุกโชติไปทั่วสารทิศ คนหลายคนเผชิญหน้ากันอยู่กลางเขา
แสงที่คล้ายกับอสรพิษคลั่งนั้นเปล่งออกมาจากบุรุษสวมชุดดำสนิทที่อยู่ตรงกลาง ริมฝีปากบางเฉียบของเขายิ้มอย่างงดงาม ดวงตาเย้ายวนราวปีศาจค่อยๆ กวาดมองบรรดาคนที่ล้อมเขาไว้ ท่วงท่าสูงสง่าเช่นนี้ ไม่คล้ายคนถูกล้อมสังหารเลยสักกระผีกริ้น กลับดูคล้ายจอมปีศาจสูบเลือด เฝ้าสังเกตเหยื่อของตน
ดวงหน้าเขางดงามเกินเปรียบ มีแรงดึงดูดเหนือใคร
คล้ายกับปีศาจกลับชาติมาเกิด ทว่ากลับมีรูปลักษณ์น่าชมดุจเทพเทวดา โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ขอเพียงกวาดตามองมา ต่อให้เกิดเภทภัย ประชาชนทุกข์ยากก็ยังชวนให้คนยินยอมเข้าสู่วิถีมารเพื่อเขา
ส่วนคนชุดดำกลุ่มนี้ มีคนสองคนเป็นผู้นำ คนทั้งสองหน้าตาเหมือนกันเป็นพิมพ์เดียว
พวกเขาเผชิญหน้ากับบุรุษชุดดำ ตวาดเสียงก้อง “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน วันนี้เป็นวันตายของเจ้า!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยน องค์ชายสี่แห่งราชสำนักเป่ยเฉิน บุคคลที่น่ากลัวที่สุดในใต้หล้า ไม่สิ เขาไม่ใช่คน แต่เป็นปีศาจ!
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ยินดังนั้นก็ค่อย ๆ ยกมุมปากขึ้น จัดแจงเสื้อผ้าของตน ท่วงท่าสง่างามคล้ายแมวเปอร์เซียตัวหนึ่ง น้ำเสียงยิ่งเนิบช้า “เผชิญหน้าศัตรู พวกเจ้าไฉนถึงได้ขาดความสร้างสรรค์เช่นนี้ หรือไม่รู้จักพูดจาเอาอย่างข้าบ้าง ยินดีที่ได้พบท่านทั้งสอง รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ประชันฝีมือ อืม ข้ายินดีเหลือเกินที่ได้พบท่านทั้งสอง”
ในขณะเอ่ยคำพูดนี้ เขายังพยักหน้าเล็กน้อย แสดงความเคารพเช่นคนมีฐานะสูง
อวี้เหว่ยผู้ติดตามประจำตัวของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเงยหน้ามองฟ้า ไม่รู้ว่าสมควรเห็นใจคนทั้งสองนั้นดีหรือไม่
คนทั้งสอง “…เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้าอย่าเสแสร้ง วันนี้พวกเราสองคนต้องสยบเจ้าลงภายใต้ดาบนี้ให้จงได้!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังคำแล้ว หันมามองพวกเขาตรงๆ น้ำเสียงยิ่งอ่อนโยนมากขึ้น “จ้านเทียนถง จ้านเทียนเจวี๋ย สองยอดฝีมืออันดับสามในยุทธภพ ทั้งยังเป็นพี่น้องฝาแฝด ที่พวกเจ้ามาฆ่าข้าเพื่อผดุงคุณธรรมขจัดเภทภัยก็เพราะได้รับคำสั่งมาจากเสด็จพี่ใหญ่ของข้าใช่หรือไม่”
สองพี่น้องตระกูลจ้าน “…”
คำถามนี้ยากจะตอบได้ หากบอกว่าได้รับคำสั่งจากคน ไฉนถึงบอกว่าผดุงคุณธรรมขจัดเภทภัยเล่า ถึงการฆ่าปีศาจเบื้องหน้านี้จะเป็นการขจัดเภทภัยให้คนทั่วหล้าไม่ผิดอย่างแน่นนอนก็ตามที
จ้านเทียนเจวี๋ยเอ่ยปาก “พี่ใหญ่ องค์ชายใหญ่สั่งไว้ว่าไม่ต้องพูดจาไร้สาระกับเขา! ฆ่าคนก็พอแล้ว!” องค์ชายใหญ่กับองค์ชายสี่ไม่ลงรอยกัน หาใช่เรื่องต้องเก็บงำอันใด เขาไม่กลัวที่จะเอ่ยออกไป ซ้ำไม่พูดคุยเหลวไหล หากยังทนสนทนาต่อไปพวกเขาคงเริ่มสงสัยในตัวเองแล้ว
“ฆ่า!”
