เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 10
คนทั้งหมดมองหน้าสบตากัน
มองแผ่นหลังเยี่ยเม่ยเดินเข้าห้องไป องครักษ์ผู้หนึ่งเดินมาข้างกายเจ้าเมืองหลิน เอ่ยถาม “ท่านเจ้าเมือง ให้นางเข้าไปแบบนี้ นี่…”
ความจริงที่เขาอยากถามคือ ทำแบบนี้ปลอดภัยหรือเปล่า
เจ้าเมืองหลินเห็นเยี่ยเม่ยเดินเข้าไปแล้วจึงปิดประตูลง
เขายกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก
เอ่ยอย่างจนปัญญา “แต่เจ้าเมืองอย่างข้าก็จนปัญญาแล้ว หรือจะปล่อยให้ท่านหญิงอดอาหาร หลายปีมานี้ท่านหญิงถูกเลี้ยงดูอย่างดี หากปล่อยให้หิวจริงๆ เกรงว่าจะเกิดเรื่องได้
“แต่แม่นางท่านนี้…”องครักษ์ไม่วางใจ
เจ้าเมืองหลินปาดเหงื่อที่หน้าผากอีก “อย่างไรก็เป็นญาติเชื้อพระวงศ์ มีฐานะเป็นท่านหญิง แม่นางผู้นั้นล่วงเกินไปครั้งหนึ่งแล้ว คงไม่ล่วงเกินอีกเป็นครั้งที่สองหรอกกระมัง”
องครักษ์พยักหน้า “ท่านเอ่ยได้ถูกต้อง คิดว่าแม่นางท่านนี้คงไม่รนหาที่ตาย อีกอย่างเท่ากับท่านมอบโอกาสให้นางสำนึกผิดด้วย”
เขาพูดคำนี้ออกมา ได้รับคำชื่นชมจากคนอื่น ๆ
ทุกคนล้วนพยักหน้า…
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะพยักหน้า
ปัง เสียงดังสนั่นออกมาจากด้านใน
แต่ละคนเริ่มตัวสั่น หันกลับไปมองประตูหน้าห้องซือถูเฉียงเป็นตาเดียว
…
ภายในห้อง
ซือถูเฉียงมองเยี่ยเม่ยด้วยแววตาหวาดกลัว เห็นสตรีผู้นี้เดินเข้ามาด้านหน้านาง สิ่งแรกที่ทำคือยกขากระทืบลงบนเก้าอี้ดังปัง เก้าอี้แยกออกเป็นเสี่ยง
นั่นคือที่มาของเสียงดัง
นางเห็นเก้าอี้แตกกระจาย เนื้อตัวสั่นเทิ้มโดยไม่รู้ตัว สมองคิดว่าหากนั่นคือตัวเองล่ะก็…
เยี่ยเม่ยเหยียบเก้าอี้แตก ซือถูเฉียงหยุดอาละวาดขว้างปาข้าวของ
เยี่ยเม่ยพอใจ ถือว่าเริ่มต้นได้ดี
นางเดินเข้าไปหาซือถูเฉียงภายใต้สายตาหวาดกลัวของอีกฝ่าย
สีหน้าเฉยชา น้ำเสียงเย็นเฉียบถาม “ที่เจ้ามองข้าเพราะถูกความสง่างามล้ำเลิศของข้าสยบ เกิดความอยากกินข้าวภายใต้รัศมีเจิดจรัสของข้าบ้างหรือยัง”
ซือถูเฉียง “…” นางแพศยานี่เสียสติไปแล้วหรือเปล่า
นางจ้องเยี่ยเม่ยครู่หนึ่ง เห็นสายตาจริงจังของอีกฝ่าย ไม่คล้ายกำลังหยอกล้อ
นางคิดว่าตนเองเป็นท่านหญิง ถึงแม้หญิงแพศยานี่น่ากลัว แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรนางแน่ ชั่วขณะนั้นเกิดความกล้า กัดฟันเอ่ยด้วยโทสะ “นางแพศยา ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา รีบคุกเข่าให้ข้าเดี๋ยวนี้ ตบปากตัวเองซะ ไม่อย่างนั้นท่านหญิงอย่างข้าจะทำให้เจ้าร่างแหลกเป็นหมื่นชิ้น”
