เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 108
“อ้อ…” เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเม่ยจะไปเยี่ยมองค์ชายสี่ เซียวเยว่ชิงพลันชะงักไป ไม่ทันสนใจซือหม่าหรุ่ยและ ซินเยว่เยี่ยนอีก
หลังจากเขาชะงักไปเล็กน้อย ก็รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ไอ้หยา จริงด้วย ท่านรีบไปดูเตี้ยนเซี่ยเถอะ ไม่แน่ว่าตอนนี้เตี้ยนเซี่ยคาดหวังให้ท่านไปหาอยู่ อย่างนั้นข้าน้อย…ข้าน้อยขอตัวก่อนแล้ว”
“อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า
หลังจาก เซียวเยว่ชิงเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้
สุดท้ายความดีงามในจิตใจเขาก็ยังไม่ถูกทำลายจนหมดสิ้น รู้สึกว่าคนจำนวนมากร่วมมือกันรังแกเจ้าหนูเสี่ยวจิ่วที่น่าสงสาร ก็ออกจะเกินไปหน่อย
ดังนั้นเขาถึงหันหน้ากลับไป เอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้าแอบบอกอะไรท่านสักคำ ท่านอย่าได้ไปบอกองค์ชายสี่เชียว”
เมื่อเห็นท่าทางลับๆ ล่อๆ เยี่ยเม่ยก็พยักหน้า “เจ้าว่ามา”
เซียวเยว่ชิงทำท่าราวกับโจร สอดสายตาไปทั่วทั้งสี่ทิศ ค่อยเอ่ยปากว่า “หลังจากท่านไปเยี่ยมองค์ชายสี่แล้วก็ไปดูเสี่ยวจิ่วหน่อยแล้วกัน”
“เสี่ยวจิ่ว?” เยี่ยเม่ยจ้องเซียวเยว่ชิง พูดตามจริงตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเด็กคนนี้ เยี่ยเม่ยก็เห็นอีกฝ่ายเป็นเหมือนน้องชายมาตลอด
โดยเฉพาะเสี่ยวจิ่วที่คอยปกป้องนางเสมอ นี่ทำให้ความสัมพันธ์ยิ่งแน่นแฟ้น เมื่อได้ยินเซียวเยว่ชิงเอ่ยเช่นนี้ นางก็เริ่มกังวลขึ้นมา “เขาก็บาดเจ็บใช่หรือไม่”
“ไม่ ไม่ใช่” เซียวเยว่ชิงส่ายหน้าโดยพลัน เอ่ยปากอธิบาย “ไม่ได้บาดเจ็บ แต่เสี่ยวจิ่วอายุน้อย วันนี้ประมือกับเตี้ยนเซี่ย ถึงทำให้ เตี้ยนเซี่ยบาดเจ็บ แต่ว่าความจริงวรยุทธ์เขาอ่อนด้อยกว่า เห็นเตี้ยนเซี่ยได้รับบาดเจ็บ ไม่แน่ว่าเขาจะ…แค่กๆ…จะโทษตัวเอง ดังนั้นท่านไปดูเขาสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
ไม่เช่นนั้นเด็กคนนี้ก็น่าสงสารเกินไปแล้ว
เขาเป็นบุรุษอกสามศอก ยังอดใจคิดถึงสภาพของเสี่ยวจิ่วไม่ได้…
ส่วนที่ว่าโทษตัวเองคำพูดผีสางอะไรนั่น ก็ไม่ต้องใส่ใจรายละเอียดมาก ขอเพียงบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการเพียงพอแล้ว
หลังจากเยี่ยเม่ยฟังเซียวเยว่ชิงกล่าวเช่นนี้ ครุ่นคิดแล้วก็แสดงออกว่าเห็นด้วย นางพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่เจ้าเตือนข้า”
เซียวเยว่ชิงเอ่ยไม่ผิด เสี่ยวจิ่วอายุยังน้อย ย่อมรู้สึกอ่อนไหวกว่าคนอื่นๆ มาก
หลังจากเขากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต่อยตีกันไปแล้ว ตัวนางไปเยี่ยมเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่ไม่ไปหาเสี่ยวจิ่ว เจ้าหนุ่มนั่นปกป้องนางถึงขนาดนั้น ยากที่จะไม่ทำให้เขาไม่เสียใจ หากเสี่ยวจิ่วโทษตัวเองเองเพราะทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนบาดเจ็บ นางไม่ห่วงใยเขาเสียหน่อย เจ้าหนุ่มนี่ก็น่าสงสารเกินไปแล้ว
