เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 130
“เพราะเป่ยเฉินเสียง”
จงรั่วปิงตรงไปตรงมายิ่ง โพล่งชื่อคนผู้หนึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเปล่งเสียงออก ก็เห็นเยี่ยเม่ยเลิกคิ้วมองตน ใบหน้าของจงรั่วปิงเผยความไม่เป็นตัวของตัวเอง เอ่ยปาก “ข้าคือจงรั่วปิง บุตรสาวของต้าซือคง[1] และยังเป็นจอมยุทธ์หญิงอันดับหนึ่ง เขาคือคู่หมั้นของข้า ตอนข้าเดินทาง ได้ยินว่าเจ้าเกือบเอาชีวิตเขา ดังนั้น…”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ จงรั่วปิงเสริมขึ้นอีกประโยค “แต่ข้าไม่คิดเอาชีวิตเจ้า ก็แค่อยากสั่งสอนเจ้าสักที อย่างไรเสียครั้งนี้ องค์ชายใหญ่เสียหน้าที่ชายแดน ตระกูลจงของข้าก็เสียหน้าเช่นกัน”
เมื่อนางตอบ ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนบนกำแพงก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
พวกนางรู้อยู่แล้ว เป็นดังคาดจริงๆ
จงรั่วปิงต่างจากเหล่าคุณหนูใหญ่ที่ถูกเลี้ยงในห้องหอ นับตั้งแต่เล็กนางร่างกายอ่อนแอ ถึงได้ถูกส่งขึ้นเขาไปฝึกวิชาเพื่อรักษาสุขภาพ สุดท้ายก็กลายเป็นจอมยุทธหญิงอันดับหนึ่ง ก็เพราะเหตุนี้ถึงได้รู้จักกับนางทั้งสองคน
พวกนางเล่นเป็นเพื่อนกันอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ก็ลืมฐานะเดิมของอีกฝ่ายไปแล้ว
เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว มองสตรีเบื้องหน้า เอ่ยปากเสียงเย็น “ข้าทำร้ายคู่หมั้นของเจ้าหรือ อย่างนั้นเจ้าก็ต้องรู้ว่า ข้ากับคู่หมั้นของเจ้าพบหน้ากันครั้งแรก คนขับรถม้าใต้บัญชาของเขาเกือบชนข้าแล้ว ซ้ำยังดูถูกข้า ทั้งยังคิดสั่งสอนข้าด้วย”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ” จงรั่วปิงตะลึงไปชั่ววูบ
เยี่ยเม่ยมองจงรั่วปิงตะลึง จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องราว
ดังนั้นเยี่ยเม่ยจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “นอกจากเรื่องนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่า หลังจากคู่หมั้นของเจ้าเดินทางมาชายแดน เฝ้าเป็นปรปักษ์กับข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่หยุดยั้งเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมอบตราพยัคฆ์ให้ข้า ก็คิดหลอกเอาตราพยัคฆ์ไป ข้าไม่ได้ทำอะไรเขา เขากลับแอบลงมืออยู่เบื้องหลัง เกือบทำให้แผนการจัดการต้ามั่วของข้าเกือบพลิกผัน”
“ข้า…” จงรั่วปิงย่นคิ้ว สีหน้าปรากฏความไม่เห็นด้วย กอปรด้วยความเดือดดาล “ความหมายของเจ้าคือ เขาถึงกับไม่สนใจความปลอดภัยของบ้านเมือง ทำเรื่องเช่นนี้ออกมา”
ถึงนางจงรั่วปิงจะไม่มีความรู้สึกล้ำลึกอะไรกับราชสำนักเป่ยเฉิน แต่ว่าคุณธรรมพื้นฐาน นางก็ยังคงยืนหยัดรักษาไว้