เยี่ยเม่ยฟังจบ สีหน้ายังคงเฉยชา ค่อยๆ ระบายลมหายใจ
นางเดินเข้าหาซือถูเฉียงทีละก้าวๆ
ซือถูเฉียงเห็นใบหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง ถอยร่นลงไม่หยุด ถามเสียงหวาดกลัว “นางแพศยา เจ้าคิดทำอะไร”
นางเพิ่งเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยก็มาหยุดที่เบื้องหน้าแล้ว
นางกระชากคอเสื้อซือถูเฉียงในครั้งเดียว เหวี่ยงอีกฝ่ายอย่างแรง
“กรี๊ด…” ซือถูเฉียงร้องเสียงหลง ได้ยินเสียงกระดูกของตนแตกหัก
เยี่ยเม่ยก้มมองนาง เสียงเย็นชา “ตอนนี้อยากกินข้าวแล้วหรือยัง”
ซือถูเฉียงยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ชี้นิ้วด้วยโทสะ “เจ้านางแพศยา เจ้า…”
เยี่ยเม่ยเตะน่องขาอีกฝ่ายทีหนึ่ง
ซือถูเฉียงร้องเสียงอนาถ “โอ๊ย”
น่องเป็นจุดที่ได้รับความเจ็บปวดมากที่สุด แรงเตะไม่ต้องมาก สำหรับท่านหญิงที่ได้รับการดูแลอย่างพะเน้าพะนอมาแต่เล็ก ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด
เสียงร้องราวกับหมูถูกเชือดดังออกจากห้อง
บรรดาองครักษ์มองหน้ากัน อยากเข้าไปเสียตั้งแต่เสียงร้องครั้งแรก แต่เกรงว่านางยังอดอาหารต่อไป ถึงได้ฝืนใจไม่เคลื่อนไหว ครั้งนี้ได้ยินเสียงอีก ไม่ต้องพูดอะไร เตรียมตัวพุ่งเข้าห้อง หากไม่เข้าไปอีกก็เกรงว่าท่านหญิงจะถูกตีตาย
ทว่าที่คิดไม่ถึงก็คือ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันเดินเข้ามาในเวลานี้ ยกมืออย่างสง่างามหยุดไว้
ทั้งหมดมองเขาด้วยความหวาดระแวง ไม่กล้าส่งเสียงสักแอะเดียว ทั้งไม่กล้าขยับเช่นกัน
…
ภายในห้อง
ซือถูเฉียงถลึงตาใส่เยี่ยเม่ยอย่างดุร้าย “นางแพศยา ข้าจะเรียกพวกเขาเข้ามาจับเจ้าเดี๋ยวนี้…”
เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว ตามหลักซือถูเฉียงส่งเสียงร้องแบบนี้ พวกองครักษ์สมควรพุ่งเข้ามาได้แล้ว ส่วนเพราะอะไรพวกเขาไม่เข้ามา นางไม่เข้าใจ ทั้งไม่มีอารมณ์ออกไปดู
นางเอ่ยเสียงเย็นช้าๆ “พวกเขาเข้ามา ข้าก็สามารถส่งพวกเขาออกไปได้ก่อนพวกเขาจะช่วยเจ้า ความสามารถของข้า เจ้าก็เห็นแล้ว”
ซือถูเฉียงถลึงตาไม่เอ่ยวาจา
ความสามารถน่าสยองของผู้หญิงคนนี้ นางเห็นแล้วอย่างแท้จริง
แค่ลงมืออย่างขอไปที ตนก็ได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส
เยี่ยเม่ยเอ่ยไป ก็ล้วงมีดสั้นในแขนเสื้ออกมา สีหน้าเย็นชา “อีกอย่างนะ หากพวกเขาเข้ามา ข้าอารมณ์ไม่ดี ไม่แน่ว่าจะตัดมือเจ้าทิ้ง”
“เจ้ากล้าหรือ” ซือถูเฉียงจ้องเยี่ยเม่ยด้วยความเดือดดาล
