เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 111
ห้องของเจ้าเมืองหลิน เจ้าเมืองหลินมองหลินซูเหย่าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “เจ้า…เจ้าว่าอะไรนะ”
“ท่านพ่อ ลูกบอกว่า ท่านไม่ต้องเกลี้ยกล่อมลูกแล้ว ลูกไม่อยากแต่งกับบุตรชายของเจ้าเมืองหลูโจว ลูกมีคนในดวงใจแล้ว” ท่าทีของหลินซูเหย่าหนักแน่น เอ่ยออกมาอย่างว่องไว
เจ้าเมืองหลินคิดไม่ถึงว่า ตนเองตามลูกสาวมาหารือเรื่องแต่งงาน บอกว่าเจ้าเมืองหลูโจวส่งคนมาสู่ขอ เขาคิดว่างานแต่งงานนี้เป็นงานที่เหมาะสม รู้สึกดีใจไม่ได้น้อย เดิมทีเรียกนางมาก็เพื่อจะบอกนางเท่านั้นเอง
ทั้งเขายังหลงคิดว่าบุตรสาวที่เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีและว่านอนสอนง่ายของเขา จะตอบรับในทันที จะแสดงออกว่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่านพ่อจัดการ และยังดีใจเหมือนตนเอง
ผลเล่า นางพูดว่าอะไรนะ
นางบอกว่าตนเองมีคนในดวงใจแล้ว ไฉนเขาถึงไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
เจ้าเมืองหลินหน้าเครียดมองนาง สูดลมหายใจลึกอยู่หลายที เดินไปนั่งที่เก้าอี้ “อย่างนั้นเจ้าลองว่ามา คนในดวงใจของเจ้าคือใคร”
คงไม่ใช่นายทหารในค่ายทหารหรอกกระมัง หรือว่าเป็นบ่าวในจวนเขากัน
คิดถึงตรงนี้ เจ้าเมืองหลินก็ปวดหัวจนสมองแทบแตกเป็นเสี่ยง เขาเพียงหวังว่าอย่างน้อยคนที่บุตรสาวชอบจะเป็นแม่ทัพสักคน แต่…หรือว่าจะเป็น “คงไม่ใช่องค์ชายสี่กระมัง”
“ไม่ใช่ หลายวันมานี้ลูกไม่ได้ออกจากประตูใหญ่ แม้แต่ประตูเรือนก็ไม่ได้ก้าวออกไป ไม่มีโอกาสพบองค์ชายสี่ จะเป็นเขาได้อย่างไร” หลินซูเหย่ารีบส่ายหน้าทันที
เจ้าเมืองหลินได้ฟังบุตรสาวเอ่ยถึงตรงนี้ พลันถอนหายใจออกมา ไม่ใช่องค์ชายสี่ หากบุตรสาวที่รักของเขาชอบองค์ชายสี่ขึ้นมาจริงๆ อย่างนั้นเขาต้องคลั่งแน่ “แล้วเป็นผู้ใดกันแน่”
หลินซูเหย่าคิดถึงจิ่วหุน สีหน้าพลันแดงเรื่อขึ้น ภายใต้สายตาไม่พอใจของเจ้าเมืองหลิน นางอึกอักอยู่พักใหญ่
ในที่สุดก็เอ่ยปาก “เป็น…เป็นคุณชายที่เรือนซีหยวนผู้นั้น เขาชื่ออะไรลูกก็ไม่รู้ เมื่อครู่ลูกเห็นเขา ก็เกิดรักแรกพบในทันที ท่านพ่อรักโปรดปรานลูกมาตลอด หวังว่าท่านพ่อจะช่วย…ช่วยลูกคุยเรื่องงานแต่งงานนี้”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ใบหน้าของหลินซูเหย่ายิ่งแดงก่ำ
นางเป็นคุณหนูมีชาติตระกูล บุ่มบ่ามพูดถึงบุรุษผู้หนึ่งไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะบอกกับบิดาของตนอย่างตรงไปตรงมา หวังให้เขาช่วยนางไปทาบทามเรื่องแต่งงาน ยามนี้นางรู้สึกใบหน้าร้อนฉ่าราวกับไฟเผา แต่หากได้อยู่ร่วมกับคุณชายผู้นั้น นางก็ไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้อีกแล้ว
เจ้าเมืองหลินใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ซีหยวน…
ใบหน้าของเขาแข็งทื่อไป รีบลุกขึ้นเอ่ยว่า “นั่นคือที่ที่เสี่ยวจิ่วพักอยู่ใช่หรือไม่”
“เสี่ยวจิ่ว? เขาชื่อเสี่ยวจิ่วหรือ” เวลานี้ในหัวของหลินซูเหย่าเต็มไปบุรุษหนุ่มที่สั่นคลอนหัวใจของนาง ไม่ทันสนใจท่าทางแตกตื่นตกใจของผู้เป็นบิดา สิ่งสำคัญจับเอาไว้ได้เป็นอันดับแรกก็เพียงชื่อของจิ่วหุนเท่านั้น