คำพูดนี้ เยี่ยเม่ยไม่ตอบกลับ เพียงแต่เงยหน้ามองทหารด้านหลังตน “เจ้าไปถามพวกเขาคนไหนสักคนก็ได้ ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะตอบคำถามเจ้าได้”
ทหารผู้หนึ่งมองซ้ายมองขวา ก้าวออกมาด้วยความกล้าหาญ เอ่ยปากกับจงรั่วปิง “ถูกแล้ว แม่นาง ไม่ใช่แค่นี้ ตอนที่แม่นางเยี่ยเม่ยนำพวกเราต่อสู้ ระหว่างทางกลับ ถูกคนขององค์ชายใหญ่ซุ่มโจมตี เพราะเช่นนี้ องค์ชายสี่ถึงโมโหมาก สั่งสอนองค์ชายใหญ่ ความจริงคนที่ลงมือคือองค์ชายสี่ ไม่ใช่แม่นางเยี่ยเม่ย”
เยี่ยเม่ยปรายตามองนางด้วยความเย็นชา น้ำเสียงเย็นชา “ดังนั้นเจ้าก็รู้แล้วสิ ความจริงของเรื่องก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้เจ้าคิดแก้แค้นให้คู่หมั้น ก็ไม่สมควรมาหาข้า ไปหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงจะถูก หรือแม่นางท่านนี้คิดว่า จะบีบลูกพลับต้องเลือกลูกที่อ่อน สู้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้ ถึงมาระบายอารมณ์กับข้าหรือ”
เยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ กลับไม่โยนความผิดไปให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน จากท่าทางของคนเป่ยเฉินมีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางมั่นใจว่า จงรั่วปิงไม่กล้าไปหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแน่
เมื่อเอ่ยออกไปเช่นนี้ จงรั่วปิงก็ไม่พอใจแล้ว โบกมือเอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านเข้าใจผิดแล้ว หากข้าจงรั่วปิงไม่กล้าลงมือกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเพราะสู้เขาไม่ได้ ก็คงไม่ลงมาเกลือกกลั้วกับน้ำคร่ำนี้ ไม่ใช่เพราะสู้เขาไม่ได้ ก็ระบายอารมณ์กับคนรอบข้าง ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น เพียงแต่ข้าได้ฟังว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้า จึง…”
นางเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยเม่ยกลับเกิดความสนใจ เอ่ยถาม “ไม่รู้เจ้าฟังใครมา”
“ซือถูเฉียง” จงรั่วปิงตอบทันที “ซือถูเฉียงเป็นเพื่อนสมัยเด็กของข้า ภายหลังข้าขึ้นเขาฝึกวิชา ก็พบนางน้อยลง ตอนนั้นฮองเฮาประสงค์ให้ ซือถูเฉียงเป็นพระชายาองค์ชายใหญ่ แต่เพราะซือถูเฉียงชอบองค์ชายสี่ ดังนั้นการประทานสมรสถึงตกใส่ข้า ระหว่างทางที่ข้าเดินทาง ได้พบสองพี่น้องซือถูเฉียง เป็นนางที่เล่าให้ข้าฟัง”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เสียงเย็นชา “อย่างนั้นก็ไม่แปลกแล้ว”
“ไม่แปลกอย่างไร” จงรั่วปิงไม่รู้ว่าไฉนเยี่ยเม่ยถึงเอ่ยเช่นนี้
สิ้นเสียงนาง คนทั้งสองบนกำแพง ถึงได้รู้ว่าเรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิด ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยน รีบลงจากกำแพงอย่างรีบร้อน เดินมาเบื้องหน้าจงรั่วปิง
