เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 120
จิ่วหุนชะงักฝีเท้า
หันหน้ามองเจ้าเมืองหลินทีหนึ่ง แต่ว่าหลังจากนั้นก็ถอนสายตากลับทันที เตรียมตัวหนีจากไป
มุมปากเจ้าเมืองหลินพลันกระตุกไปเล็กน้อย ทั้งไม่เข้าใจว่าเจ้าหนุ่มนี่ไฉนถึงได้กำเริบเสิบสานเพียงนี้ มีนิสัยไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาจริงๆ หรือว่าความโอหัง ดังนั้นจึงคร้านจะใส่ใจ
“ข้ามีเรื่องอยากปรึกษากับคุณชาย” เจ้าเมืองหลินมองแผ่นหลังเขา สะกดความโมโหเอ่ยประโยคนี้
เขาเป็นถึงเจ้าเมือง เสี่ยวจิ่วผู้นี้เป็นแค่สามัญชน ไม่ไว้หน้าเขาเกินไป เจ้าเมืองหลินเริ่มเกิดโทสะ
จิ่วหุนไม่หันหน้ากลับไป เหมือนเขาไม่อยากเอ่ยปาก ทว่าถูกเจ้าเมืองหลินรบเร้าเช่นนี้น่ารำคาญนัก สุดท้ายจิ่วหุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงต่ำ “เรื่องการศึก ข้าฟังเยี่ยเม่ยคนเดียว”
คำพูดเอ่ยอย่างชัดเจน หากเกี่ยวข้องกับการศึกก็ไม่ต้องปรึกษาแล้ว หากคิดให้เขาไปทำอะไร ก็ไม่ต้องเอ่ยอีก
เขาฟังเพียงแค่เยี่ยเม่ยคนเดียว
ดังนั้นหากเจ้าเมืองหลินคิดจะปรึกษาเรื่องอะไร สมควรไปหาเยี่ยเม่ย ไม่ต้องมาหาเขา
เมื่อเจ้าเมืองหลินได้ฟัง ก็เข้าใจว่าอีกว่าเข้าใจผิดแล้ว แต่ฟังจากคำพูดของอีกฝ่าย ก็ฟังความเอาใจใส่ของเจ้าหนุ่มที่มีต่อเยี่ยเม่ยออก
เจ้าเมืองเอ่ย “เรื่องที่ข้าอยากคุยกับเจ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ยามนี้ในมือของแม่นางเยี่ยเม่ยมีทัพใหญ่สองแสนนาย ต่อให้เวลานี้มีแม่ทัพจำนวนมากที่เลื่อมใสนาง แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีคนไม่พอใจที่สตรีนางหนึ่งมีอำนาจเช่นนี้ เชื่อว่าเจ้าคงไม่อยากให้ความไร้มารยาทของเจ้า ทำให้ข้าต้องมีคำครหานางหรอกกระมัง”
เขาใช้สภาพของเยี่ยเม่ยมาข่มขู่จิ่วหุนให้ฟังคำพูดเขา
แต่เจ้าเมืองหลินก็แค่พูดไป ไม่ต้องพูดถึงความสามารถของเยี่ยเม่ยเลย แค่หญิงสาวมีองค์ชายสี่หนุนหลัง ต่อให้เขากล้าแค่ไหน ก็ไม่กล้าทำอะไรเยี่ยเม่ย
จิ่วหุนชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองเจ้าเมืองหลิน นัยน์ตาราวกับน้ำนิ่งเผยไอสังหารออกมากระแสหนึ่ง
น้ำเสียงต่ำราวไม่มีความรู้สึกใดๆ กล่าว “เจ้ากล้ามีคำครหาต่อนาง อย่างนั้นข้าก็ไม่เสียใจที่จะ…ฆ่าเจ้าซะ”
เจ้าเมืองหลินตกตะลึง
มีสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ ซ้ำยังมีไอสังหารเผยออกมาจากร่าง เขาเข้าใจในทันที เจ้าหนุ่มหาได้ล้อเล่นกับตัวเอง จิ่วหุนจะฆ่าตนจริงๆ
เสี้ยวนาทีนี้ เขาเริ่มเสียใจแล้วที่เอาเยี่ยเม่ยมาข่มขู่อีกฝ่าย
เจ้าเมืองข่มใจให้สงบลง เอ่ยปากว่า “ไฉนคุณชายจิ่วต้องโมโหเช่นนี้ ข้าอยากคุยกับเจ้าไม่กี่คำเท่านั้น สำหรับเจ้าแล้วไม่แน่อาจไม่ใช่เรื่องไม่ดี ไฉนต้องมีเจตนาร้ายกับข้าถึงขั้นนี้ สำหรับแม่นางเยี่ยเม่ย ข้าหาได้มีเจตนาร้ายกับนาง”