เจ้าเมืองหลินเห็นท่าทางหลงใหลหัวปักหัวปำของนาง ยามนี้รู้สึกปวดหัวขึ้นมา เขานวดหว่างคิ้ว เอ่ยปากว่า “เจ้าหนุ่มนั่น ไม่ใช่คนที่คบหาได้ง่าย อารมณ์ของเขาไม่ดีมากๆ เช้าวันนี้ไม่รู้เป็นอะไร ยังต่อยตีกับองค์ชายสี่ไปยกหนึ่ง ได้ยินว่าถึงเขาจะกล้าหาญ แต่ว่าแข็งกร้าวไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น หากเจ้าอยู่กับเขา…”
“ลูกไม่กลัว” หลินซูเหย่ารีบตัดบทเจ้าเมืองหลินทันที สีหน้าจริงใจ “เรื่องเหล่านั้นลูกไม่กลัว ไม่ว่าเขาจะต่อกรกับราชนิกุล หรือว่าเขาจะมีอารมณ์ไม่ดีชักกระบี่ออกมาได้ทุกเมื่อ ต่อให้วันไหนเขาอารมณ์ไม่ดีชักกระบี่ออกมาฆ่าลูก ลูกก็ไม่กลัว”
“เจ้า…” เจ้าเมืองหลินมองบุตรสาวอย่างไม่อยากเชื่อ เขาถึงกระทั่งรู้สึกว่าเป็นวันแรกที่เขาได้รู้จักบุตรสาวของตนผู้นี้ นางมีความกล้าหาญเกินกว่าที่เขาคาดคิด ทั้งยังดื้อดึงจนน่ากลัว
เจ้าเมืองหลินชะงักไป ส่ายหน้า แล้วถอนใจ “แต่เขาเป็นแค่สามัญชนธรรมดาเท่านั้น เจ้าเป็นถึงบุตรสาวเจ้าเมือง งานแต่งนี้ไม่เหมาะสม จะได้อย่างไรกัน”
“เมื่อครู่ท่านพ่อก็บอกแล้วว่า เขากับองค์ชายสี่ต่อยตีกัน ทั้งยังไม่เป็นอะไร ก็เห็นได้ชัดว่าเขามีความสามารถ ไฉนท่านพ่อถึงไม่คิดบ้างว่า วันนี้เขาก็ร้ายกาจเช่นนี้แล้ว วันหน้าไม่แน่จะประสบความสำเร็จ ลูกยินยอมเดิมพัน ไม่รู้ว่าท่านพ่อจะยินยอมเดิมพันหรือไม่” หลินซูเหย่าโพล่งออกมาอย่างรวดเร็ว
นางเป็นสตรีที่เติบโตมาในห้องหอก็จริง แต่ก็เป็นสตรีที่มีความคิด
นางชอบเสี่ยวจิ่ว หลงใหลในท่วงท่าสง่างาม ทั้งยังเห็นความเป็นไปได้อย่างไร้ขีดจำกัดในตัวเขา นางรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่นางสามารถฝากฝังชีวิตไว้ได้ อีกทั้งนางยังมองออกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนไร้ปณิธาน ต้องมีสักวันที่เขาจะโบยบินโดดเด่นอยู่บนฟ้า
เจ้าเมืองหลินฟังมาถึงเวลานี้ ก็นิ่งเงียบลง
ก็จริง ความสามารถของเสี่ยวจิ่วไม่ด้อยเลย ได้ยินว่าคืนนั้นในศึกที่มีต้ามั่ว ในเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม ช่วงเวลาที่มือถือดาบฟาดฟันลงมานั้น ทหารศัตรูนับหมื่นก็สั่นสะเทือนไปทั้งค่ายทหารแล้ว
เซียวเยว่ชิงและหลูเซียวฮั่วนำแม่ทัพกว่าสิบคน ร่วมกันวางแผนร่างหนังสือฎีกาเสนอชื่อเจ้าหนุ่มนี่ให้กับฝ่าบาท หากสำเร็จแล้ว อนาคตเขาต้องกว้างไกลไร้ขอบเขตแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจ้าเมืองหลินมองหลินซูเหย่าทีหนึ่ง “พ่อเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ให้พ่อจะคิดดีๆ ค่อยลองไปเลียบเคียงถามความเห็นเขา”
หลินซูเหยาฟังคำนี้ รู้สึกว่าความเดือดดาลในใจค่อยสงบลง ดีใจจนคุกเข่าคารวะบิดา “ขอบคุณท่านพ่อ”
เจ้าเมืองหลินถอนใจ พยุงบุตรสาวขึ้น
…
ในวังหลวง
หลังจากผ่านการเฝ้ารออย่างลำบากอยู่หลายชั่วยาม ในที่สุดก็มีข้ารับใช้ในวังเดินเข้ามา
