เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 112
ใครล้วนคิดไม่ถึงว่า ลงมืออยู่ครึ่งค่อนวัน ผลสุดท้ายกลับเป็นเช่นนี้
เสนาบดีไม่เอ่ยมากความ รีบคุกเข่ากลางโถง “ฝ่าบาท ขอให้พระองค์โปรดไตร่ตรองด้วย เฟิงเอ๋อเป็นคนที่ตระกูลซือถูให้ความสำคัญที่สุดในรุ่นนี้ ทั้งเป็นความหวังของตระกูลซือถู ขอให้ฝ่าบาททรงสงสารที่กระหม่อมอายุมากแล้วร่างกายไม่แข็งแรง เมตตาที่กระหม่อมจงรักภักดี อย่าได้เนรเทศเฟิงเอ๋อเลย”
ยามนี้พระสสุระเองก็ลนลาน
อย่างไรเสียซือถูเฟิงก็เป็นหลานชายคนที่เขาให้ความสำคัญ เขาไม่พูดมากความ คุกเข่าอย่างรวดเร็วตามเสนาบดี เอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท ตระกูลซือถูเป็นขุนนางภักดีมาตลอดหลายชั่วอายุคน หลายปีที่ผ่านมาไม่มีความดีก็มีความชอบ ขอให้ฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ยามนี้เสินเซ่อเทียนเอ่ยปากแล้ว พวกเขาจะไม่ลนลานได้อย่างไร
ไม่กล้าพูดถึงเรื่องอื่นอีก ไม่กล้าพูดถึงการกำจัดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือเยี่ยเม่ย ทำได้แต่เพียงยกเอาคุณงามความดีทั้งหลายของวงศ์ตระกูลเอ่ยออกมา
หวังว่าฝ่าบาทจะเห็นแก่คุณงามความดี เหลือทางรอดเอาไว้ให้ซือถูเฟิง
สิ้นเสียงพวกเขา เป็นเวลาเดียวกับที่ฮองเฮากำลังจะลุกขึ้น ฮ่องเต้ปรายตามองทุกคน สุรเสียงเย็นชาตรัสว่า “พอแล้ว เรื่องที่ซือถูเฟิงออกจากค่ายทหารโดยพลการ เดิมทีโทษประหาร เสินเซ่อเทียนเอ่ยไม่ผิด ข้าไม่ควรผิดกฎหมายเพื่อเขาเพียงคนเดียว ในเมื่อเสินเซ่อเทียนเห็นว่าให้เนรเทศ เช่นนั้นก็เนรเทศเถอะ”
“ฝ่าบาท…” พระสสุระอายุมากแล้ว ได้ยินคำตัดสินหนักแน่นของฮ่องเต้ ยามนี้ดวงตากลอกกลับ ร่างกายผู้เฒ่าทนรับการจู่โจมเช่นนี้ไม่ไหว เป็นลมสิ้นสติไป
“ท่านพ่อ…” ฮองเฮาและเสนาบดีแตกตื่น
ฮ่องเต้ ทรงตวัดสายตามองหัวหน้าขันทีด้านข้าง เอ่ยว่า “รีบตามหมอหลวงมาตรวจอาการพระสสุระ”
“พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีไม่พูดพร่ำ รีบออกไปสั่งการ
ฮ่องเต้ตรัสมาถึงตรงนี้ ก็มองทุกคนในห้องโถงอีกครั้ง พระสุรเสียงเย็นเยียบ “พระสสุระสุขภาพไม่แข็งแรง เกษียณไปหลายปีแล้ว ภายหน้าเรื่องพวกนี้พวกเจ้ามาหาข้าก็พอ ไม่ต้องพาพระสสุระมาอีก ร่างกายของเขาทนรับไม่ไหว”
ขุนนางผู้หนึ่งเป็นลมสลบไปต่อหน้าฮ่องเต้บ่อยครั้ง เป็นสถานการณ์ที่พระองค์ไม่อยากเห็น
เมื่อครู่ฮ่องเต้ยินยอมร่วมปรึกษาเรื่องกำจัดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับพวกเขา จนมาถึงบัดนี้เปลี่ยนเป็นเจ้านายผู้เย็นชาชัดเจน ทำให้ทุกคนในที่นี้เย็นเยียบไปทั้งใจ
โดยเฉพาะฮองเฮาที่เข้าใจมากที่สุด ในเมื่อเสินเซ่อเทียนเอ่ยแล้ว ฮ่องเต้ย่อมทำตามความหมายของเขา ใครพูดก็ไม่มีประโยชน์