ถึงนางจะคิดว่าจากความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยวจิ่วกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ต่อให้จิ่วหุนทำร้ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจนตาย เขาก็ไม่มีทางโทษตัวเองก็ตาม
“เช่นนั้น ข้าน้อยขอตัวก่อนแล้ว” ในที่สุดเซียวเยว่ชิงก็ผ่อนลมหายใจออก รู้สึกว่าจิตใจอันดีงามของตนไม่เจ็บปวดมากเท่าไหร่ ก็สาวเท้ากว้างๆ จากไป
เยี่ยเม่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าพวกเขาช่างแปลกพิกลนัก
กับเรื่องแค่นี้ต้องอึกอักอ้ำอึ้ง ผลักไสกันไปมา ทำเอาเรื่องดูมีลับลมคมในไปเสียอย่างนั้น
ดูไม่ออก ทั้งคิดไม่ตกด้วย
ในเมื่อคิดไม่ตกก็ไม่คิดแล้ว เยี่ยเม่ยก้าวเท้ามุ่งไปยังทิศทางของห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
……
วังหลวง
ฮองเฮาเดินเข้ามาในตำหนักจินหลวนเสียง “ช้าก่อน” แววตาคมกริบมองฮ่องเต้
เสนาบดีและกั๋วจั้งเห็นฮองเฮามาแล้ว ก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย พวกเขาไม่คิดว่าการมาหาฮ่องเต้เพื่อทวงความยุติธรรม ผลสุดท้ายกลับเป็นเช่นนี้
เสนาบดีรีบเอ่ยกับฮองเฮาทันที “ฮองเฮา ท่านรีบเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ เฟิงเอ๋อทำทุกอย่างไปก็เพื่อน้องสาว เพราะความห่วงใยจึงผิดพลาด แต่เรื่องราวก็มีต้นสายปลายเหตุ ขอให้ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกริ้ว”
เสนาบดีเอ่ยไปก็อดไม่ไหวถลึงตาใส่ซือถูเฟิง
เขารู้สึกว่าบุตรชายของเขาผู้นี้ ช่างโง่งมนักเชียว
ไม่ว่าตัวเองจะโปรดปรานซือถูเฉียงมากแค่ไหน ท่านหญิงที่ขาขาดไปข้างหนึ่งแล้ว ก็ไร้ค่าต่อตัวเองรวมไปถึงวงศ์ตระกูลอีก ในสถานการณ์ประเภทนี้ สิ่งที่ควรทอดทิ้งก็จำเป็นต้องละทิ้ง รอจนกลับมาถึงเมืองหลวงก่อนแล้วขอให้ฝ่าบาทชดใช้ให้ก็ยังได้
แต่เจ้าโง่นี่ กลับพาซือถูเฉียงหนีกลับมา สุดท้ายตัวเองก็ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วย
ในยามนี้เสนาบดีก็รู้สึกเสียใจบ้าง เขารู้สึกเสียใจที่ตนไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ได้ในทันที ซ้ำยังนำคนทั้งหลายมาทวงขอความยุติธรรมกับฝ่าบาทถึงที่อีกด้วย คราวนี้ก็ดีเลย
สายตาของฮ่องเต้ก็ทอดพระเนตรไปที่ฮองเฮาเช่นกัน แววตาอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง ทว่าคำพูดไม่ถอยให้เลยสักน้อย “ฮองเฮา เมืองมีกฎหมาย”
“ตุบ” ฮองเฮาคุกเข่าลงเสียงดัง
“ฮองเฮา…” พวกเสนาบดีพากันตกใจ
ฮองเฮาเป็นถึงมารดาของแผ่นดิน ต่อให้เป็นฝ่าบาท ฮองเฮาก็ไม่อาจทำความเคารพด้วยวิธีเช่นนี้ได้ง่ายๆ นอกเสียจากทำความผิดร้ายแรง หรือในพิธีการใหญ่…
ฮ่องเต้เห็นฮองเฮาทำเช่นนี้ พระองค์เลิกพระขนงขึ้น “ฮองเฮา เจ้า…”
ฮองเฮาคุกเข่าอยู่กลางโถง ร้องไห้เอ่ยว่า “ฝ่าบาท ไม่ใช่ความผิดของเฟิงเอ๋อ ทั้งไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น เป็นความผิดของหม่อมฉันทั้งสิ้น”