สายพระเนตรของฮ่องเต้ในยามนี้วาวโรจน์ขึ้น พระองค์ถึงกระทั่งลุกพรวดเพราะทนไม่ไหว จากนั้นมองเห็นเพียงบ่าวรับใช้เดินเข้ามา กลับไม่เห็นเงาของเสินเซ่อเทียนตามหลัง สีพระพักตร์ฉายความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
ที่น่าแปลกก็คือ ฮองเฮาและเสนาบดีเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของฮ่องเต้เช่นนี้ ทั้งสองสบตากัน แววตาของฮองเฮาฉายความโกรธเคือง เสนาบดีใช้สายตาปลอบโยนนาง
ฮองเต้ประทับลงบนบัลลังก์มังกรอีกครั้ง บ่าวรับใช้ที่เดินเข้ามาคุกเข่าลง รายงานว่า “ฝ่าบาท จวินซ่างได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ให้บ่าวนำคำพูดกลับมาบอกพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ตรัสว่า “เจ้าว่ามา”
ฮองเฮาและพวกเสนาบดีก็เงี่ยหูตั้งใจฟังความเห็นของเสินเซ่อเทียน
อย่างไรเสียบุรุษผู้นั้นในสายทุกคนก็เป็นคนที่ทำได้ทุกอย่าง เป็นคนที่เสมือนเทพเจ้า ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้เชื่อฟังคำพูดของเสินเซ่อเทียน ในใจของพวกเขาทุกคนก็ยอมรับมาก โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นความหวังเดียวที่จะกำจัดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้
บ่าวรับใช้เอ่ยว่า “ฝ่าบาท จวินซ่างกล่าวว่า เขาเคยบอกกับพระองค์ไปนานแล้ว นอกจากองค์ชายสี่ทำเรื่องที่คุกคามต่อความปลอดภัยของพระองค์ คุกคามต่อการล่มสลายของราชวงศ์ เขาถึงยอมพิจารณาลงมือจัดการกับองค์ชายสี่ด้วยตัวเอง ยามนี้องค์ชายสี่เพียงแค่เล่นสนุกเป็นเด็ก คิดว่า…”
บ่าวรับใช้เอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็มองเสนาบดีและครอบครัวอย่างหวาดกลัว รีบเอ่ยต่อไป “สังหารคนไร้ความสำคัญไม่กี่คน ไฉนฝ่าบาทถึงต้องทำเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา ครอบครัวเสนาบดีที่รวมถึงฮองเฮาเข้าไปแทบทนรับไม่ไหว เป็นลมล้มไป
ซือถูเฟิงเป็นผู้เยาว์ที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลซือถูรุ่นนี้ ตั้งแต่เล็กเติบโตขึ้นมาพร้อมกับองค์ชายทั้งหลาย ยามนี้เป็นบ่าซ้ายไหล่ขวาของเป่ยเฉินเสียง ยังมีความดีความชอบด้านการศึก เป็นคนรุ่นหลังที่ตระกูลซือถูตั้งใจอบรมเป็นพิเศษ
ทั้งเป็นบุตรชายที่เสนาบดีภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต ไฉนเมื่อกล่าวออกมาจากปากเสินเซ่อเทียนแล้ว กลับกลายเป็นคนไม่สลักสำคัญอันใดเล่า
ในยามนี้ฮ่องเต้ทนไม่ไหวกระแอมไอออกมา พระองค์รู้สึกเสียหน้าแทนครอบครัวของเสนาบดีนัก หากรู้แต่แรกคงฟังคำพูดนี้คนเดียว ไม่ให้พวกเสนาบดีร่วมฟังด้วยแล้ว
ฮ่องเต้กวาดพระเนตรมองคนผู้นั้น เอ่ยปากถามว่า “ยังมีอะไรอีก”
“ยังมีอีก” คนผู้นั้นพยักหน้า ใช้สายตาเห็นใจและหวาดกลัวมองไปที่ฮองเฮาอีกครั้ง ยามนี้ฮองเฮาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
ไม่ช้า เขาค่อยเสริมต่อ “จวินซ่างบอกว่า ได้ยินว่าความคิดที่จะสังหารองค์ชายสี่ ฮองเฮาเป็นผู้เสนอขึ้นมา จวินซ่างรู้สึกไม่อยากเชื่อมาก เสือร้ายไม่กินลูก การกระทำทั้งหมดของฮองเฮา ทำให้จวินซ่างรู้สึกเปิดหูเปิดตานัก”
