เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 110
บุรุษหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลา บุรุษหนุ่มที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ
ทั้งยังมีวรยุทธ์ที่สูงล้ำเช่นนี้ ก็สามารถดึงดูดสายตาของสตรีได้อย่างง่ายดาย
แสงแดดเริ่มทวีความร้อน จิ่วหุนเหงื่อทั่วทั้งร่าง
กระบี่แทงออกไปเป็นการจบกระบวนท่าฝึก จากนั้นเขารั้งกระบี่เก็บกลับไว้ด้านหลัง
ระหว่างที่เขาหมุนกาย ถึงได้เห็นสตรีสิบกว่านาง ยืนตะลึงมองเขาอยู่
สายตาของจิ่วหุนหาได้หยุดอยู่ที่พวกนาง ทั้งยังไม่มีใจมองว่าพวกนางเหล่านั้นมีใครบ้าง เพียงแต่ปรายตามองผ่านไปทีหนึ่ง จากนั้นถอนสายตากลับเดินเข้าห้องตัวเองไป
หลินซูเหย่าเห็นดังนี้ ก็ไม่อาจสงบลงได้อีก
นางสาวเท้ากว้างติดตามไป เอ่ยปากว่า “คุณชายหยุดก่อน”
เสียงไม่นับว่าเบา แต่จิ่วหุนได้ยินแล้ว ทำเหมือนไม่ได้ยิน ไม่ใส่ใจนางเลยสักนิด เขาไม่ได้หยุดฝีเท้า ทั้งไม่ได้เดินเร็วขึ้นเพราะการนี้
เขาสาวเท้ากลับห้องของตน หลังจากเข้าไปแล้วก็ปิดประตูลง
ทิ้งหลินซูเหย่าที่เดินติดตามเขามาจนถึงหน้าประตูห้องโดยไม่ได้ตั้งใจ สีหน้ากระอักกระอ่วน มือวางไว้หน้าประตู มองประตูห้องที่ปิดสนิทแน่น สีหน้าแดงก่ำ รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง จิ่วหุนไม่ใส่ใจนางเลยสักน้อย
ทำให้นางเสียหน้าต่อหน้าสาวใช้มากมาย
หลังจากจิ่วหุนหายไป บรรดาสาวใช้แต่ละคนที่ยืนเหม่อลอยก็ค่อยได้สติกลับมา
ทุกคนมองคุณหนูที่เป็นกุลสตรีเข้าใจธรรมเนียมมาตลอด วันนี้สูญเสียมารยาทราวกับอันธพาลน้อย พลันรู้สึกว่าไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี แต่ละคนเก็บงำสายตา รู้สึกเหมือนอยู่ในฝัน รีบร้อนจากไปทำงานของตัวเอง
สาวใช้ข้างกายหลินซูเหย่ารีบเดินตามมาถึงข้างกายคุณหนูของตน เอ่ยว่า “คุณหนู พวกเราไปกันก่อนเถอะ เจ้าเมืองเรียกหาท่านมิใช่หรือ”
หลินซูเหย่าลังเลครู่หนึ่ง ยืนอยู่หน้าห้องจิ่วหุน ในใจรู้สึกไม่ยินยอม
นางมีชีวิตอยู่มาสิบกว่าปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นบุรุษแล้วใจเต้นแรงขนาดนี้ ถึงขนาดแทบกระดอนออกจากอก ราวกับหัวใจไม่ใช่ของนาง
หลินซูเหย่ารู้สึกว่านี่จะต้องเป็นบุรุษที่ชะตากำหนดไว้ของตนแน่ นางยินยอมแต่งให้เขา
“คุณหนู” สาวใช้เตือนขึ้นอีกครั้ง
หลินซูเหย่าได้สติกลับมา พลันคิดได้ มองสาวใช้ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าท่านพ่อเรียกหาข้าหรือ”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้พยักหน้า
หลินซูเหย่าได้สติกลับมาครบถ้วน พยักหน้า “จริงด้วย ท่านพ่อเรียกหาข้า ตอนนี้ข้ากำลังจะไปหาท่าน ไปกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รีบติดตามไป
……
ในห้องของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หลังจากเยี่ยเม่ยนั่งไปได้ครึ่งชั่วยาม