จิ่วหุนฟังว่าเขามีเจตนาดี ความเ**้ยมเกรียมบนใบหน้าสลายไปบ้าง กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “พูดมา ข้ามีความอดทนไม่มาก”
สิ้นเสียงเขา
เจ้าเมืองหลินเอ่ยปากอย่างว่องไว “ความจริงก็เพื่อบุตรสาวของข้า ข้ามีบุตรสาวแค่คนเดียว หลายปีมานี้เลี้ยงดูนางประดุจไข่มุกในมือ หลายวันที่ผ่านมาข้าเห็นคุณชาย รู้สึกว่าเจ้าเป็นคนมีความสามารถ ไม่ทราบว่าคุณชายมีสัญญาหมั้นหมายแล้วหรือยัง หากยังไม่มี…”
เจ้าเมืองหลินไม่เอ่ยคำพูดต่อไปอีก รอคำตอบจากจิ่วหุน
“ข้าไม่สนใจ” จิ่วหุนเอ่ยออกมาสี่คำ ก็หมุนตัวจากไป
ไม่เอ่ยถามชื่อของบุตรสาวเจ้าเมือง ไม่แปลกใจว่าทำไมเจ้าเมืองหลินถึงเห็นเขาในแง่ดีเช่นนี้ ทั้งไม่มีท่าทางเบิกบานลิงโลดอย่างที่เจ้าเมืองหลินคิดไว้ เพราะเขาเป็นสามัญชนคนธรรมดา กลับเป็นที่ถูกตาเจ้าเมืองหลิน ได้รับโอกาสให้เกาะพันไข่มุกเม็ดงามของเจ้าเมือง
เพียงเอ่ยแค่สี่คำ ก็จากไปโดยไม่ร่ำลาสักคำ
สีหน้าของเจ้าเมืองหลินยามนี้โมโหจนเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวซีดเซียว เคราะห์ดีที่เขามาคนเดียว ไม่พาบ่าวรับใช้มาด้วย มิเช่นนั้นหน้าเ**่ยว ๆ ของเขา รวมถึงชื่อเสียงของบุตรสาวคงจบสิ้นแล้ว
เขาสูดลมหายใจลึก มองจิ่วหุนเดินจากไปจนไม่อาจได้ยินคำพูดของตน ยามนี้เจ้าเมืองหลินเกิดโทสะยากทนไว้อีก ก่นด่าด้วยความโมโห “เจ้าคนโอหัง ข้าจะทำให้เขาต้องเสียใจ”
สิ้นเสียง ก็สะบัดชายเสื้ออย่างแรง หมุนตัวเดินไปที่ห้องของหลินซูเหย่า
……
ค่ายทหารต้ามั่ว
บรรยากาศในค่ายทหารเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก คล้ายถูกผนึกเอาไว้
แต่พวกเขาภายใต้บรรยากาศเคร่งเครียดนั้น อารมณ์กลับไม่ได้เคร่งขรึมตามไปด้วย ถึงกระทั่งตกอยู่ในอารมณ์เลวร้ายอย่างมาก กลิ่นเหม็นกระแสหนึ่งพัดคลุ้งอยู่ในอากาศ ทหารหลายหมื่นล้มตาย ถูกฝังแล้ว กลับไม่ส่งกลิ่นเหม็นเน่า
กลิ่นเหม็นนี้มาจากทหารเรือนหมื่นที่มีชีวิตอยู่ หลังจากเยี่ยเม่ยนำทหารทัพใหญ่จากไป ก็ผลัดกันเรียงแถวเข้าสุขาทิ้งกลิ่นเอาไว้
ถึงแม้ทุกคนล้วนต่อแถวเข้าสุขาอย่างเป็นระเบียบ แต่ทหารเรือนหมื่นท้องเสียพร้อมเพรียงกัน ทำให้อุจจาระล้นเกินจำนวน ดังนั้นพื้นที่โดยรอบ ล้วนส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งอยู่นานไม่จางหายไป
ราชาต้ามั่วนั่งอยู่ตำแหน่งประทานด้วยสีหน้าไม่น่าชม
ราชาต้ามั่วเป็นส่วนหนึ่งที่ผลิตต้นตอของกลิ่นเหม็น ยามนี้ก็จนปัญญาต่อว่าผู้อื่น
เพียงแค่กวาดสายมองเซียวชิน เอ่ยถาม “อาการของทุกคนเป็นอย่างไรบ้าง”
เซียวชินรีบตอบ “กระหม่อมจ่ายยา ให้ทุกคนกินแล้ว แต่อย่างไรก็ไม่รู้ว่าผงหัวสือ มีสัดส่วนเท่าไหร่ จึงไม่อาจให้ยาได้ตรง ดังนั้นในยามนี้จึงยังไม่หยุดอาการถ่ายท้อง แต่กระหม่อมเชื่อว่า รอจนถึงพรุ่งนี้เช้า ทุกคนต้องหายอย่างแน่นอน”
