เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 103
อากาศทั่วทั้งสี่ทิศเริ่มสั่นสะเทือน
แม่ทัพและเหล่าทหารอยู่ในอารามสงสัยว่าจะเกิดแผ่นดินไหวใช่ จนกระทั่งพวกเขาตัวสั่นหวาดกลัว คิดเพียงหนีออกจากสนามรบแห่งนี้โดยพลัน
แม้กระทั่งเยี่ยเม่ยที่เพิ่งหลับไปเมื่อครู่ก็ถูกแรงสั่นสะเทือนรุนแรงนี้ปลุกขึ้น
จากมุมมองของคนในยุคปัจจุบันอย่างนางก็คิดว่าด้านนอกเกิดแผ่นดินไหวเช่นเดียวกัน
นางยังไม่ทันคิดว่าตัวเองสมควรรีบหนีเอาชีวิตรอดดีหรือไม่
ด้านนอกพลันเกิดเสียง “ปัง” ดังสนั่น
จากนั้น ทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบ
อากาศสงบลงแล้ว พื้นแผ่นดินก็ไม่สั่นไหวอีก เยี่ยเม่ยใคร่ครวญอยู่หลายวินาที ในฐานะที่ตนเป็นผู้นำทัพใหญ่ หากเกิดแผ่นดินไหวจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่มีใครมารายงานนางหรอกกระมัง
ด้วยเหตุนี้นางจึงปล่อยใจสบาย หลังจากที่พื้นดินสงบลงแล้ว “พรึบ” ตัวนางก็มุดกลับเข้าที่นอน หลับตาเข้าสู่นิทรารมณ์
แผ่นฟ้าผืนดินกว้างใหญ่ การนอนเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด
……
ส่วนบนกำแพงเมือง คนทั้งสองประมือกัน ทำให้พื้นที่ในรัศมีหลายลี้เกิดดินหินแตกกระจายเป็นฝุ่นตลบ พื้นดินแตกระแหง
ทว่ากำแพงเมืองกลับไม่เสียหายเลยสักกะผีกริ้น
บุรุษสองคนยืนประจันกันอยู่บนกำแพง
ผมดำขลับปอยหนึ่งลอยอยู่ในอากาศ ไม่รู้ว่าผมของใครขาดแล้ว
ก็ถูกแล้ว ต่อให้บรรดาทหารและแม่ทัพทั้งหลายห้อมล้อมชมดูอยู่ แต่ความเร็วในการต่อสู้ของคนทั้งสองไวเกินไป ใครก็มองไม่ชัด สรุปผมปอยนี้เป็นของใครกันแน่
จงรั่วปิงและซินเยว่เยี่ยนเป็นยอดฝีมือแห่งยุค ยามนี้ยังชะงักงันไปเช่นกัน เริ่มสงสัยว่าตนเป็นยอดฝีมือจอมปลอมอีกครั้ง
หลังจากบรรยากาศนิ่งสงบลงสักพัก
สายตาคนทั้งหมดมองกันไปมองกันมา ในที่สุดเมื่อมองจากสีหน้าของจิ่วหุน ก็ดูออกว่าใครแพ้ใครชนะ
จิ่วหุนมองปอยผมดำกลุ่มนั้น
กวาดตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นัยน์ตาคล้ายมองคนตาย เผยไอสังหาร แต่เขายังเอ่ยด้วยเสียงสงบดังเดิม “ข้าแพ้แล้ว ครึ่งกระบวนท่า”
“ปัง…” เสียงดังขึ้น คนทั้งหมดในที่นี้พลันส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา
ความจริงตั้งแต่ต้นก็ไม่มีใครคิดว่าจิ่วหุนจะเอาชนะเตี้ยนเซี่ยได้
แต่ว่า…
ใครก็คิดไม่ถึง บุรุษหนุ่มอายุเยาว์ผู้นี้ แพ้ให้กับเตี้ยนเซี่ยเพียงแค่ครึ่งกระบวนท่า หากฝึกฝนต่อไปในภายภาคหน้า ความสามารถของบุรุษหนุ่มผู้นี้คงจะไร้ขีดจำกัดแล้ว