คนชุดดำกลุ่มหนึ่งติดตามสองพี่น้องตระกูลจ้านพุ่งเข้าจู่โจมโดยพร้อมเพรียง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถอนใจเบาๆ สะบัดแขนเสื้อ กิ่งไม้กิ่งหนึ่งบนต้นไม้ข้างทางพลันถูกกำลังภายในสะบั้นหักลง อาศัยความปราดเปรียวดุจสายลม คมกริบดุจใบกระบี่ พุ่งใส่เหล่าคนชุดดำ กิ่งไม้บางเล็กภายใต้การควบคุมของกำลังภายใน ทะลวงอย่างดุดันทะลุผ่านทรวงอกคนชุดดำอย่างไม่น่าเชื่อ เลือดสาดกระเซ็นราวกับห่าฝน คนพวกนี้แต่ละคนจบชีวิตลงในที่แห่งนี้โดยไม่ทันได้ขัดขืนเลยสักน้อย
ส่วนปีศาจที่ฆ่าคนมองศพเกลื่อนพื้น น้ำเสียงกลับยิ่งอ่อนโยนขึ้นอีก “เสด็จพี่ใหญ่รู้ทั้งรู้ว่าข้ามีเมตตา มือยังถือกระบี่สังหารคนไม่ได้กลับยังส่งคนมาลอบสังหารข้า จิตใจเขาช่างโหดเ**้ยมอำมหิตนัก”
อวี้เหว่ยผู้ติดตาม“…”
นั่นสิเตี้ยนเซี่ย[1] มือท่านถือกระบี่ฆ่าคนไม่ได้ เพราะว่าไม่ต้องถือ ใช้กิ่งไม้กิ่งเดียวก็จัดการได้เรียบแล้ว
จ้านเทียนเจวี๋ยและจ้านเทียนถงกำดาบในมือแน่น รู้ว่าคนเบื้องหน้าไม่อาจรับมือได้โดยง่าย
ทั้งสองมองหน้ากัน ควงดาบออกไปเป็นทางเดียว
ยอดฝีมืออันดับสามของยุทธภพ เมื่ออยู่ต่อหน้าของปีศาจตนนี้กลับคล้ายมุสิกรนหาที่ตาย ริมฝีปากบางของเขายกยิ้ม โบกมือเบาๆ ครั้งหนึ่ง ลำแสงสีแดงพุ่งออกไปยังคนทั้งสอง
ปัง! เกิดเสียงดังขึ้น
คนทั้งสองยกดาบขึ้นกำบังกำลังภายในสายนั้น ทว่าถูกระเบิดกระแทกออกไปไกล ร่วงตกลงพื้น ดาบหลุดออกจากมือกระเด็นห่างออกกว่าร้อยหมี่
จ้านเทียนเจวี๋ยและจ้านเทียนถงนัยน์ตาฉายแววหวาดหวั่นวูบหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะร้ายกาจถึงขั้นนี้ แค่กระบวนท่าเดียวก็ทำให้พวกเขาหมดแรงโต้กลับได้ ซ้ำยังบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มน้อยๆ ก้าวเท้าด้วยท่าทางสง่างาม ชายชุดลากพื้นส่งเสียงเล็กถี่
เมื่อมาถึงเบื้องหน้าคนทั้งสอง เขายกมือขึ้น ดาบของจ้านเทียนถงที่อยู่ห่างออกไปร้อยกว่าหมี่พุ่งกลับมาตกที่เบื้องหน้าพวกเขา
เขากะพริบดวงตาเย้ายวนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกน่าสนใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงพวกเจ้ามาสังหารข้าเป็นเรื่องโหดเ**้ยมอำมหิต ทว่าข้าเป็นคนมีเมตตา จัดการคนอย่างใจกว้างและมีคุณธรรมอย่างที่สุด ดังนั้นตัดสินใจไว้ชีวิตพวกเจ้าหนึ่งคน กลับไปรายงานผลกับเสด็จพี่ใหญ่ข้า บอกเขาว่าหากจะอาศัยความสามารถของเขานั้นยังฆ่าข้าไม่ได้ พวกเจ้าได้ยินชัดหรือยัง ระหว่างพวกเจ้ารอดไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น!”
