เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 117
“เป่ยเฉินอี้?” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเซี่ยโหวเฉินอย่างไม่เชื่อสายตา
พระขนงขมวดแน่นเป็นรอยย่น ทอดพระเนตรสีหน้าของ เซี่ยโหวเฉินอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าล้อเล่นเลยสักน้อย
ผ่านไปสักพัก
ในที่สุดฮ่องเต้ตรัสว่า “เจ้าว่ามา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเป่ยเฉินอี้อย่างไร”
เซี่ยโหวเฉินหัวเราะเบาๆ กลับลีลาไม่เอ่ยตรงๆ “เรื่องไม่เกี่ยวข้องกับเป่ยเฉินอี้เลยสักน้อย”
เมื่อเขาตอบออกมาเช่นนี้ สีพระพักตร์ของ ฮ่องเต้เผยความโมโห
ทรงจ้องเซี่ยโหวเฉิน “ท่านอ๋องน้อย คำพูดของเจ้านับว่าเป็นการหยอกล้อข้าหรือไม่”
“กระหม่อมมิกล้า” เซี่ยโหวเฉินก้มหน้า ค้อมเอวลง เห็นว่าภายใต้ท่าทางอ่อนน้อมของตน ฮ่องเต้โทสะคลายลงบ้าง จึงได้เอ่ยว่า “เรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องกับเป่ยเฉินอี้ก็จริง แต่กลับสามารถให้ เป่ยเฉินอี้ออกมาคลี่คลายสถานการณ์ ทั้งยังยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัวอีกด้วย”
“อ้อ?” ฮ่องเต้รู้สึกสนใจ มองเซี่ยโหวเฉิน ท่าทางตั้งใจฟัง ตรัสว่า “ท่านอ๋องน้อยลองเอ่ยความเห็นของเจ้าออกมาดู”
“พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า เสนอว่า “หากฝ่าบาทยินยอมเชื่อข้าน้อย ยามนี้ส่งคนไปตามตัวท่านอ๋องอี้ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา รอจนกระหม่อมอธิบายเรื่องราวเสร็จแล้ว ท่านอ๋องอี้ก็คงมาถึงพอดี ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ท่านอ๋องไปทำภารกิจก็พอแล้ว”
เขาเอ่ยออกมา ฮ่องเต้กลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
แต่เมื่อคิดถึงหลายปีที่ผ่านมา ข้อเสนอของเซี่ยโหวเฉินที่มีต่อพระองค์ ช่วยเหลือพระองค์แก้ไขสถานการณ์เร่งด่วนได้ทุกครั้ง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยในความสามารถของอีกฝ่าย ดังนั้นฮ่องเต้จึงพยักหน้า
หันกลับไปหาหัวหน้าขันที “ส่งคนไปตามอี้อ๋องเข้าวัง”
“พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีรีบล่าถอยออกไปสั่งการ
เมื่อสั่งการแล้ว ฮ่องเต้เบือนพระเนตรมองเซี่ยโหวเฉิน “ทีนี้ เจ้าก็พูดได้แล้ว”
เห็นว่าฮ่องเต้เชื่อเขาขนาดนี้ เซี่ยโหวเฉินรีบยิ้มออกมา เอ่ยปากอธิบาย “ฝ่าบาท เรื่องนี้ความจริงง่ายดายมาก จวินซ่างไม่ยินยอมลงมือกับองค์ชายสี่ เช่นนั้นองค์ชายสี่ก็กลายเป็นหนามแทงพระองค์ที่ไม่อาจถอนออกได้”
เมื่อเซี่ยโหวเฉินเอ่ยเช่นนี้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ขรึมลง ทว่าไม่ได้โต้แย้งคำพูดของ เซี่ยโหวเฉิน
ท่านอ๋องน้อยเอ่ยต่อไป “หากกระหม่อมคาดการณ์ไม่ผิด สุดท้ายซือถูเฟิงถูกฝ่าบาทเนรเทศแล้ว ความจริงพระองค์ทรงไม่อยากทำเช่นนี้ แม้ว่านี่จะเป็นความต้องการของจวินซ่าง แต่ก็เท่ากับปล่อยองค์ชายสี่ทำผิดต่อไป ยามนี้พระองค์ร้อนใจ ต้องการใครสักคนหรือวิธีการควบคุมองค์ชายสี่ ”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้เย็นชา