เมื่อไม่มีหนทางให้ยาตรงโรค ก็ย่อมไม่อาจรักษาอาการหายได้ทันที
แต่อาศัยวิชาแพทย์และความรู้ด้านยาของเขา อย่างมากที่สุดคือรอถึงพรุ่งนี้ ก็จะหายดี
ราชาต้ามั่วฟัง พยักหน้าอย่างชื่นชม
หลังจากพยักหน้า สีหน้าราชาต้ามั่วเปลี่ยนไปทันที สีหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมา เห็นได้ชัดว่า ราชาต้ามั่วต้องการเข้าห้องน้ำอีกแล้ว
เขาเองก็กินยาของเซียวชิน เพราะยาไม่ตรงโรคจึงไม่อาจหายได้ในทันที
คนทั้งหมดเห็นสีหน้าราชาต้ามั่ว พลันก้มหน้าลง รู้ว่าเขาเป็นอะไรไปแล้ว
อย่างไรเสียพวกเขาเริ่มปรึกษาหารือกันได้ครึ่งชั่วยาม ราชาต้ามั่วก็เข้าสุขาไปแล้วสี่รอบ ดูท่าตอนนี้กำลังจะเป็นครั้งที่ห้า
ผลคือ ราชาต้ามั่วยังไม่ทันเอ่ยอะไร ก็ลุกขึ้นร้อนรนออกไปสุขา
ทั้งสีหน้ายังเขี้ยวคล้ำ…
เซียวชินเป็นคนที่ไม่ได้กินข้าวเสีย นั่งอย่างสงบเสงี่ยมกับเหล่าแม่ทัพที่นำทัพเสริมมา รอราชาต้ามั่วกลับมาจากห้องสุขาอีกครั้งหนึ่ง
เวลาผ่านชั่วก้านธูป
ในที่สุดราชาต้ามั่วก็กลับมาแล้ว
ส่วนลู่หวานหว่านก็เดินติดตามอยู่ด้านหลัง จากเข้าสุขาแล้วก็กลับมาพร้อมกัน
ราชาต้ามั่วสูดลมหายใจเข้าลึก กำหมัดแน่นทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง กัดฟันเอ่ยว่า “พวกเป่ยเฉินที่สมควรตาย ทั้งยังสตรีน่าตายผู้นั้น ถึงกับใช้ลูกไม้เช่นนี้ พวกชาวภาคกลางช่างเจ้าเล่ห์นักเชียว”
ยามนี้เซียวชินไม่สวมหน้ากาก ในฐานะชาวภาคกลาง สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของราชาต้ามั่วทำให้เซียวชินไม่พอใจ
ในเวลานี้มีแม่ทัพผู้หนึ่งลุกขึ้นเอ่ย “ท่านข่าน ข้าคิดว่าเรื่องนี้ จั่วอี้อ๋องไม่อาจผลักไสความรับผิดชอบ”
เมื่อเขากล่าวออกมา คนทั้งหมดสงบลง
ภายในกระโจมเงียบไปหลายวินาที ราชาต้ามั่วมองเขา ทั้งยังปรายตามองเซียวชินปราดหนึ่งด้วยความระวัง ทว่าไม่เอ่ยอะไร
แม่ทัพคนอื่นๆ กลับสูดลมหายใจลึกแทนแม่ทัพผู้กล้าหาญคนนั้น
หลายปีมานี้จั่วอี้อ๋อง ได้รับความสำคัญจากราชาต้ามั่วมาตลอด ส่วนอารมณ์ของจั่วอี้อ๋องก็มิสู้ดีนัก คนที่เป็นปรปักษ์กับเขา มักพบว่าถูกพิษตายอย่างแปลกประหลาดในบ้านตลอด แม้กระทั่งหมอผีของต้ามั่วยังไม่อาจบอกได้ว่าถูกพิษอะไรตายอยู่เรื่อยไป
ในยามนี้แม่ทัพผู้หนึ่งมีขวัญกล้า พวกเขารู้สึก…เลื่อมใสว่าเขาเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งอย่างแท้จริง
ลู่หวานหว่านที่ถ่ายท้องจวนจะหมดแรง ยามนี้มองเซียวชิน เอ่ยว่า “ถูกต้อง ต่างบอกว่าจั่วอี้อ๋องวิชาแพทย์สูงส่ง ผลคือข้าวสารมีปัญหา เขากลับดูไม่ออกเลยสักนิด ทำให้พวกเราเสียทหารไปหลายหมื่น ทั้งยังเป็นกองทหารที่เข้มแข็งที่สุดของต้ามั่ว ไม่ว่าพูดอย่างไร ความรับผิดชอบนี้จั่วอี้อ๋องก็ไม่อาจหนีผล”