ซือหม่าหรุ่ยไม่เอ่ยมากความ เอ่ยปากตรงไปตรงมา “คำพูดของนางแพศยาไม่อาจเชื่อ นางชอบองค์ชายสี่ แต่ว่าองค์ชายสี่มีใจให้แม่นางเยี่ยเม่ย เพราะพวกเขาสองพี่น้องไล่สังหารแม่นางเยี่ยเม่ย องค์ชายสี่ถึงจำต้องเอาชีวิตเขา พวกเขารีบหนีเอาชีวิตรอดกลับเมืองหลวง เจ้าว่าหากเพราะสาเหตุนี้ คำพูดที่ออกจากปากพวกเขาจะเป็นคำพูดดีๆ ได้อย่างไร”
“เป็นเช่นนั้นจริงหรือ” จงรั่วปิงแทบไม่อยากเชื่อคำพูดที่ตนเองได้ฟัง
ซือหม่าหรุ่ยกลอกตามองนาง “ข้ายังจะหลอกเจ้าอีกเหรอ คนเราเปลี่ยนแปลงได้ เจ้าก็บอกแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเจ้าพบซือถูเฉียงน้อยครั้ง นางเป็นอย่างไรเจ้าจะรู้หรือ จิตใจคนเปลี่ยนแปลง คำพูดคนตั้งมากมาย เจ้าล้วนไม่เชื่อ เจ้าเชื่อนางคนเดียว ไม่ไร้เหตุผลเกินไปหรืออย่างไร”
คำพูดนี้ พลันทำให้ จงรั่วปิงย่นคิ้ว “เจ้าพูดก็ถูก”
ซินเยว่เยี่ยนตบบ่าจงรั่วปิง “เจ้าก็จริงๆ เชียว หากเป็นเพราะเรื่องนี้ ระหว่างทางไฉนถึงไม่ถามพวกเรา เจ้าไม่ยอมพูดอะไร พวกข้าเห็นท่าทางโหดเ**้ยมของเจ้า กลัวว่าเจ้าจะเกิดเรื่องถึงได้ทิ้งเจ้าไว้นอกกำแพง หากเจ้าเอ่ยชัดเจนตั้งแต่เรก ก็ไม่มีการเข้าใจผิดแล้ว”
จงรั่วปิงมองเยี่ยเม่ย “ข้ารู้ว่าข้าทำร้ายเจ้าโดยไร้เหตุผล เป็นปัญหาของข้า พวกเราคุยกันชัดเจนแล้ว เจ้าอยากฆ่าข้าก็ยอม แต่มีคำพูดหนึ่ง ข้าอยากให้เจ้ารับรอง ซือถูเฉียงบอกว่าเจ้ายั่วยวนองค์ชายใหญ่ องค์ชายใหญ่คร้านจะใส่ใจเจ้า คำพูดนี้จริงหรือไม่”
“หืม…” ซือหม่าหรุ่ยเป็นคนแรกที่จนคำพูด “เจ้าถูกปลุกปั่นจนไร้สติไปแล้วจริงๆ เจ้าลองคิดดู หากนางยั่วยวนองค์ชายใหญ่จริง ไฉนต้องสั่งสอนองค์ชายใหญ่จนกลับไปเช่นนั้น”
“นี่…” จงรั่วปิงชะงักงัน “นั่นไม่ใช่เพราะองค์ชายใหญ่ไม่สนใจ นางถึงได้เดือดดาลหรอกหรือ”
เยี่ยเม่ยมองนางด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยปากว่า “แม่นางท่านนี้ เจ้าเชื่อคำพูดนี้ นั่นก็เพราะเจ้าไม่เข้าใจข้าดีพอ ข้ารูปโฉมล่มเมือง ยากหาได้อีกเป็นคนที่สอง ใต้หล้านี้มีแต่บุรุษที่คอยตามเอาใจปรนนิบัติข้า ไม่มีทางที่ข้าจะเข้าไปยั่วยวนใคร อย่างไรเสียข้าก็เพียบพร้อมมาก พวกเขาต่างรับเอาไว้ไม่ไหว”
ทุกคน “…”อืม เมื่อเห็นเยี่ยเม่ย เอ่ยคำพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ดูท่านางจะคิดเช่นนี้จริงๆ
มุมปากจงรั่วปิงกระตุกขึ้นเล็กน้อย เดิมทีนางคิดว่าตัวเองก็มีความมั่นใจมากพอแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังมีคนแบบเยี่ยเม่ยเช่นนี้ แบบนี้ไม่เรียกว่าหลงตัวเองหรอกหรือ
ไม่ช้า เยี่ยเม่ยเอ่ยเสียงเย็นชาอีกว่า “ข้าไม่มีความสนใจในตัวเขา กลับเป็นเขาที่เสนอตัวรับข้าเป็นชายารองตั้งแต่ครั้งแรกที่พบข้า ข้าปฏิเสธไปแล้ว”
[1] หนึ่งในตำแหน่งขุนนาง