เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 136
“ปัง ปัง+ ปัง”
ไม่ช้า เสียงเคาะประตูดังสนั่น
ประกายเย็นเยียบในสายตาเยี่ยเม่ยสงบลง ในเมื่อผู้มาเคาะประตู นั่นก็หมายความว่ามาอย่างเปิดเผย อย่างน้อยไม่ได้มาลอบสังหาร
นางเอ่ยปากว่า “เข้ามา”
ประตูในสมัยโบราณกับสมัยปัจจุบันต่างกัน ประตูส่วนมากสามารถผลักได้ทันที
สิ้นเสียงนาง ประตูห้องก็ถูกคนเปิดออก
เยี่ยเม่ยเองก็ลุกขึ้นเดินออกจากลังไม้ ในจิตใต้สำนึกของเยี่ยเม่ย นางเข้าใจว่าของที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนส่งมา ย่อมต้องเป็นของดี ไม่เช่นนั้นในฐานะองค์ชายผู้หนึ่งย่อมไม่กล้าส่งมอบออกมา
อย่างนั้น ในเมื่อเป็นของดี ก็ไม่อาจให้ผู้อื่นรู้ได้ง่าย ๆ ไม่เช่นนั้นอาจถูกขโมยไปได้
อ้อ จริงสิ ไม่น่ามีใครกล้าขโมยของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
ในขณะที่คิด สิ่งที่ตามมาหลังจากประตูห้องเปิดออก ก็คือสตรีสวมชุดสีฟ้านางหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้านางมีความอบอุ่นสง่างามเฉกเช่นหญิงสาวชาวเจียงหนาน ทว่ากลับแฝงความเดือดดาล หลังจากเข้ามาแล้ว นางไม่พูดไม่จาก็เดินตรงเข้าหาเยี่ยเม่ย
นางยกมือขึ้น ตบลงไปที่ใบหน้าของเยี่ยเม่ย
ดวงตาเยี่ยเม่ยทอแววเย็นวาบสายหนึ่ง ในขณะที่อีกฝ่ายเงื้อมือ ก็พลันถูกจับเอาไว้ น้ำเสียงเย็นชาเอ่ย “แม่นาง หากเจ้าเคยได้ยินเรื่องของข้ามาบ้าง เช่นนั้นเจ้าก็สมควรรู้ว่า ถึงข้าจะนิสัยดีมาก แต่ก็มีขอบเขต หากฝ่ามือเจ้านี้ตบถูกข้าเข้าจริงๆ เจ้าจะตายอยู่ที่นี่หรือไม่ ข้าไม่กล้ารับรอง”
เมื่อเอ่ยออกไป มือที่จับข้อมืออีกฝ่ายอยู่ก็ออกแรงบีบแน่น
หลินซูเหย่าสีหน้าเปลี่ยนไป เข้าใจดีว่า สตรีเบื้องหน้า ไม่มีทางปล่อยให้ตนตบตีได้แน่
ในเมื่อนางจับข้อมือตนเอาไว้ ก็หมายความว่าอีกฝ่ายมีวรยุทธ์ไม่ต่ำทรามดังที่ภายนอกเล่าลือ
หลินซูเหย่าจ้องเยี่ยเม่ย เอ่ยปาก “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าคือใคร”
นางเอ่ยออกไปเช่นนั้น เยี่ยเม่ยกลับมองนาง เส้นเสียงเย็นชาเตือน “เป็นเจ้าต่างหากที่สมควรรู้ชัดว่า เยี่ยเม่ยเป็นใครกันแน่ ”
“เจ้า…” หลินซูเหย่าเกิดโทสะ เอ่ยปากว่า “ข้าบอกเจ้าเอาไว้ ข้าคือบุตรสาวของเจ้าเมืองหลิน ท่านแม่ข้าคือน้องสาวของเจ้าบ้านเฉินคหบดีอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน เจ้าเป็นศัตรูกับข้า ข้ากลัวแต่ว่าเจ้าจะตายอย่างน่าสมเพชเกินไป”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า ร้องรับคำหนึ่งว่า “อ้อ”