สายตาที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองจิ่วหุนปรากฏแววชื่นชมไม่น้อย เขาเอ่ยช้าๆ อย่างน่าฟัง “ดูจากอายุของเจ้าแล้ว ฝีมือเช่นนี้ทำให้เยี่ยนชื่นชมนัก”
“ท่านเข้าใจก็ดี” จิ่วหุนมองเขาอย่างเย็นชา ในเมื่อแพ้แล้ว จิ่วหุนหาใช่คนไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ทั้งมิใช่คนแพ้ไม่เป็น
เขามองใบหน้าชวนให้คนรังกียจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เป็นครั้งแรกที่คร้านจะรังเกียจที่อีกฝ่ายตอกย้ำว่าเขาอายุเยาว์ เอ่ยเสียงเบาว่า “ภายในห้าปี ข้าไม่แพ้ท่านแน่”
สำหรับยอดฝีมือระดับพวกเขาแล้ว พ่ายแพ้เพียงครึ่งกระบวนท่า อย่างน้อยก็ต้องการเวลาเจ็ดถึงแปดปีในการพัฒนาฝีมือ ส่วนที่ว่าห้าปีนั้น เขาจิ่วหุนมีความมั่นใจว่าจะทำได้
จิ่วหุนเอ่ยจบ ก็ไม่ใส่ใจเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีก หมุนกายจากไป
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเงาร่างจากไปของเขา สองมือไพล่หลัง มองส่งอีกฝ่ายเดินจากไป
อวี้เหว่ยแอบวิ่งมาข้างกายองค์ชายสี่ “เตี้ยนเซี่ย คือว่า…ท่านไม่เข่นฆ่าให้สิ้นซากหรือ”
“แม่นางเยี่ยเม่ยกล่าวแล้ว ไม่อาจเอาชีวิตเขา” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะออกมาอย่างสบายอารมณ์ กลับไม่ใส่ใจ ไม่ช้าเขาก็เอ่ยต่อว่า “เจ้าก็เห็นสถานการณ์แล้ว เจ้าเด็กนี่ฝีมือไม่ธรรมดา หากคิดเอาชีวิตเขา ไม่สู้กันเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเกรงว่าจะทำไม่ได้”
ระหว่างเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน เยี่ยเม่ยจะต้องตื่นแล้วอย่างแน่นอน เมื่อเห็นว่าเขาไม่ฟังคำพูดของนางเลยสักน้อย มุ่งมั่นเอาชีวิตเจ้าหนุ่มนี่ ถึงเวลานี้ยากรับรองว่านางจะมองเขาอย่างไร
“แต่…” นี่หาใช่คำถามที่อวี้เหว่ยใส่ใจที่สุด
คำถามที่อวี้เหว่ยใส่ใจมากที่สุด ความจริงแล้วคือ “เตี้ยนเซี่ย คำพูดเมื่อครู่ของเจ้าหนุ่มนั่น ท่านก็ได้ยินแล้ว ภายในห้าปีเขาจะเอาชนะท่านให้ได้ เวลานี้ท่านไม่กำจัดเขาให้สิ้นซาก ห้าปีให้หลังท่านจะมีอันตราย”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กวาดตามองอวี้เหว่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก ถามค่อยเป็นค่อยไปว่า “ดังนั้นความหมายของเจ้าคือ ภายในห้าปีนี้เขาพัฒนาฝีมือ ส่วนเยี่ยนก็จะตายอย่างนั้นหรือ ดังนั้นไม่อาจหยุดอยู่ที่เดิม รอให้คนมาฆ่าแล้ว”
อวี้เหว่ย “อ้อ…”
ยามนี้เขาเข้าใจแล้ว
จริงด้วย ห้าปีผ่านไปจิ่วหุนสามารถพัฒนาวิชายุทธ์ได้ เตี้ยนเซี่ยก็ทำได้เช่นกัน
ในชั่วขณะที่อวี้เหว่ยเข้าใจนั้นเอง