คนทั้งสองสั่นสะท้าน
เห็นปีศาจร้ายเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มว่า “พี่น้องฝาแฝดร่วมเป็นร่วมตายกันมาหลายปี ทว่าวันนี้พวกเจ้ามีชีวิตรอดได้เพียงคนเดียว ฆ่าอีกฝ่ายก็มีชีวิตรอดต่อไป! เป็นอย่างไรข้ามีเมตตากับพวกเจ้าใช่หรือไม่”
จ้านเทียนเจวี๋ยตวาดด้วยโทสะ “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน! เจ้ามันปีศาจร้าย ฝันไปเถอะ! พวกเราไม่มีทาง ไม่ทางฆ่าฟันกันเองแน่”
ทว่าเขายังไม่ทันพูดจบ
จ้านเทียนถงถือดาบขึ้นมาเสียบเข้าที่ทรวงอกของตนเอง ทั้งมองจ้านเทียนเจวี๋ยด้วยสายตาล้ำลึก “น้องชาย มีชีวิตต่อไปให้ดี!”
เลือดพุ่งกระฉูดเป็นสาย จ้านเทียนถงจบชีวิตลง เขารู้อยู่แก่ใจว่าหาใช่คู่ต่อสู้คนตรงหน้าไม่ จึงสละชีวิตเพื่อปกป้องน้องชาย
ภาพเหตุการณ์นี้เป็นดั่งดาบแหลมฟาดฟันหัวใจจ้านเทียนเจวี๋ย เขากระอักเลือดออกมาคำหนึ่งในทันที
“เป่ยเฉินเสียเยี่ยน! เจ้ามันปีศาจร้าย ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นชิ้น!” จ้านเทียนเจวี๋ยตะเบ็งเสียงใส่เป่ยเฉินเสียเยี่ยน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาได้ใส่ใจความเกรี้ยวกราดของฝ่ายตรงข้ามสักน้อย หัวเราะเบา ๆ มองจ้านเทียนเจวี๋ย ยิ้มเอ่ยว่า “เห็นพี่ชายเสียสละชีวิตเพื่อเจ้าแล้ว เขาเป็นคนมีคุณธรรมคนหนึ่ง แต่ว่าเจ้าเล่า น่ารังเกียจแค่ไหน รู้ทั้งรู้ว่าตนเองตายพี่ชายถึงมีชีวิตรอดได้ ทว่ารั้งรอไม่ลงมือปลิดชีวิตตัวเอง รอให้พี่ชายเจ้าตายก่อน ข้าเป็นปีศาจร้าย หรือว่าเจ้าไม่ใช่กัน เจ้าต่างหากคือตัวการที่ทำให้พี่ชายเจ้าตาย!”
จ้านเทียนเจวี๋ยได้ฟังประโยคนี้ก็คิดโต้แย้ง
ทว่าใบหน้ากลับซีดเผือดลง ไม่รู้ตอบกลับอย่างไรดี เขารู้ดีว่าหากตนเองตาย พี่ชายถึงอยู่รอด ทว่าเขากลับคิดไม่ถึงเรื่องจบชีวิตตัวเองที่นี่ อย่างนี้ไม่เท่ากับว่าที่เขาชักช้าไม่จบชีวิตตัวเองเป็นการทำร้ายพี่ชายหรอกหรือ
คำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ผิด เขาไม่จบชีวิตตัวเอง พี่ชายถึงได้…
เมื่อคิดเช่นนี้จิตใจเริ่มสับสน พี่ชายตายต่อหน้า ตนเองก็ไม่อาจสู้กับคนเบื้องหน้าเพื่อแก้แค้นได้ การตายของพี่ชายเกี่ยวข้องกับตนเพราะเขาไม่ฆ่าตัวตาย การจู่โจมหลายอย่างนี้ทำให้สติสัมปชัญญะสับสน สายตาว้าวุ่น “ข้าหรือ เป็นข้าทำร้ายพี่ชาย ข้า เป็นข้าเอง ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ใช่ข้า…เป็นข้า…ข้า…”
อวี้เหว่ยชมดูอยู่ด้านข้าง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ในฐานะผู้ติดตามองค์ชายสี่ เห็นเตี้ยนเซี่ยกลั่นแกล้งคน บีบคั้นให้คนเป็นบ้ามามิใช่วันสองวันนี้ ยามเตี้ยนเซี่ยอารมณ์ดีหรืออารมณ์ไม่ดีก็ตาม ชมชอบหาคนมากลั่นแกล้ง ตัวเขาไม่เป็นฝ่ายออกไปกลั่นแกล้งคน คนกลุ่มนั้นสมควรขอบคุณฟ้าดินแล้ว ถึงกลับกล้าเสนอตัวมาถึงที่อีก