ฮ่องเต้จ้องมองฮองเฮา พลันรู้สึกปวดเศียร “ฮองเฮา เจ้าลุกขึ้นมาก่อนเถอะ”
“หม่อมฉันไม่ลุก” ฮองเฮาส่งสายพระเนตรมองฮ่องเต้ทีหนึ่ง สะอื้นไห้ “ฝ่าบาท ล้วนเป็นเพราะหม่อมฉันให้กำเนิดเจ้าลูกอกตัญญู อบรมสั่งสอนไม่ดี ถึงได้ทำให้เกิดเรื่องในวันนี้ หลายปีที่ผ่านมาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทำเรื่องผิดกฎผิดศีลธรรมมากมายเท่าใด ล้วนเป็นความรับผิดชอบของหม่อมฉันผู้เป็นมารดา”
พูดถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ฉายโทสะ
สำหรับพระโอรสองค์นี้ ฮ่องเต้ตรัสได้แค่ว่าเจ็บแค้นอย่างล้ำลึก
ฮองเฮายังตรัสต่อไป “เรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้ ล้วนโทษที่ปีนั้นหม่อมฉันไม่สมควรให้กำเนิดเขาออกมา ฝ่าบาทเองก็รู้อยู่แก่พระทัยว่า ไฉนเฟิงเอ๋อถึงต้องทำเช่นนี้ เฟิงเอ๋อทำเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะถูกบีบให้จนตรอก เขาจะมองน้องสาวของตน ถูกเจ้าเดียรัจฉานนั่นฆ่าตายอย่างไร้เหตุผลได้อย่างไร”
“ฮองเฮา…” ฮ่องเต้มุ่นพระขนง ไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก
ถึงพระองค์จะไม่ชอบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอามาก แต่ไม่ว่าเอ่ยอย่างไร เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เป็นพระโอรสของพระองค์ บุตรชายเป็นเดียรัจฉาน แล้วผู้เป็นบิดาเป็นอะไรเล่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์ไม่พอพระทัย แต่ว่าหม่อมฉันจะต้องเอ่ย” ฮองเฮาโขกศีรษะ เอ่ยต่อ “ฝ่าบาท พระองค์ก็ทรงเข้าพระทัยดี ลูกอกตัญญูไม่สมควรมีชีวิตมาถึงบัดนี้ ปีนั้นราชครูบอกแล้วว่าเขาจะนำเคราะห์กรรมมาให้ราชวงศ์เป่ยเฉิน ทำลายราชวงศ์เป่ยเฉิน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ หรือพระองค์ยังทรงไม่เข้าพระทัยอีก”
นางเอ่ยเช่นนี้ นับว่าพูดได้ตรงกับปมในใจของฮ่องเต้แล้ว
ฮ่องเต้ตระหนักได้ถึงเรื่องทั้งหลายที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนทำมาตลอดหลายปี ความจริงล้วนไม่เป็นผลดีกับราชวงศ์เป่ยเฉินทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรซือถูเฟิงก็เป็นแม่ทัพใหญ่ที่มีคุณงามความดีผู้หนึ่ง วันนี้หากต้องโทษประหารความต้องการของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่รู้ว่าภายหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังจะมีความคิดเห็นเหลวไหลอันใดอีก
เมื่อเห็นฮ่องเต้ไม่ตรัสสิ่งใด ฮองเฮากัดฟันกล่าวว่า “ฝ่าบาท ดังนั้นหม่อมฉันรู้สึกว่าคนที่สมควรตายมิใช่เฟิงเอ๋อแต่เป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยน”
“ฮองเฮา เจ้า” ฮ่องเต้ลุกพรวดขึ้นมา โมโหเสียจนทนไม่ไหวอีก
คราวนี้พวกเสนาบดีพากันตกใจเพราะคำพูดผิดศีลธรรมของฮองเฮา ทั้งหมดคุกเข่าตัวสั่นเทิ้ม แต่ละคนไม่กล้าส่งเสียง