นัยน์ตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรากฏรอยยิ้ม ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายมีความสง่างามและเจ้าเล่ห์ เอ่ยว่า “ยามนี้เยี่ยนเอาชนะเขาได้ครึ่งกระบวนท่า ภายหลังห้าปี เยี่ยนจะเอาชนะเขาให้ได้สองกระบวนท่า”
นั่นก็เท่ากับเอาชนะได้มากกว่าวันนี้กระบวนท่าครึ่ง ระดับยอดฝีมืออย่างพวกเขา กระบวนท่าเพิ่มเป็นหนึ่งกระบวนท่าครึ่ง เกรงว่าต้องใช้เวลายี่สิบปีถึงจะทำสำเร็จ เขาเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ใช่เวลาห้าปีก็เพียงพอแล้ว
อวี้เหว่ย “…”
ก็ได้ เขาเข้าใจแล้ว
คนทั้งสองนับว่าเป็นปรปักษ์กันแล้ว วันนี้ต่อยตีกันจนฝุ่นตลบดินกระจาย เต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตรไม่พอใจยังไม่พอ ยังเอ่ยพ่นวาจาท้าทายถึงเรื่องอีกห้าปีข้างหน้า
ต่างก็เตรียมเป็นศัตรูกันชั่วชีวิตแล้วใช่หรือเปล่า
….
อวี้เหว่ยคิดแล้วก็ลูบหัวเหนื่อยแทนคนทั้งสอง…
ส่วนในเวลานี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองเขา เสนอความเห็นด้วยเสียงอ่อนโยน “อวี้เหว่ย อย่าคิดในใจเยอะเกินไป เจ้าจะเหนื่อยเอง”
อวี้เหว่ย “…” ความคิดในใจช่วงนี้ยังถูกดูออกด้วยเหรอ
เขาสีหน้าเฉยชา “เตี้ยนเซี่ย ท่านต้องเชื่อข้าน้อยนะ ครุ่นคิดอยู่ในใจบ่อยๆ ข้าน้อยจะต้องเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน”
แม่ทัพและทหารด้านล่าง มองฉากนี้อยู่นาน ยังไม่ได้สติกลับมา
ห้าปีให้หลังคนทั้งสองจะเป็นดั่งคำพูดของพวกตน เอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ หรือชนะอีกฝ่ายสองกระบวนท่า เรื่องนี้พวกเขาไม่รู้แล้ว
แต่ว่าวันนี้…
ความสามารถของคนทั้งสอง พวกเขาได้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว
เป็นการเปิดโลกกว้างให้พวกเขาโดยแท้จริง
อวี้เหว่ยมององค์ชายสี่ “เตี้ยนเซี่ย วันนี้ท่านเอาชนะเขาได้ ท่านว่าภายหน้าเขายังจะเป็นปรปักษ์กับท่านอีกเหรอ”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงักไป เอ่ยปากอย่างช้าๆ “ยามที่ชักดาบออกจากฝัก เขาก็ยังต้องชัก”
จิ่วหุนผู้นั้น สำหรับเขาแล้วยังสงสัยว่าในโลกของอีกฝ่าย ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนใช้ดาบในการแก้ไขใช่หรือไม่
อวี้เหว่ย “อ้อ” ดังนั้นพวกท่านวันนี้ต่อยตีกัน ก็ไม่อาจทำให้พวกท่านพักรบได้สินะ
ในขณะที่อวี้เหว่ยถอนใจ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองทหารด้านล่าง น้ำเสียงน่าฟัง ค่อยๆ เอ่ยว่า ”วันนี้ได้ทำศึกกับเสี่ยวจิ่ว เยี่ยนพ่ายแพ้แล้ว พวกเจ้าเข้าใจหรือเปล่า”
เหล่าทหาร “เอ๋?”