เมื่อนางเอ่ยออกไปเช่นนี้ ราชาต้ามั่วถลึงตาใส่นางในทันที “หุบปาก”
หากมิใช่สตรีนางนี้คอยยุแยง บอกว่าเยี่ยเม่ยดำเนินแผนผิดพลาด เยี่ยเม่ยไม่มีทางฉลาดกว่าเซียวชิน พูดจนพระองค์เชื่อ ราชาต้ามั่วก็ไม่คลายความระแวงสงสัยของเซียวชินภายในไม่กี่ประโยค สุดท้ายเรื่องราวจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้หรือ
ราชาต้ามั่วเข้าใจดี เรื่องนี้ตัวเองมีส่วนรับผิดชอบ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะนางแพศยาผู้นี้
ลู่หวานหว่านตกใจจนเงียบเสียง ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อเซียวชินฟังคำพูดพวกนี้ กลับไม่โมโห ความไม่ยินดีเมื่อครู่ ยามนี้เปลี่ยนไปเป็นความสงบ
เขาหน้ามองแม่ทัพผู้นั้น ชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยปาก “ข้ายอมรับ ศึกครั้งนี้ข้าต้องรับผิดชอบ การตายของทหารหลายหมื่น ข้ายิ่งไม่อาจหลีกหนีความผิด หากท่านข่านจะลงโทษ ข้าไม่มีคำพูดจะเอ่ย”
เขาเอ่ยออกไปพลางลุกขึ้น เดินมาถึงกลางกระโจม คุกเข่า
นี่คือลูกผู้ชายอกสามศอก กล้าทำกล้ารับ ไม่หวั่นเกรงต่อการรับผิดชอบ
จากคำพูดและการกระทำของเขา บรรยากาศยิ่งสงบลงมา
ความจริงไม่ว่าอย่างไร เซียวชินเป็นผู้นำทัพของศึกนี้ แต่ตกหลุมพรางศัตรู ส่งผลให้ทหารกล้าทั้งทัพแทบไม่เหลือ ความรับผิดชอบนี้ไม่อาจผลักไสไปได้
ราชาต้ามั่วมองเซียวชินทำเช่นนี้ ในใจรู้ว่าความรับผิดชอบย่อมไม่อาจตกที่อีกฝ่ายทั้งหมด ยามนี้จึงเอ่ยว่า “จั่วอี้อ๋อง เจ้ามิต้องทำเช่นนี้ เรื่องนี้…”
คิดไม่ถึงว่า คำพูดของราชาต้ามั่วยังไม่ทันเอ่ยจบ
แม่ทัพผู้เอาผิดเซียวชิน รีบเอ่ยกับราชาต้ามั่ว “ท่านข่าน ในเมื่อจั่วอี้อ๋องยอมรับความผิด เหตุไฉนท่านข่านถึงยังปกป้องเขาเล่า ต้ามั่วของเราตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ไรไม่เคยพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ข้าคิดว่าไม่อาจลงโทษจั่วอี้อ๋องสถานเบา”
ราชาต้ามั่วกวาดตามอง เตือนว่า “หลายปีที่ผ่านมาจั่วอี้อ๋อง ทำผลงานให้ต้ามั่วไม่น้อย เอาชนะศึกมากมาย ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เรื่องเดียวจะลบล้างไปได้หมด”
แม่ทัพผู้ทัพรีบเอ่ย “ข้าย่อมรู้ว่าจั่วอี้อ๋องมีคุณงามความดี เพียงเกรงว่าการศึกกับชาวภาคกลางครั้งนี้ เกรงว่าจั่วอี้อ๋องจะไม่เต็มใจ”
สิ้นประโยคนี้ น้ำเสียงของแม่ทัพผู้นั้นก็หนักขึ้น “ท่านข่าน กระหม่อมขอให้ท่านริบอำนาจทางทหารของจั่วอี้อ๋อง การศึกภายหน้ายกให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อม กระหม่อมยินยอม ร่างหนังสือสัญญา ต้องเอาหัวของเยี่ยเม่ยผู้นั้นมาสังเวยให้กับวิญญาณทหารต้ามั่ว หากทำไม่ได้ กระหม่อมจะปลิดชีวิตตัวเองหน้ากระโจมของท่าน”