เยี่ยเม่ยก้มหน้ามองนาง แววตาเย็นชาราวน้ำแข็ง สายตาคมกริบไร้หัวใจราวกับใบมีดทำให้ซือถูเฉียงค่อยๆ รู้สึกว่าในร่างของตนมีงูน้ำแข็งตัวหนึ่งพันรอบหัวใจนางไว้ ทำให้นางสั่นไปทั้งตัว
เยี่ยเม่ยถามเสียงเย็น “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าจริงหรือ”
ซือถูเฉียงเห็นสีหน้าอีกฝ่าย พลันรู้สึกเสียววาบขึ้นมา หางตามีน้ำตา ดูท่าสตรีผู้นี้เป็นคนเสียสติถึงขั้นไม่มีอะไรไม่กล้าทำ
นางสั่น “ไม่…ข้าไม่…”
เยี่ยเม่ยพยักหน้าอย่างพอใจ สีหน้าเย็นชา “อย่างนั้นก็เชื่อว่าข้ากล้าแล้ว ตอนนี้เจ้าจะกินข้าวได้หรือยัง”
“ท่านหญิงอย่างข้าไม่…” ซือถูเฉียงคิดจะตอบว่าไม่กิน
สายตาคมกริบราวคมมีดของเยี่ยเม่ย ตวัดมาทางนาง นางเกือบส่งเสียงร้องไห้ออกมา “กิน นางแพศยา เจ้า…”
เมื่อสิ้นเสียง
มีดในมือเยี่ยเม่ยพลันพุ่งเข้ามาด้านหน้า ซือถูเฉียงยื่นมือออกไปปัด มีดปักลงที่พื้นระหว่างง่ามนิ้วของซือถูเฉียงพอดี
ซือถูเฉียงตกใจจนร้องไม่ออก รู้สึกปวดเบา ตกใจเสียแทบปัสสาวะเรี่ยราดออกมา
จากนั้นได้ยินเสียงเย็นชาของเยี่ยเม่ย ก้มเอ่ยลงมา “ยังจะเรียกนางแพศยา นางแพศยาอีกไหม เจ้าว่าเจ้าควรเรียกข้าว่าอะไร”
ซือถูเฉียงมองมีดที่ง่ามนิ้ว สะอื้น เอ่ยเสียงสั่น “แม่…แม่นาง”
เยี่ยเม่ยคุกเข่าลง “เจ้าไม่รู้สึกว่าสมควรเติมคำขยายอะไรลงไปหน่อยหรือไง อย่างเช่นคนงาม”
“แม่นางคนงาม” ซือถูเฉียงเห็นใบหน้าเย็นชาในระยะประชิด ตกใจจนร้องไห้ออกมา
ทว่าเห็นเยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว “ไฉนเจ้าถึงไม่ใส่ใจเอาเสียเลย ข้าบอกว่าคนงาม เจ้าก็มีแค่คนงามอย่างนั้นหรือ”
“แม่นางหน้าตางดงาม ข้าสามารถกินข้าวได้หรือยัง ฮือๆๆ…” ซือถูเฉียงเริ่มสะอึกสะอื้น นางอยากกินข้าว ไม่อยากเผชิญกับใบหน้าน่ากลัวนี่อีก
เมื่อเห็นซือถูเฉียงมองอย่างชื่นชม
ภายใต้อาการตัวสั่นเทิ้มของซือถูเฉียง เยี่ยเม่ยพยุงอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างอ่อนโยน เดินจนมาถึงข้างโต๊ะ มองอาหารเย็นชืดบนโต๊ะ มีหลายจานที่ถูกซือถูเฉียงคว่ำทิ้งไปแล้ว
แต่เยี่ยเม่ยไม่ใส่ใจรายละเอียดพวกนี้ เสียงเย็นสั่ง “กินสิ”
พูดจบแล้ว นางนั่งตรงข้ามซือถูเฉียง
ซือถูเฉียงมองเยี่ยเม่ยด้วยความหวาดกลัวแตกตื่น ไม่สนว่าอาหารทั้งโต๊ะนี้สามส่วนถูกตัวเองละเลงเละแล้ว รีบก้มหน้าก้มตาสะอื้นพลางกินข้าว
เยี่ยเม่ยพลันมองนางอย่างอ่อนโยน สีหน้าเย็นชาดั่งเดิม ถาม “ร้องไห้ทำไม เจ้าไม่ยอมกินข้าวเหรอ”
ซือถูเฉียงหยุดร้องทันที “ไม่ ข้ายินยอม ยินยอมอย่างยิ่ง ขอร้องเจ้าล่ะ ให้ข้ากินข้าวเถอะ อย่าตีข้าเลย อย่าตัดนิ้วข้าด้วย ฮึกๆๆ ฮือๆๆๆ…”