เมื่อบ่าวรับใช้เอ่ยออกมา บ่าวทั้งหมดในสถานที่นี้ต่างตะลึงพรึงเพริด
ทุกคนต่างพยักหน้าอยู่ในใจ จริงด้วย ไฉนก่อนหน้าพวกเขาถึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติเลยสักน้อย
ฮองเฮาคล้ายกับมีอคติกับองค์ชายสี่มาตลอด นี่หาใช่การแสดงออกที่มารดาทุกคนควรมีกระมัง
ฮองเฮาฟังมาถึงตรงนี้ ใบหน้าเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวซีดขาว ชี้ไปที่คนผู้นั้นเอ่ยว่า “เสินเซ่อเทียนจะรู้อะไร ยามที่ข้าเอ่ยออกมาว่าให้กำจัดลูกอกตัญญูผู้นั้น ในใจของข้าเจ็บปวดนัก เพื่อราชวงศ์เป่ยเฉิน เพื่อราชสำนัก ข้าไม่อาจไม่เอ่ยออกมา การเสียสละเช่นนี้ ข้าเองเจ็บปวดราวถูกมีดกรีด”
บ่าวรับใช้เมื่อได้ฟัง มองฮองเฮาด้วยความสงสาร เสริมขึ้นต่อว่า “จวินซ่างคาดได้แต่แรกว่าฮองเฮาจะเอ่ยเช่นนี้ จวินซ่างเอ่ยว่า…การเสแสร้งทำเพื่อแผ่นดินของฮองเฮา ไม่อาจปิดบังความโหดร้ายไร้น้ำใจ คิดแต่จะสนับสนุนองค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ของท่านได้”
คนทั้งหมด “…”
เสินเซ่อเทียนผู้นี้…คิดอย่างไรก็พูดเช่นนั้นจริงๆ
ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น
“ตุบ” ฮองเฮาคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ เอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันถูกปรักปรำ หม่อมฉันหาได้เป็นอย่างที่เสินเซ่อเทียนกล่าวหา หม่อมฉัน…”
“เจ้าหมายความว่าเสินเซ่อเทียนปรักปรำเจ้าหรือ” สีพระพักตร์ฮ่องเต้พลันเย็นชา
สีหน้าของทุกคนในที่นี้ไม่น่ามองสักเท่าไหร่ พวกเขาเคารพจวินซ่างเป็นอย่างมาก ในสายตาพวกเขาเสินเซ่อเทียนเสมือนเทพเจ้าจำแลงกายลงมา ไม่ว่ารูปโฉม ความองอาจ หรือว่าความสามารถ ล้วนเป็นเทพเจ้าโดยมิต้องสงสัย
เสินเซ่อเทียนเอ่ยคำพูดเช่นนี้ ก็คือวาจาสิทธิ์ ต่อให้เป็นฮองเฮา ก็เกรงว่าไม่อาจกล่าวหาจวินซ่างได้
ฮองเฮาพลันตระหนักได้ รีบเอ่ยปากว่า “หม่อมฉัน…ไม่กล้า”
ฮองเต้ถอยสายตากลับมองคนผู้นั้น “ยังมีอีกไหม”
บ่าวรับใช้เอ่ยต่อ “จวินซ่างบอกว่า ไม่ว่าแม่ทัพซือถูจะออกจากชายแดนด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่อาจผิดต่อกฎหมายของบ้านเมือง จวินซ่างคิดว่าการที่องค์ชายสี่เสนอให้ประหารแม่ทัพซือถู ถึงจะไร้น้ำใจแต่ก็ถูกต้องตามกฎหมาย และหวังว่าฝ่าบาทจะไม่ปล่อยแม่ทัพซือถูเพราะมีอคติต่อองค์ชายสี่ ทั้งเสนอว่าหากฝ่าบาททรงเห็นแก่หน้าฮองเฮาไม่อาจประหารแม่ทัพซือถู ก็สามารถเนรเทศเขาได้”
ในเวลานี้เสนาบดีจะเป็นลมตายแล้ว
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ บ่าวรับใช้ไม่รอให้ฮ่องเต้ไถ่ถามต่อ ก็เอ่ยปากเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ยังมีคำพูดสุดท้ายอีก จวินซ่างหวังว่าภายหน้าฝ่าบาทจะไม่เอาเรื่องเล็กน้อยไม่สลักสำคัญเช่นนี้ไปรบกวนจวินซ่างอีก จวินซ่างเห็นแก่สถานการณ์ส่วนรวม สนใจความปลอดภัยของพระองค์ ส่วนเรื่องของพวกแม่ทัพซือถู…เรื่องความเป็นความตายของคนไม่สำคัญ จวินซ่างหาได้ใส่ใจ”
ซือถูเฟิงรู้สึกเหมือนว่าตนเองจวนเจียนจะกระอักเลือดออกมาแล้ว
คนในตระกูลเสนาบดีต่างก็สีหน้าเขียวคล้ำ