กวาดตามอง เซี่ยโหวเฉิน เตือนว่า “เซี่ยโหวเฉิน การเดาใจของข้าอาจไม่ทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ยืนยาว ยิ่งคาดเดามากเท่าไหร่ กลับยิ่งทำให้ตายเร็วขึ้น”
ความคิดของฮ่องเต้ ไม่อาจคาดเดาได้ง่ายๆ ต่อให้เดาได้ ก็ไม่สมควรพูดออกมา
เซี่ยโหวเฉินรีบเสริมว่า “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกริ้ว แม้พระองค์ไม่ชอบให้ใครคาดเดาความคิด แต่เชื่อฝ่าบาททรงรู้ว่ากระหม่อมจงรักภักดีอย่างแน่นอน ดังนั้นพระองค์วางใจได้”
เซี่ยโหวเฉินกล่าวเช่นนี้ ไอเย็นเยียบที่แผ่จากฮ่องเต้ก็คลี่คลายลงไปว่าครึ่ง
สายตาที่มองเซี่ยโหวเฉินอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน สี่ปีที่ผ่านมาสำหรับเซี่ยโหวเฉินเป็นขุนนางที่ช่วยพระองค์ออกความเห็นดีๆ มาโดยตลอด ฮ่องเต้หวนคิดถึงความเชื่อใจที่มีต่ออีกฝ่าย
“เจ้าพูดต่อ” ฮ่องเต้ทรงจ้องอ๋องน้อย รอฟังคำพูดต่อไปของอีกฝ่าย
เซี่ยโหวเฉินรับคำต่อว่า “ดังนั้น ในยามนี้ อี้อ๋องกลับเป็นวิธีการที่ดีที่สุด”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เซี่ยโหวเฉินเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ รีบเอ่ยต่ออย่างว่องไว “เชื่อว่าฝ่าบาทก็ทรงสงสัยในความภักดีของอี้อ๋องเช่นกัน ความจริงมิได้มีแต่พระองค์คิดเช่นนี้ กระหม่อมก็กังวลมาตลอดว่าอี้อ๋องไม่ภักดี”
เรื่องนี้สำหรับฮ่องเต้ไม่ได้ปิดบังเลยสักน้อย ตรัสตรงไปตรงมา “ข้าป้องกันเขา ทั่วราชสำนักต่างรู้ดี อย่างไรเขาก็เป็นปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้า เซี่ยโหวเฉิน เจ้าเข้าใจเขามากกว่าข้า เมื่อไม่ว่าเขาวางแผนเรื่องใดไม่เคยผิดพลาดมาก่อน หากเขามีใจคิดคด ข้าก็ไม่มั่นใจจะรับมือเขาได้ แต่ในมือเขากลับมีป้ายทองอภัยโทษของฮ่องเต้องค์ก่อน ข้าทำอะไรเขาไม่ได้”
เซี่ยโหวเฉินกล่าว “ดังนั้นพระองค์จึงเลือกได้แค่สั่งให้อี้อ๋องรักษาตัวอยู่ที่จวน บอกว่าเพื่อสุขภาพของเขา ไม่ให้เขาต้องตรากตรำเรื่องงานราชการ ทั้งไม่อาจออกจากเมืองหลวงได้สักก้าว ก็เพื่อเก็บเขาไว้ใต้สายพระเนตร สังเกตการณ์เขา”
“ไม่ผิด” ฮ่องเต้รับความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ ฮ่องเต้ทรงเชื่อว่า ความคิดของพระองค์ ไม่ต้องพูดถึงเซี่ยโหวเฉิน ไม่ว่าขุนนางคนไหนก็ต่างดูออก
เซี่ยโหวเฉินคลี่ยิ้มออก “อย่างนั้นพระองค์เคยลองคิดหรือไม่ ไฉนพระองค์ไม่ลองส่งท่านอี้อ๋องไปเป็นผู้ตรวจการทหารชายแดนบ้าง”
“เอ๋?” ฮ่องเต้ชะงักงันไปเล็กน้อย รู้สึกแปลกใจกับวิธีการของเซี่ยโหวเฉิน
เซี่ยโหวเฉินอธิบายต่อว่า “ฝ่าบาท ยามนี้องค์ชายสี่รักษาการอยู่ชายแดน เขาไม่ฟังคำใครทั้งสิ้น ทำสิ่งใดตามใจปรารถนา สถานการณ์เป็นเช่นนี้ไปแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้พระองค์ลองส่งอี้อ๋องไป ประการแรกอำนาจคุมทัพอยู่ในมือของสตรีนางนั้น อี้อ๋องไม่อาจกุมอำนาจไปได้ง่ายๆ ไม่อาจก่อให้เกิดคลื่นลมอะไรได้ง่ายๆ ฝ่าบาทก็ไม่ต้องกังวลทุกวัน ประการที่สอง ทำให้อี้อ๋องกับองค์ชายสี่ประมือกัน พระองค์รอคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์”
