เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 121
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ ราชาต้ามั่วกลับเงียบลงมองเขาด้วยสายตาแตกตื่นอยู่บ้าง เอ่ยปากว่า “เจ้ามั่นใจจริงๆ อย่างนั้นหรือ”
หนังสือสัญญาทางทหารไม่ใช่ร่างขึ้นมาอย่างขอไปที เมื่อร่างแล้วไม่อาจทำตามได้ ต้องตัดหัวทิ้ง นับตั้งแต่โบราณมา คนที่ร่างหนังสือรับรองมีจำนวนนับได้ด้วยนิ้ว แม่ทัพถึงกับมีความกล้าหาญเช่นนี้
แม่ทัพผู้นั้นรีบรับปาก “ข้ามีความมั่นใจจริง ๆ ต่อให้ท่านข่านไม่วางใจในตัวข้า ก็สมควรวางใจในตัวจิวมั่วเหอบุตรชายของข้า”
“เอ๋? ความหมายของเจ้าคือ จิวมั่วเหอจะกลับมาแล้ว” ราชาต้ามั่วเกิดความสนใจขึ้นมาบ้าง
ตอนนั้นหากมิใช่เพราะจิวมั่วเหอจะไปบำเพ็ญที่วัด เช่นนั้นตำแหน่งโย่วอี้อ๋องสมควรเป็นของเขา ไม่ตกไปถึงหวันเหยียนหง หากจิวมั่วเหอยินดีออกโรง เช่นนั้นราชาต้ามั่วก็มีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง
แม่ทัพผู้นั้นชะงักไปเล็กน้อย เดินมากลางกระโจมคุกเข่าลง “ท่านข่าน ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร ข้าจิวมั่วเหยียก็เป็นบิดาของเขา ต่อให้เขาไม่ยินยอมกลับมา เมื่อเห็นบิดาของตนร่างหนังสือสัญญาแล้ว เพื่อชีวิตของข้า เขาไม่อาจยืนชมดูอยู่ด้านข้าง”
เมื่อเอ่ยมาถึงขั้นนี้ ก็เห็นได้ชัดเจนแล้ว
จิวมั่วเหอไม่แน่ว่าจะเต็มใจกลับมา แต่ว่าชีวิตของจิวมั่วเหยีย จิวมั่วเหอไม่อาจไม่ใส่ใจได้ เป้าหมายของแม่ทัพจิวก็คือฉกฉวยโอกาสที่เซียวชินผิดพลาด ยึดอำนาจสั่งการทหารในมือของเขามา
หลังจากราชาต้ามั่วฟังจบ ก็ไม่พูดอะไรอีก สายตาซักไซ้มองไปที่จิวมั่วเหยีย
ในเวลานี้ ลู่หวานหว่านด้านข้างกลับเอ่ยปากขึ้น “ท่านข่าน มีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่าคนต่างเผ่า ย่อมมีใจออกห่าง ไม่ว่าอย่างไรจั่วอี้อ๋องก็เป็นชาวภาคกลาง เขาไม่ยินยอมลงแรงต่อกรกับชาวภาคกลาง ทำให้พวกเราเสียหายมากมายเพียงนี้ ก็ไม่อยู่เหนือเหตุผล ท่านข่านอย่าได้เห็นแก่เพราะคุณงามความดีของเขาในกาลก่อน ไม่ใส่ใจที่เขาทำผิดไปมากมายถึงขั้นนี้นะเจ้าคะ”
“อย่างนั้นหรือ” เซียวชินที่นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจามาตลอด ยามนี้กลับมองลู่หวานหว่าน “หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าเองก็เป็นคนภาคกลาง ความหมายของคนต่างเผ่า ย่อมมีใจออกห่าง นั่นไม่ใช่เท่ากับเจ้าก็มีใจออกห่างหรอกหรือ ข้าสามารถอธิบายได้หรือไม่ว่า ก่อนหน้านี้คำพูดยุยงส่งเสริมของเจ้า ลบความระแวงของข้ากับท่านข่านไป ก็เป็นเพราะแผนการที่เจ้ากับชาวภาคกลางเอาไว้แล้ว”