ซือถูเฟิงในยามนี้กลับตวัดสายตามองฮ่องเต้ กำหมัดคารวะ “ฝ่าบาท เรื่องนี้เดิมที่เป็นความผิดของกระหม่อม กระหม่อมน้อมรับการลงโทษและผลทั้งหมด”
ยามที่เขาเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา ฮองเฮาและเสนาบดีต่างมองเขาด้วยความไม่ยินยอม
เสนาบดีตวาดเสียงดัง “เฟิงเอ๋อ เจ้ากำลังเอ่ยวาจาเหลวไหลอันใดกัน ยังไม่รีบขอร้องฝ่าบาทอีก เนรเทศ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเข้าใจหรือไม่ หากไม่ระวัง เจ้าอาจไม่มีชีวิตรอดกลับมา”
พื้นที่ที่ถูกเนรเทศล้วนเป็นสถานที่อัตคัดกันดาร ไม่แน่อาจจะมีโจรป่า เกิดความวุ่นวายไม่มีที่สิ้นสุด ถึงกระทั่งต้องไปทำงานใช้แรงงาน
เฟิงเอ๋อเป็นคุณชายที่ถูกพะเน้าพะนอจนเคยชินมาตั้งแต่เล็ก รับราชการงานอยู่ในค่ายทหารมาตลอด ไม่อาจทนรับความลำบากพวกนั้นได้
ซือถูเฟิงหันหน้ามองเสนาบดี สายตาเต็มไปด้วยแววปลอบโยน “ท่านพ่อไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เมืองมีกฎหมาย ฝ่าบาทจัดการตามกฎหมาย ลูกไม่มีคำจะเอ่ย ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีมีโทษประหาร แต่ฝ่าบาททรงกรุณา ลงโทษเนรเทศ ลูกสมควรซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณถึงจะถูก”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา ฮ่องเต้กลับชื่นชมซือถูเฟิงขึ้นบ้าง
ในใจพลันเกิดความเสียดาย หากมิใช่เพราะเด็กคนนี้ล่วงเกินเป่ยเฉินเสียเยี่ยน อาศัยที่เขายืดได้หดได้ รู้จักสถานการณ์ ภายหน้าสามารถใช้งานใหญ่ได้
“นี่…เฮ้อ” เสนาบดีถอนหายใจ ความจริงในใจก็เข้าใจดี เรื่องนี้ไม่อาจย้อนกลับได้แล้ว การขอร้องในยามนี้ก็เป็นแค่ไม่ยินยอม ในใจยังเหลือหวังว่าจะโชคดีสักน้อยก็เท่านั้นเอง
เมื่อเห็นว่าเสนาบดีไม่เอ่ยอะไรอีก ซือถูเฟิงพลันคุกเข่า “ฝ่าบาท เมืองมีกฎหมาย กระหม่อมทำเช่นนี้ถูกลงโทษตามกฎบ้านเมือง กระหม่อมไม่มีอะไรจะพูด แต่ว่าองค์ชายสี่ท้าทายอำนาจของพระองค์ ท้าทายคำสั่งของพระองค์หลายครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขายึดกระบี่พระราชทานจากผู้ตรวจการทหารมอบให้แม่ทัพหลี่อีก”
เขาเอ่ยออกไปเช่นนี้ ฮ่องเต้สีหน้าคล้ำลง
ซือถูเฟิงกำลังเตือนพระองค์ เจ้าลูกอกตัญญูก่อเรื่องมากมาย แต่เสินเซ่อเทียนนกลับคิดว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ไม่มีค่าให้เอ่ยถึง
พูดถึงตรงนี้ ฮ่องเต้รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้านัก