เซี่ยโหวเฉินแววตาทอประกายขบขัน จ้องมองฮ่องเต้ตรงๆ โดยไม่มีความเกรงกลัว อธิบายต่อ “ฝ่าบาท การสู้กันระหว่างอี้อ๋องกับองค์ชายสี่ ไม่ว่าฝ่ายใดเป็นผู้พ่ายแพ้ จนถึงกระทั่งเสียชีวิต สำหรับพระองค์แล้วล้วนเป็นเรื่องดีมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
คนทั้งสองล้วนเป็นหนามทิ่มแทงฮ่องเต้ ให้พวกเขาต่อสู้กันเอง ไม่ใช่เรื่องดีหรืออย่างไร
เอ่ยถึงตรงนี้ สายตาที่ฮ่องเต้มองเซี่ยโหวเฉินกลับมีความชื่นชมขึ้นหลายส่วน ทั้งยังล้ำลึกขึ้นมา “เจ้าก็รู้นิสัยของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาไม่แน่ว่าจะไว้หน้า เป่ยเฉินอี้ หากเป่ยเฉินอี้หาได้ฉลาดเช่นเมื่อก่อนแล้ว ไม่แน่คืนที่เป่ยเฉินอี้ไปถึงชายแดนนั้น จะตายภายใต้น้ำมือของ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลยก็ได้”
“หรือพระองค์คำนึงถึงความเป็นตายของอี้อ๋อง” เซี่ยโหวเฉินยิ้ม “นิสัยขององค์ชายสี่ เหิมเกริมไม่เห็นใครในสายตา เขาไม่ใส่ใจชื่อเสียงหรือการร่วมมือกับใครได้ ดังนั้นเรื่องนี้สุดท้ายมีผลลัพธ์เพียงแค่สองอย่าง”
เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ เซี่ยโหวเฉินยิ่งยิ้ม “หากอี้อ๋องไร้สามารถ ตายอยู่ในเงื้อมมือขององค์ชายสี่ เช่นนั้นก็เป็นการช่วยฝ่าบาทแก้ปัญหาป้ายทองอภัยโทษในมือของอี้อ๋องที่ทำให้พระองค์ไม่อาจลงมือกับเขา ดังนั้นถึงได้ทำแค่กักบริเวณเขาไว้ หากเป่ยเฉินอี้มีความสามารถกดดันองค์ชายสี่ได้ เช่นนั้นฝ่าบาทก็มิต้องกังวลพระทัยเรื่ององค์ชายสี่อีกต่อไป ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร ล้วนมีประโยชน์ต่อพระองค์มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยิ้มกว้าง “ไม่ผิด สมกับเป็นขุนนางรักของข้า เพียงแต่…หากเป่ยเฉินอี้ไปแล้วจริงๆ จะอันตรายมาก เจ้าไม่กังวลเลยสักน้อยหรือ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ถึงเจ้ากับเป่ยเฉินอี้จะอายุต่างกันไม่มาก แต่อย่างไรเขาก็เป็น…อาจารย์ของเจ้า”
เซี่ยโหวเฉินหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ก็สงบหนักแน่นได้อย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาท เมื่อความภักดีกับคุณธรรมไม่อาจเป็นได้ทั้งสองอย่าง กระหม่อมก็ได้แต่เลือกภักดีต่อพระองค์ ส่วนเรื่องอาจารย์…ฝ่าบาท ปราญช์อันดับหนึ่ง ในใต้หล้านี้มิอาจมีสองคนได้”
เขาเซี่ยโหวเฉินมิได้ยินยอมเป็นอันดับหนึ่งของแผ่นดินเป่ยเฉินเท่านั้น
ฮ่องเต้เข้าใจได้ทันที สรวลเสียงดัง “ดี”
เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ บ่าวผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา
หลังจากบ่าวรับใช้เข้าประตูมาแล้ว คุกเข่าลงด้วยสีหน้าหวาดกลัว “ฝ่าบาท อี้อ๋องมิยินยอมมา เขาเอ่ยว่า…เอ่ยว่า พระองค์มีเรื่องอันใดสั่งการมาก็เพียงพอแล้ว เขาไม่ยินยอมออกมาด้วยตัวเอง เพื่อมาดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโง่งมของพระองค์”