เห็นจ้านเทียนเจวี๋ยคล้ายเป็นบ้าไปแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกมือขึ้น กระแสปราณสายหนึ่งเข้าสู่ร่างกายฝ่ายตรงข้าม จ้านเทียนเจวี๋ยพลันมีกำลังเพิ่มขึ้นมา ลุกขึ้นมาวิ่งไปยังทิศทางเมืองหลวง แต่คนกลับเสียสติ พูดพร่ำเหลวไหลไม่หยุด
อวี้เหว่ยเอ่ย “เขาเป็นเช่นนี้แล้ว ดูท่าคงไม่อาจฝากคำพูดของท่านไปถึงองค์ชายใหญ่ได้แน่ แต่ว่าเตี้ยนเซี่ย ท่านบีบให้คนคลุ้มคลั่งไปอีกคนแล้ว…”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกระดกยิ้มมุมปาก เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าทำให้เขาคลุ้มคลั่งหรือ ข้าก็แค่ทำให้เขาเห็นความจริงที่ว่าตนเองไม่ยินยอมสละชีวิตเพื่อพี่ชาย ทำให้เขาเข้าใจความเห็นแก่ตัวของตนเอง ช่วยเขารู้จักธาตุแท้ของตนชัดๆ ไฉนเรียกว่าบีบให้คลุ้มคลั่งเล่า”
อวี้เหว่ยหมดคำพูด “…”
ท่านหน้าตาหล่อเหลาพูดอะไรก็ถูกต้อง!
ทันใดนั้นได้ยินน้ำเสียงไพเราะของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดังขึ้นมาอีกว่า “อวี้เหว่ย เจ้าว่าหลังจากกลับถึงเมืองหลวง ข้าสมควรบีบคอพี่ใหญ่ให้ตายดีหรือไม่ ถึงข้าเป็นคนเปี่ยมเมตตามาก ไม่อาจทนฆ่าคนได้ ทว่าจากการที่พี่ใหญ่ส่งคนมาลอบสังหาร ข้าก็ดูออกแล้วว่ามีเพียงการแก้แค้นอย่างโหดร้ายเท่านั้น ถึงสอนให้บรรดาพี่น้องคนอื่นของข้ารู้ว่าการมีน้ำมือชั่วร้ายอำมหิตนั้นเป็นเรื่องผิด รักพี่น้องถึงเป็นสิ่งที่คนเราสมควรกระทำ สั่งสอนให้พวกเขาอยู่ในครรลองคลองธรรม ภายหน้าจะได้ใจกว้างกับน้องชายที่เปี่ยมด้วยเมตตาและอ่อนแอเช่นข้า คิดเรื่องชั่วร้ายให้น้อยลงหน่อย”
อวี้เหว่ย “…ขอแค่ท่านยินดีก็พอ” ความจริงเขาอยากบอกเจ้านายว่า ‘เปี่ยมด้วยเมตตาและอ่อนแอ’ ไม่เข้ากับท่านเลย ส่วนคำพูดเหลวไหลพวกนั้นของท่าน รวมถึงกระทั่งเรื่องที่ท่านคิดฆ่าองค์ชายใหญ่ ท่านทำแล้วยินดีก็พอแล้ว…
คำพูดเขาเพิ่งสิ้นสุดลง ภูเขาพลันสั่นสะเทือน กลางท้องฟ้าเกิดพายุหมุน มีคนผู้หนึ่งร่วงลงมา ภายใต้เหตุการณ์เช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังคงสงบนิ่งอยู่ได้
คนตกลงมาจากฟ้าหรือ ตาฝาดไปหรือเปล่า
เขาเลิกคิ้ว กวาดตามองคนกลางอากาศนั่นครู่หนึ่ง จากนั้นก็เห็นดวงตาคู่งาม เป็นสตรีนางหนึ่ง อีกทั้งยามนี้เยี่ยเม่ยลืมตาขึ้นสบสายตากับเขาพอดี เมื่อเห็นใบหน้าเขา ดวงตาของเธอก็ซ่อนความตกใจเอาไว้ไม่อยู่
เสี้ยวเวลาถัดมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันฉีกยิ้ม
ทันใดนั้นเขายื่นมืออกมาช้าๆ แก้สายรัดเอวออกอย่างสง่างาม “มีคนงามตกจากฟ้า ข้าย่อมต้องถอดผ้ารอ”
[1] เตี้ยนเซี่ย คำเรียกแทนตัวผู้มากศักดิ์ เช่นองค์ชายหรือท่านอ๋อง