ซือถูเฟิงเห็นสีพระพักตร์แปรเปลี่ยน รู้ได้ว่าตนเองไปกระทบถูกปมในใจฮ่องเต้แล้ว เขาเอ่ยต่อว่า “ไม่ว่าวันนี้ฝ่าบาทจะจัดการกับกระหม่อมอย่างไร จะประหารหรือเนรเทศ กระหม่อมไม่มีคำใดจะเอ่ยสักน้อย เพียงแต่หวังว่าฝ่าบาทจะระวังองค์ชายสี่เอาไว้ คำพูดของราชครูในปีนั้นไม่อาจไม่ระวัง ถึงวันนี้องค์ชายสี่หาได้ใส่ใจในอำนาจของพระองค์เลยสักน้อย ยิ่งต้องระวัง”
เขาซือถูเฟิงต่อให้ถูกเนรเทศ นับตั้งแต่นี้ต้องออกจากการแย่งชิงอำนาจ แต่เขาจะต้องฝังความคิดสังหารเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไว้ในใจของฝ่าบาทให้ได้ สรุปแล้วคือต้องมีสักวันที่บทสรุปของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะน่าอนาถมากกว่าเขาซือถูเฟิง
“คำพูดของเจ้า ข้าจะไตร่ตรองดู” แน่นอนว่าฮ่องเต้หาได้โง่เขลา เขารู้ว่าซือถูเฟิงก็แค่ปลุกปั่นยุแยง แต่คำพูดของอีกฝ่ายก็เป็นความจริง ต่อให้เป็นคำยุแยงก็ไม่มีอะไรผิด
ซือถูเฟิงเอ่ย “หวังว่าฝ่าบาทจะระวัง อีกอย่างยังมีสตรีที่เรียกว่าเยี่ยเม่ยผู้นั้น ไม่ว่านางจะมีเหตุผลมากมายแค่ไหน นางท้าทายกฎหมาย สังหารคนที่ชายแดนไปไม่น้อย อาละวาดอยู่ในที่ว่าการอำเภอ ทำร้ายขุนนางราชสำนัก ฝ่าบาท เรื่องเหล่านี้ล้วนมีโทษสถานหนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางทำร้ายเฉียงเอ๋อเลย สตรีนางนี้ ฝ่าบาทไม่อาจปล่อยไป อย่างไรจวินซ่างก็บอกแล้วว่าเมืองมีกฎหมาย”
เขาใช้คำพูดของเสินเซ่อเทียนยอกย้อนเตือนฮ่องเต้ไม่หยุด หากบอกว่าทำผิดกฎหมายแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเยี่ยเม่ยก็ทำผิดเช่นกัน พวกเขาสมควรได้รับการลงโทษ
ฮ่องเต้ย่อมเข้าใจความหมายของเขา ผู้เป็นกษัตริย์ถอนหายใจยาว ตรัสว่า “ในยามนี้เยี่ยเม่ยมีตราพยัคฆ์ควบคุมทหารชายแดนสองแสนนาย ข้าดูว่านางมีความสามารถมากเพียงใด ดูว่ามีโอกาสใช้ความดีลบล้างความผิด พอแล้ว ไม่ต้องเอ่ยอะไรอีก เนรเทศซือถูเฟิงไปที่หนานเจียง ไม่มีราชโองการไม่อาจกลับมาเมืองหลวง”
ถึงฮ่องเต้จะชื่นชอบเจ้าหนุ่มนี่ แต่ก็ไม่ชอบที่เขาใช้คำพูดของเสินเซ่อเทียนยอกย้อนพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า
อย่างไรเสียสิ่งที่ซือถูเฟิงไม่เข้าใจ พระองค์ผู้เป็นเจ้านายกลับเข้าใจ เสินเซ่อเทียนเห็นคนเข้มแข็งอยู่ในสายตาเท่านั้น เขาไม่ใส่ใจความเป็นตายของซือถูเฟิง ก็เพราะว่าสายตาของเสินเซ่อเทียน ไม่แม้แต่จะปรายหางตาตามองบุคคลตัวเล็กๆ อย่างซือถูเฟิงก็เท่านั้นเอง
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท” ซือถูเฟิงเอ่ยปาก สีหน้าไม่มีความไม่ยินยอมเลยสักน้อย
ซือถูเฉียงกลับมองพี่ชายอย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านพี่”
ฮ่องเต้ส่งสายพระเนตรตักเตือนนาง ซือถูเฉียงเงียบลงทันที
ไม่ช้า สายพระเนตรของฮ่องเต้ก็กลับเคลื่อนไปที่แม่ทัพหลี่