ถึงฮองเฮาจะเป็นมารดาขององค์ชายสี่ แต่ไม่ว่าพูดอย่างไร องค์ชายสี่ก็มีสายเลือดของราชวงศ์ ในร่างเขามีเลือดของตระกูลเป่ยเฉิน เป็นองค์ชาย ต่อให้นางเป็นฮองเฮาก็ไม่อาจบอกว่าฆ่าก็ฆ่าได้ โดยเฉพาะคำพูดพวกนี้ นางยิ่งไม่ควรเอ่ย
ฮ่องเต้สีพระพักตร์เคร่งขรึม จ้องมองฮองเฮา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพูดอะไรออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นลูกชายของเจ้า”
ฮ่องเต้เองก็เคยคิดจะฆ่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่พระองค์คำนึงถึง…
“หม่อนฉันรู้ดี ฮองเฮาเงยพระพักตร์มองฮ่องเต้ น้ำตาไหลริน “เขาเป็นเลือดเนื้อที่ออกมาจากตัวหม่อมฉัน หม่อมฉันเป็นมารดาของเขา เอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา ในใจของหม่อมฉันเหมือนถูกมีดกรีด แต่หลายปีที่ผ่านมา ฝ่าบาททรงเห็นแก่หน้าคนผู้นั้น รู้ทั้งรู้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคือภัยร้าย กลับปล่อยเขาไว้ ถึงทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไร้กฎหมายไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จนมาถึงวันนี้ใครก็ควบคุมเขาไม่ได้ ฝ่าบาทพระองค์ยังไม่ทรงตระหนักได้อีกหรือเพคะ”
ร่างของฮ่องเต้ไหววูบไปเล็กน้อย มองฮองเฮาอยู่นานไม่ตรัสอะไร
ฮองเฮาเห็นฮ่องเต้ไม่ตรัสอะไรก็ร้องไห้และเอ่ยต่อ “ฝ่าบาท ยามนี้กำจัดเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถึงเป็นวิธีการกำจัดต้นตอของปัญหาอย่างแท้จริง”
“ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไร” พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ฮ่องเต้ก็ไม่คิดปิดบังพระดำริของพระองค์ต่อไปอีก “เจ้าคิดว่าข้าเลอะเลือนอย่างนั้นหรือ ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าที่ทุกอย่างที่ซือถูเฟิงทำนั้นล้วนเป็นเพราะเจ้าลูกอกตัญญูบีบคั้น แต่ฮองเฮาหรือเจ้าไม่รู้ว่า ในแผ่นดินเป่ยเฉินนี้ ไม่มีใครทำอะไรเขาได้แล้ว”
“ไม่ ยังมีคนผู้นั้นอยู่มิใช่หรือ หากเสินเซ่อเทียนยอมออกโรง สังหารเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้” ฮองเฮาเงยหน้ามองฮ่องเต้
ฮ่องเต้สั่นสะท้าน เสียงต่ำลง “เขาไม่มีทางยินยอม”
“ฝ่าบาทไม่ลองจะรู้ได้อย่างไร” ฮองเฮาปาดน้ำตาบนใบหน้า มองฮ่องเต้ รีบรุกเอ่ยว่า “ฝ่าบาท เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ตาย ตำแหน่งของพระองค์ก็ไม่มั่นคง แม้กระทั่งชีวิตของเสียงเอ๋อก็ยากจะปกป้องได้ ท่านไม่รู้ว่าเสียงเอ๋อกลับมาแล้ว หม่อนฉันได้รับข่าวว่าเจ้าเดียรัจฉานนั่นทำร้ายพี่ชายของตนเองจนตกอยู่ในสภาพแทบไม่เป็นคน”
พูดถึงอาการบาดเจ็บของเป่ยเฉินเสียง ฮองเฮาก็ปวดใจขึ้นอีกครั้ง ร่ำไห้ออกมา
ฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะ ลังเลชั่วครู่ กวาดพระเนตรมองหัวหน้าขันทีด้านข้าง ตรัสว่า“ส่งคนไปหาจวินซ่างที่ตำหนักหลินซาน บอกว่าเป็นความต้องการของข้า”