คนทั้งหมดอ้าปากกว้าง มองเตี้ยนเซี่ยอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ไม่ใช่ชนะแล้วเหรอไง
หรือว่าแพ้แล้วถึงจะเป็นเกียรติยศ ดังนั้นเตี้ยนเซี่ยจึงเตรียมตัวโกหก
ในขณะที่ทุกคนอยู่ในความมึนงง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็อธิบายต่อว่า “เดิมศึกนี้ เยี่ยนเอาชนะได้ แต่เพราะฟังคำของแม่นางเยี่ยเม่ย ไม่อาจเอาชีวิตเสี่ยวจิ่ว ในช่วงเวลาสำคัญนั้นเองเยี่ยนถึงได้ยอมถอยให้ ไม่เอาชีวิตเสี่ยวจิ่ว แต่เยี่ยนก็รับบาดเจ็บภายในไม่เบา”
เหล่าทหาร “…” นี่…นี่มันเรื่องล้อเล่นอะไรกัน
เตี้ยนเซี่ยกำลังเล่านิทานหรอกหรือ
ทำไมพวกเขาถึงไม่เห็นอะไรเลย
นับว่าเซียวเยว่ชิงตอบสนองได้ไวที่สุด เขาเอ่ยปากย้อนถามกลับเป็นคนแรก“เตี้ยนเซี่ย คำพูดของท่านหมายความว่าอย่างไร ไฉนข้าน้อยถึงฟังไม่เข้าใจเลย”
หลังจากสิ้นเสียง เซียวเยว่ชิงก็รีบปิดปากตัวเอง
เป็นครั้งแรกในที่ชีวิตที่รู้สึกเสียใจที่ตัวเองมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ไวเช่นนี้ คราวนี้ก็ดีเลยตอบสนองได้ไวเกิน ยังไม่ดูให้ดีเสียก่อนว่าเตี้ยนเซี่ยมีนิสัยอย่างไร คงจะไม่จัดการเขาหรือกลั่นแกล้งจนตายหรอกนะ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดสายตามองเขา จากนั้นก็มีพวกทหารที่อยู่ในความตกตะลึง เขาถอนหายใจ ต่อให้ถอนหายใจ ท่วงท่าก็ยังคงดูงดงาม
ถัดมาเขาเอ่ยว่า “ให้แม่นางเยี่ยเม่ยได้ยินคำตอบนี้เท่านั้น พวกเจ้าเข้าใจไหม”
“เอ๋?” ยังมีทหารบางคนไม่เข้าใจ
แต่ว่าอวี้เหว่ย เซียวเยว่ชิง หลูเซียงฮั่ว ทั้งยังมีสตรีที่อยู่ไกลออกไปสามนาง หลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่งล้วนเข้าใจแล้ว
มุมปากอวี้เหว่ยกระตุก อดมองเตี้ยนเซี่ยไม่ได้ “เตี้ยนเซี่ย เมื่อครู่ท่านกำชับไม่ให้ข้าน้อยเล่นละครมากเกินไปหรอกหรือ ตอนนี้ดูแล้ว ท่านต่างหากถึงเป็นพวกนักแสดงยอดเยี่ยม”
นี่เขาคิดจะทำอะไรกัน
ไปหาแม่นางเยี่ยเม่ยแสร้งทำเป็นบาดเจ็บ เพื่อขอความเห็นใจ แล้วยังบอกว่าเพราะคำพูดของแม่นางเยี่ยเม่ยถึงได้ยอมถอย เพื่อให้แม่นางเยี่ยเม่ยซาบซึ้ง
สำหรับคำวิจารณ์ของอวี้เหว่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ใส่ใจเลยสักนิด
พวกเซียวเยว่ชิง รีบผงกหัว “ขอรับ เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
หลังศีรษะของพวกเขามีเหงื่อเย็นเยียบผุดพราย
…..
นาทีถัดมา สายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดมองสตรีที่ห่างออกไปทั้งสาม สายตานั้นทำให้พวกนางทั้งสามตื่นตัว
ซือหม่าหรุ่ยเชิดหน้า เหงื่อเย็นเยียบไหลออกมา นางเป็นคนแรกที่เอ่ยปาก “องค์ชายสี่วางใจได้ พวกเราไม่พูดมาก พวกเรารู้ดีว่าคำพูดสำคัญแค่ไหน”
ซินเยว่เยี่ยนรีบพยักหน้ารัวแรง แสดงออกว่าตนก็เป็นคนรักชีวิต