บางทีอาจเป็นเพราะเหนื่อยแล้ว ถึงได้งีบไปข้างเตียงเขา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่ตั้งอกตั้งใจแกล้งสลบไปอยู่นาน ในยามนี้กลับเปิดตาขึ้น ยื่นมือไปออกไปสกัดจุดหลับนาง
อาจเป็นเพราะว่าวรยุทธ์ของเขาล้ำเลิศ ทั้งเยี่ยเม่ยยังเหนื่อยมา นางจึงไม่รู้ตัวว่าถูกเขาสกัดจุด
เขาลงจากเตียง อุ้มเยี่ยเม่ย วางนางลงไว้บนเตียง
อวี้เหว่ยที่นั่งอยู่ข้างมุมกำแพง ยามนี้ทนคุกเข่าไม่ไหวอีก เห็นว่าเยี่ยเม่ยถูกสกัดจุดหลับ เขาก็รีบร้อนวิ่งเข้ามา เอ่ยปากว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านแกล้งสลบไปชั่วครู่ก็พอแล้ว ไฉนถึงได้นอนนานถึงขนาดนี้? นี่ไม่ใช่เวลาที่ท่านจะเรียกร้องความรู้สึกดีๆ จากแม่นางเยี่ยเม่ยหรือเป็นเวลาที่ทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยสงสารท่านหรือไง”
ความคิดในใจของเขายามนี้คือ แค้นเคืองที่เตี้ยนเซี่ยไม่ได้ดั่งใจเขาเลย ยามเห็นว่าเตี้ยนเซี่ยรู้จักแกล้งบาดเจ็บ เขายังหลงคิดว่าเตี้ยนเซี่ยน่าจะคิดตกแล้ว
คราวนี้ก็ดีเชียว
มิน่าตอนที่เตี้ยนเซี่ยได้ยินแม่นางเยี่ยเม่ยมาที่เรือน ถึงได้ให้เขาไปยืนเฝ้าหน้าประตูห้อง บอกแม่นางเยี่ยเม่ยว่าเตี้ยนเซี่ยสลบอยู่ หากรู้แต่แรกเขาคงไม่รับปากเตี้ยนเซี่ย เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าความคิดอ่านในใจของเตี้ยนเซี่ยเริ่มไปผิดที่ผิดทางอีกแล้ว
แต่ใครจะรู้ว่า เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง กวาดตามองอวี้เหว่ยทีหนึ่ง ค่อยๆเอ่ยว่า “เจ้าว่าพัฒนาการทางความรู้สึกของข้า จะไม่ก้าวหน้าจากเดิมบ้างเลยเหรอ”
“หืม? เอ๋?” อวี้เหว่ยชะงักงัน
ความหมายของเตี้ยนเซี่ยคือความคิดและจิตใจพัฒนาแล้วหรือ แต่ว่าวันนี้เขาดูไม่ออกเลยสักนิดเดียว
ขณะที่เขาอยู่ในความลังเล เป่ยเฉินเสียเยี่ยนค่อยๆ ถามว่า “นางเหนื่อยมากแล้ว เดิมข้าคิดว่านางจะมาสายกว่านี้ คิดไม่ถึงว่ายามนี้ก็มาแล้ว ตอนนี้เห็นนางเพิ่งกลับมาจากการศึกได้เพียงไม่กี่ชั่วยาม นางย่อมไม่ได้นอนหลับสนิท เยี่ยนแกล้งทำเป็นสลบไปจะดีกว่า นางนั่งสักพักเบื่อก็จะหลับไปเอง…”
อวี้เหว่ยเข้าใจแล้ว “ยามที่นางหลับไป ท่านสกัดจุดนางถึงเรียกว่าสำเร็จ ไม่เช่นนั้นอาศัยความตื่นตัวของนาง ต่อให้เป็นท่านก็ยากรับรองว่าจะไม่ทำให้นางตกใจตื่นขึ้น”
“ไม่ผิด” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบรับ จากนั้นก็ห่มผ้าให้เยี่ยเม่ย ค่อยๆกล่าวว่า “ให้นางพักผ่อนไปสักหลายชั่วโมงก่อน หากมีเรื่องด่วนทางทหารก็มารายงานข้า”
อวี้เหว่ย “…เตี้ยนเซี่ย ชั่วชีวิตของข้าน้อย เป็นครั้งแรกที่เห็นท่านใส่ใจการทหารถึงเพียงนี้”
ยากปกติแล้วเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทหาร เป็นคนกลุ่มใหญ่นั่งคุกเข่าเรียงแถวขอร้องให้เตี้ยนเซี่ยช่วยใส่ใจหน่อย เตี้ยนเซี่ยถึงจำยอมทำบ้าง อยากไปทำอะไรก็ทำ วันนี้รับปากว่าจะทำ วันพรุ่งนี้กลับเปลี่ยนใจ