“เจ้า” ลู่หวานหว่านรีบลุกขึ้น ยื่นมือชี้ใส่เซียวชินอย่างเดือดดาล “ท่านหยุดใช้คำพูดเหลวไหล ใส่ความข้าเสียที นี่คือความผิดของท่าน อย่าได้ผลักไสให้ข้า ตัวข้าแต่งงานกับท่านแม่ทัพเยียลี่ว์นานแล้ว ก็เป็นคนของต้ามั่ว แต่งงานแล้วตามสามี จั่วอี้อ๋องอย่าได้ลืมเรื่องนี้เชียว”
ราชาต้ามั่วรีบตำหนิ “พอแล้ว หุบปาก เจ้าไสหัวออกไป”
“ท่านข่าน…” ลู่หวานหว่านเบือนหน้ามองราชาต้ามั่วอย่างคิดไม่ถึง
กลับเห็นว่าราชาต้ามั่วมองนางจริงๆ สายตาเย็นเยียบราวคมดาบ คล้ายกับว่าให้เขาสังหารลู่หวานหว่านในยามนี้ ราชาต้ามั่วก็ยินดีทำ
แววตาเช่นนี้ทำให้ลู่หวานหว่านเกิดความหวาดกลัว
จิวมั่วเหยียถึงจะเป็นศัตรูทางการเมืองกับเซียวชิน แต่เขาก็ไม่เห็นลู่หวานหว่านอยู่ในสายตา แม่ทัพจิวเอ่ยปากว่า”ท่านข่าน ได้ยินว่าการศึกพ่ายแพ้ครั้งนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับสตรีปากพล่อยผู้นี้ไม่น้อย ภายหน้าพวกเราปรึกษาเรื่องสำคัญ ไม่ต้องให้นางเข้าร่วมจะดีกว่า ”
“ท่าน…” ลู่หวานหว่านสะบัดหน้าด้วยความโกรธ ถลึงตาใส่จิวมั่วเหยีย
ไม่ง่ายเลยกว่านางจะเกาะราชาต้ามั่ว เดินเข้าสู่ศูนย์กลางทางอำนาจของต้ามั่วได้ ใจนางยังมีความฝันว่าสักวันหนึ่งจะเป็นเช่นเยี่ยเม่ย สตรีที่ในมือกุมอำนาจทางทหารเอาไว้ แต่ยังไม่เริ่มต้น คนเหล่านี้ก็ผลักไสนางออกไปแล้ว
จิวมั่วเหยียเป็นชาวต้ามั่ว นิสัยหยาบกระด้าง ไม่เหมือนเซียวชินที่วางท่าอยู่บ้าง ครั้นเห็นลู่หวานหว่านถลึงตาใส่
เขาเบิกตากลมดั่งลูกกระพรวนจ้องลู่หวานหว่าน กล่าวว่า “ข้าทำไม หากมิใช่เห็นแกว่าเจ้าคือสตรีของเยียลี่ว์ซั่น รู้ว่าเจ้าอยู่ข้างกายองค์ราชาคอยพร่ำวาจาเหลวไหล ข้าตัดหัวเจ้าไปนานแล้ว”
จิวมั่วเหยียต้องการอำนาจคุมทหารในมือเซียวชินก็เรื่องหนึ่ง แต่เทียบกับเซียวชินแล้ว เขารังเกียจสตรีนางนี้มากกว่า
“ข้า…” ลู่หวานหว่านยังคิดเอ่ยอะไรอีก
ราชาต้ามั่วกลับไม่เหลือความอดทน ปรายตามองลู่หวานหว่าน “ข้าให้เจ้าไสหัวออกไป อย่าให้ข้าต้องพูดอีกเป็นรอบที่สาม”
พูดจามาถึงขั้นนี้ ลู่หวานหว่านก็เข้าใจ หากตัวเองยังรั้งอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ ทั้งนั้น
เพราะว่าไม่เพียงแต่ราชาต้ามั่ว แม้แต่แม่ทัพทั้งหลายในที่แห่งนี้ ไม่ว่ากลุ่มไหน สายตาที่มองนางคล้ายกับจะกินคนเข้าไป
นางไม่ส่งเสียง เดินลิ่วออกไปทันที
หลังจากนางออกไปแล้ว จิวมั่วเหยียยังก่นด่าอีกระลอก “พวกสตรีหน้าเหม็น ไม่รู้ในห้องให้ดี ยังกล้าออกมาพูดจาเหลวไหล ออกความคิดโง่งม นางหลงคิดว่านางคือเยี่ยเม่ยผู้นั้นหรือไง”
