เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 106
เห็นสีหน้าแปลกพิสดารของเซียวเยว่ชิง เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว
มองเจ้าหนุ่มผู้นี้เอ่ยถามว่า “สีหน้าของเจ้านี่มันอะไรกัน หรือเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว”
“อ้อ…” เซียวเยว่ชิงเป็นแม่ทัพมีชื่อเสียง หลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยเอ่ยคำโกหกหลอกลวงใจตน ยามนี้ให้เขาเอ่ยคำโกหกกับเยี่ยเม่ยต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ เขาพูดไม่ค่อยออก
เยี่ยเม่ยเห็นเขาอ้ำๆ อึ้งๆ น้ำเสียงเปลี่ยนไปเยือกเย็นขึ้นอีก “หรือว่าพวกเขาเกิดเรื่องแล้วจริงๆ”
“ไม่…ไม่มี” เซียวเยว่ชิงรีบส่ายหน้า หลังจากนั้นถึงตระหนักได้ว่าตนเองตอบสนองไวเกินไป จึงพยักหน้าใหม่อีกครั้ง “ไม่ ไม่”
เขาลืมไปได้อย่างไร เตี้ยนเซี่ยเอ่ยกับพวกเขาทั้งหมดอย่างชัดเจนแล้ว
เตี้ยนเซี่ยบาดเจ็บ…
เยี่ยเม่ยเห็นการแสดงออกเหมือนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเขา เดี๋ยวก็ส่ายหน้าเดี๋ยวก็พยักหน้า นางขมวดคิ้ว เอ่ยถาม “สรุปแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ หรือเจ้าบอกไม่ถูก เช่นนั้นข้าไปถามผู้อื่นแทน”
“นี่…” เซียวเยว่ชิงไม่อยากให้สหายร่วมรบต้องเผชิญสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนเช่นนี้ เรื่องแบบนี้เขาคนเดียวพบเจอครั้งเดียวก็มากเกินพอ
เห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องและความสัมพันธ์ฉันท์สหายร่วมรบ หลังจากเซียวเยว่ชิงถอนใจยาวแล้ว ก็เอ่ยปากอย่างตรงไปตรงมา “อืม…เรื่องเป็นเช่นนี้ ได้ยินว่าท่านไม่ให้องค์ชายสี่ทำร้ายเสี่ยวจิ่ว องค์ชายสี่กับเสี่ยวจิ่วต่อสู้ค่อนรุนแรง ท่านก็รู้ดี…”
เขาคิดว่าต่อให้เยี่ยเม่ยหลับสนิทเหมือนหมู ก็ต้องได้ยินเสียงการต่อสู้ด้านนอก
“อืม” เยี่ยเม่ยรับรู้จริงๆ ตอนนี้เมื่อคิดๆ ดูก็เข้าใจแล้ว ตอนที่นางนอนหลับอยู่ ประเดี๋ยวก็มีแรงสั่นสะเทือน ประเดี๋ยวก็มีเสียงดังสนั่น ล้วนมาจากการประมือของคนทั้งสอง
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเม่ยรู้แล้ว
จากนั้น เซียวเยว่ชิงก็เอ่ยอย่างดีใจว่า “เพราะว่าต่อสู้ดุเดือดเกินไป องค์ชายสี่เกือบเอาชีวิตเสี่ยวจิ่ว เตี้ยนเซี่ยฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ท่านไม่ให้ทำร้ายเสี่ยวจื่วจนถึงชีวิต ดังนั้นเตี้ยนเซี่ยยั้งมือได้ทัน…”
ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนที่เพิ่งทอดทิ้งจงรั่วปิงสหายดอกไม้ประดิษฐ์[1]ของตนไป เดินมาถึงหน้าประตูเรือนเยี่ยเม่ย ก็ได้ฟัง เซียวเยว่ชิงเล่าเรื่องให้เยี่ยเม่ยฟัง
ทั้งสองสีหน้าแข็งทื่อ ล้วนทำเหมือนตนเองไม่ได้ยินอะไร ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ท่าทางข้าไม่รู้ไม่เห็นทุกอย่างเดินกลับเข้าห้องของตน
ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง เซียวเยว่ชิงหันมองพวกนางทั้งสองคนทีหนึ่ง พลันรู้สึกขึ้นมาว่าตนที่เดิมทีก็อึดอัดเกินเปรียบอยู่แล้ว คราวนี้ยิ่งประดักประเดิดเข้าไปกันใหญ่
เยี่ยเม่ยเองก็มองออกว่าคนทั้งสองไม่ปกติ หลังจากกลับมาไม่ทักทายนางก็จากไป แบบนี้ยังปกติอีกหรือ แต่ในยามนี้หาใช่เวลามาใส่ใจเรื่องพวกนี้
นางกวาดตามองเซียวเยว่ชิง ถามด้วยเสียงเย็นชาว่า “จากนั้นเล่า”
จากนั้นเป็นอะไรแล้ว
เซียวเยว่ชิงรีบตอบไปว่า “จากนั้น จากนั้นองค์ชายสี่ก็บาดเจ็บแล้ว ทั้งยังบาดเจ็บไม่เบา แต่…แต่ว่า…”
เซียวเยว่ชิงรีบเสริมต่ออีกประโยค “ล้วนเป็นอาการบาดเจ็บภายใน ดังนั้นมองด้วยตาเปล่าก็ดูไม่ออก แต่ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยก็ไม่ต้องกังวลเกินไป ท่านหมอบอกแล้วว่า ถึงบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต”
เซียวเยว่ชิงเล่าเรื่องทั้งหมดจนจบ รู้สึกมีเหงื่อเม็ดโป้งซึมออกมาอยู่ด้านหลัง โทษแต่ตัวเองเคร่งครัดมากเกินไปจนลืมคำว่า “บาดเจ็บภายใน” ไม่รู้ว่าเสริมไปภายหลังเช่นนี้ จะดึงสถานการณ์กลับมาได้หรือไม่ อย่าทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยดูออกได้เชียวว่าเตี้ยนเซี่ยไม่ได้บาดเจ็บ หากถูกจับได้ เกรงว่าตัวเองจะมีอันตรายถึงชีวิต
สีหน้าของเยี่ยเม่ยเคร่งขรึมลง
นางมองเซียวเยว่ชิงอย่างเย็นชา เอ่ยปากถามว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่ที่ไหน”
เซียวเยว่ชิง “เรื่องนี้…คือ…”
เซียวเยว่ชิงรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้เขาโกหก ยังไม่มากเท่ากับวันนี้เพียงวันเดียว อีกทั้งคำที่พูดออกไปยังไร้เหตุผลมาก จนถึงขั้นที่ทำให้ตนจวนเจียนจะพูดไม่ออกแล้ว
“ไฉนเจ้าถึงได้อ้ำๆ อึ้งๆ นักเชียว” ในที่สุดเยี่ยเม่ยก็สัมผัสได้ถึงความไม่ปกติในสายตาของเซียวเยว่ชิง
ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนทางหนึ่งก็เดินกลับห้อง อีกด้านหนึ่งก็เงี่ยหูตั้งใจฟัง ในยามนี้ทั้งสองชะงักฝีเท้าไปพร้อมกัน ต่างก็รู้สึกเหงื่อตกแทนเซียวเยว่ชิงแม่ทัพใหญ่ผู้ที่กำลังพูดจาเหลวไหลโดยไม่กระพริบตา
เซียวเยว่ชิงฟังคำถามของเยี่ยเม่ย ก็ลนลาน รีบเอ่ยว่า “ไม่ใช่ ข้าหาได้อ้ำอึ้ง คือ เป็นเช่นนี้ ท่านก็รู้ว่าพวกเรากลัวองค์ชายสี่มาโดยตลอด ดังนั้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์ชายสี่ ข้ารู้สึกตื่นเต้นไปบ้าง ไม่มีอะไรอื่นอีก แม่นางเยี่ยเม่ยอย่าได้คิดมาก”
ในเมื่อเขาอธิบายเช่นนี้ เยี่ยเม่ยก็เข้าใจได้
ก็จริง ทุกครั้งที่คนของราชสำนักเป่ยเฉินทั้งหมดพบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนล้วนมีท่าทางเหมือนได้พบปีศาจ ทำให้เห็นความหวาดกลัวที่มีต่อเขาได้มากพอ ดังนั้นแม่ทัพเซียวหวาดกลัวถึงขั้นนี้ ความจริงก็หาใช่เรื่องแปลกประหลาด
เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยพยักหน้า บ่งบอกว่าเข้าใจแล้ว
เพื่อกันไม่ให้ตนอ้ำอึ้งอึกอักต่อไปจนทำให้เผยพิรุธ เซียวเยว่ชิงใช้ความคิดเอ่ยว่า “เดิมทีเตี้ยนเซี่ยคิดมาหาท่าน แต่เขารู้ว่ายามนี้ท่านกำลังพักผ่อน เขากลัวว่าหลังจากมาแล้วจะรบกวนท่าน ดังนั้นเขาจึงกลับไปพักผ่อนที่ห้องแล้ว”
เซียวเยว่ชิงรู้สึกว่าเขาซาบซึ้งในเรื่องที่เตี้ยนเซี่ยแต่งขึ้นมาแล้วจริงๆ
ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนผู้รู้ความจริงทั้งสอง เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ ทั้งสองคนก็สะดุด เดินเซไปเล็กน้อย
ความจริงคือพวกนางแทบทนฟังต่อไปไม่ได้แล้ว
หลอกลวง นี่มันหลอกลวงไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเคยร่ำเรียนวิชาการแต่งเรื่องมาโดยเฉพาะหรือไม่ พวกนางรู้สึกเลื่อมใสจากใจจริง
แน่นอนว่า พวกนางก็เลื่อมใสเซียวเยว่ชิงเช่นกันที่สามารถเอ่ยออกมาโดยไม่เผยพิรุธออกมาเลยสักคำเดียว คำพูดเหลวไหลเช่นนี้ ยังพูดออกมาได้
เยี่ยเม่ยฟังคำพูดของเซียวเยว่ชิง เงยหน้ามองซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนที่เดินสะดุดไปเล็กน้อย นางรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง เงยหน้ามองคนทั้งสอง “พวกเจ้าเป็นอะไร”
คล้ายกับว่านับตั้งแต่ทั้งสองเข้าประตูมา ได้ยินเซียวเยว่ชิงพูดคุยกับตน ปฏิกิริยาของทั้งสองก็มีอะไรไม่ชอบมาพากล
“เอ๋?” ซือหม่าหรุ่ยมองซินเยว่เยี่ยนทีหนึ่ง ทั้งสองส่งสายตาหากัน
ถึงแม้อาซีจะเป็นสหายที่นางยินยอมปกป้องโดยไม่ต้องการอะไรเลย เยี่ยเม่ยในยามนี้ก็คืออาซีในใจนาง แต่ว่าเสียสละชีวิตเพราะเรื่องเล็กขี้ปะติ๋วเท่าขนไก่เช่นนี้ ไม่ใช่แผนการที่เหมาะสมหรอกกระมัง
ซินเยว่เยี่ยนสีหน้าหนักแน่นมองหน้าพยักหน้า “อืม”
สตรีทั้งสองนางทำเหมือนด้านข้างไม่มีใครอื่นต่อหน้าเยี่ยเม่ย ตอบรับพร้อมกันด้วยคำคำเดียว
คราวนี้ยิ่งทำให้สายตาของเยี่ยเม่ยที่มองพวกนางทวีความสงสัยมากขึ้นไปอีก
เซียวเยว่ชิงกลับรู้สึกว่าหนังศีรษะตนชาวาบไปหมด เพราะเขารู้ว่าแม่นางทั้งสองรั้งอยู่ที่เมืองชายแดนก็เพราะเยี่ยเม่ย จากความสัมพันธ์ของพวกนางและเยี่ยเม่ย ไม่รับประกันได้ว่าทั้งสองจะไม่เอ่ยความจริงออกมา
เสี้ยววินาทีถัดมาซินเยว่เยี่ยนชี้ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยปากว่า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้อะไรทั้งสิ้น เจ้าถามนางก็พอแล้ว”
ซือหม่าหรุ่ย “…?”
[1] สหายดอกไม้ประดิษฐ์ มิตรภาพระหว่างเพื่อนสนิทที่ดูภายนอกแล้วเหมือนแน่นแฟ้มไม่เปลี่ยนเหมือนดอกไม้พลาสติกไม่โรยรา แต่ความจริงภายในแอบต่อสู้กันเอง