วันนี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เตี้ยนเซี่ยเอ่ยปากจัดการเรื่องทหารเอง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเขา เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “การทหารเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า เพียงแค่อดทนเห็นนางเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้ไม่ได้เท่านั้น ออกไปได้แล้ว”
อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
อวี้เหว่ยออกไปอย่างเชื่อฟังทันที แต่เขารู้สึกว่าความคิดอ่านทางอารมณ์ของเตี้ยนเซี่ยออกจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดดไปแล้ว ภายหน้าตัวเขาไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีก
หลังจากออกไป อวี้เหว่ยก็รีบหลบอยู่ข้างมุมกำแพงแอบมองแอบฟัง
อย่าโทษว่าเขาไร้สาระ เพียงแต่อวี้เหว่ยเป็นองครักษ์ข้างกายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เตี้ยนเซี่ยอยู่ที่ไหน เขาไม่อาจอยู่ห่าง ยืนรักษาการหน้าประตูน่าเบื่อเกินไป ยังไม่สู้มาแอบฟังอยู่ตรงนี้
ส่วนที่ว่าทำไมมาแอบอยู่มุมกำแพง แทนที่จะไปที่หน้าต่างนั้นหรือ
ก็เพราะว่าแม่นางเยี่ยเม่ยเตือนเขา ไม่อาจแอบฟังอยู่ข้างหน้าต่างอีก เขาก็รับปากตกลงไปแล้วด้วย ดังนั้นเขาตัดสินใจนั่งยองแอบฟังอยู่ข้างมุมกำแพง
ดูสิ เขาคืออวี้เหว่ยผู้มีไหวพริบลื่นไหลดังสายน้ำ
ในห้องหลังจากอวี้เหว่ยจากมา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนอนอยู่บนเตียง ห่มผ้าห่มผืนเดียวกับเยี่ยเม่ย ให้นางนอนหนุนแขนเขา รีบคลายจุดที่สกัดไว้ให้นาง
เยี่ยเม่ยกลับลึก เพราะนางเหนื่อยมากจริงๆ ที่น่าแปลกก็คือ ในฝันของนางกลับรู้สึกถึงความร้อนข้างกาย เรื่องนี้ไม่ทำให้นางตกใจตื่น แต่กลับทำให้รู้สึกปลอดภัย รู้สึกว่าที่แห่งนี้ค่อนข้างสบายมาก ดังนั้นเยี่ยเม่ยยิ่งขยับเขาไปใกล้ที่แห่งนั้น ซุกเข้าไปในอกเขา กระเถิบเข้าใกล้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมากขึ้นไปอีก
เห็นนางมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหลุบตาลงมอง ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้าย มีความยินดี สายตาฉายรอยยิ้ม กอดนางแน่น
แต่ไรมาเขารู้สึกว่าทุกอย่างบนโลกล้วนว่างเปล่า เขาหลงคิดว่าความหมายของการมีชีวิตอยู่ของตนก็คือการกำจัดความว่างเปล่าเหล่านั้นให้สิ้นซาก
แต่ในเวลานี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกพึงพอใจ
ราวกับว่าโลกที่ว่างเปล่าก่อนหน้านี้ พลันปรากฏสิ่งที่มีคุณค่าให้จับต้อง ส่วนเขาย่อมไม่มีทางปล่อยมือไปแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหลับตาลง กอดเยี่ยเม่ยเข้าสู่นิทรารมณ์ไปพร้อมๆ กัน