“หากนางฉลาดได้ครึ่งของเยี่ยเม่ย ก็คงว่างจนมานั่งยุยงปลุกปั่น ยังจะออกความคิดเห็นบ้าบอ” แม่ทัพอีกคนหนึ่งเอ่ย น้ำเสียงเต็มไปด้วยแววเยาะเย้ย
ลู่หวานหว่านเดินมาถึงหน้าประตู ได้ฟังคนด้านในเอ่ยคำพูดพวกนี้ออกมา
เดิมทีนางอยู่ในอารมณ์โมโหอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งทวีความเดือดดาลเข้าไปใหญ่
ลู่หวานหว่านกำหมัดแน่น
ต้องมีสักวันหนึ่ง นางจะพิสูจน์ให้พวกตาบอดเหล่านี้เห็นว่านางแข็งแกร่งกว่าเยี่ยเม่ยเป็นร้อยเท่า
……
หลังจากลู่หวานหว่านออกไปแล้ว
ราชาต้ามั่วมองหน้าเซียวชิน เอ่ยปากถาม “จั่วอี้อ๋อง ข้อเสนอของจิวมั่วเหยีย เจ้าว่าอย่างไร”
เซียวชินสีหน้าไร้อารมณ์ตอบ “ท่านข่าน กระหม่อมบอกไปแต่แรกแล้วว่า กระหม่อมไม่ยินดีทำศึกกับชาวภาคกลาง วันนี้มีคนยินดีรับตำแหน่งต่อ กระหม่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
เมื่อคำตอบเป็นเช่นนี้ จิวมั่วเหยียกลับมองเซียวชินด้วยแววตาแปลกประหลาด
คิดไม่ถึงเลยว่า อำนาจทางการทหาร เซียวชินบอกว่าวางมือก็วางมือได้ง่ายหมดจดเพียงนี้
“คำพูดของจั่วอี้อ๋องเป็นจริงหรือไม่” ราชาต้ามั่วพิจารณาสีหน้าเซียวชิน ไม่ว่าพูดอย่างไร ความเสียหายครั้งนี้ก็มหาศาลมาก แต่เขาไม่ยินยอมให้ต้ามั่วของตนสูญเสียแม่ทัพใหญ่ไป ดังนั้นใจของเซียวชิน เขาไม่อาจไม่รั้งไว้
เซียวชินตอบตามตรง “คำพูดของกระหม่อม เป็นจริงทุกประโยค ท่านข่านมิจำเป็นต้องระแวงสงสัย ตราคุมทัพกระหม่อมยินดีส่งมอบออกไป เพียงแต่จะมอบให้ใคร ขอให้ท่านข่านไตร่ตรองให้ดีก่อน ค่อยตัดสินใจ”
สิ่งที่ควรเตือนเขาก็เตือนไปแล้ว ส่วนท่านข่านจะฟังหรือไม่ ก็อยู่ที่ราชาต้ามั่วแล้ว
ในเมื่อเซียวชินเอ่ยจากใจ ราชาต้ามั่วก็วางใจ กลับไม่เอาคำเตือนเมื่อครู่ของเซียวชินมาเก็บไว้ในใจ
ราชาต้ามั่วปรายตามองจิวมั่วเหยีย กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นตราทัพก็มอบให้เจ้า หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะตั้งใจเต็มที่ไม่เสียดายแม้ชีวิต” จิวมั่วเหยียรีบตกปากรับคำทันที
เซียวชินเงยหน้า สายตาแปลกใจมองราชาต้ามั่ว ทว่าเห็นราชาต้ามั่วสีหน้าเป็นปกติ คล้ายไม่ตระหนักถึงอะไรทั้งนั้น เซียวชินก้มหน้าลงด้วยความผิดหวังเล็กน้อย ส่ายหัวอยู่ในใจ
ช่างเถอะ บางครั้งชะตากำหนดให้เป็นราชาทำลายชาติ เขาเซียวชินช่วยปกป้องได้สี่ปี แต่ปกป้องไปตลอดไม่ได้
ราชาต้ามั่วมองเซียวชิน กล่าวต่อ “ในเมื่อริบตราทัพคืนจากจั่วอี้อ๋องแล้ว ก็นับเป็นการลงโทษ เรื่องอื่นไม่ต้องเอ่ยอีก จั่วอี้อ๋องกลับไปสำนึกตัวให้ดีแล้วกัน”