จากนั้นก็มองใบหน้าเดือดดาลของแม่นางผู้นั้น วิจารณ์ออกมาว่า “เดิมข้าคิดว่าเจ้าจะแนะนำตัวเอง ไฉนเจ้าถึงได้แนะนำบิดามารดาเจ้าเล่า”
“ข้า…” หลินซูเหย่าพลันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
นางย่อมเข้าใจความหมายของคำพูดเยี่ยเม่ย อีกฝ่ายกำลังเยาะเย้ยนางว่า ตัวนางกำเริบเสิบสานเช่นนี้ก็เพราะฐานะของบิดามารดา ลอบบอกตัวนางนั้นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
หลินซูเหย่ารีบมองเยี่ยเม่ย เตรียมยอกย้อน “แล้วเจ้าเล่า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร หามิใช่เพราะองค์ชายสี่เห็นเจ้าต่างออกไป เจ้าคิดว่าเจ้าอยู่ในเมืองชายแดนแห่งนี้ได้อย่างมีความสุข ทั้งในมือยังมีอำนาจคุมทหารสองแสนนายอีกเหรอ เจ้าก็เป็นแค่คนที่พึ่งพาบุรุษก็เท่านั้นเอง”
“อย่างนั้นหรือ” คราวนี้เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วสูง มองสตรีเบื้องหน้าอย่าสงบ ถามว่า “ความหมายของเจ้าคือ หากเจ้าเป็นข้า หากว่าอำนาจทางทหารอยู่ในมือเจ้า เจ้าก็สามารถเอาชนะได้อย่างสวยงามเช่นข้า นำชัยชนะกลับมาแล้ว”
เมื่อเอ่ยออกไป ใบหน้างดงามของหลินซูเหย่าพลันแดงก่ำคล้ายกับสีตับหมู
ถึงแม้นางจะมองตัวเองสูงส่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่รู้จักตัวเอง หากให้นางอยู่บ้านเป็นคุณหนูนั่นย่อมไม่มีปัญหา แต่ให้นางออกรบ อย่าว่าแต่ความสามารถในการสังหารคนเลย แม้แต่ความกล้าในการสังหารก็ยังไม่มี
เห็นนางใบหน้าแดงก่ำไม่พูดไม่จา
เยี่ยเม่ยเอ่ยถามเสียงเย็น “ทำไมกัน ไม่พูดหรือว่าไร้คำพูด หรือว่าละอายใจแล้ว”
“วิชาความรู้มีหลายแขนง ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะร้องเพลงปักผ้าได้” หลินซูเหย่ารีบย้อนกลับมาคำหนึ่งในทันที
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยเสียงเย็นชา “ร้องเพลงข้าทำได้ แต่ปักผ้าข้าทำไม่เป็นจริง ๆ แต่ว่าแม่นางที่เข้ามาก็คิดลงมือกับข้าโดยไร้สาเหตุผู้นี้ การปักผ้ากับหัวข้อที่เราคุยกันอยู่นี้เกี่ยวข้องอะไรกันหรือ ทหารศัตรูจะยอมถอยทัพหนีเพราะเจ้าปักผ้าเป็นหรืออย่างไร”
“เจ้า…” หลินซูเหย่าคิดไม่ถึงเลยว่า สตรีที่ชวนให้คนมองรู้สึกเย็นชาราวตู้น้ำแข็งคนหนึ่ง จะยอกย้อนได้เก่งเพียงนี้
พูดไม่กี่คำ ก็จู่โจมเสียตัวนางไม่เหลือทางถอย
จริงด้วย การปักผ้าไม่เกี่ยวข้องกับทัพใหญ่ ตราทัพและความสามารถการรับศึกของเยี่ยเม่ยเลยแม้แต่น้อย
เยี่ยเม่ยปล่อยมือหลินซูเหย่าออกอย่างแรง ในชั่วขณะนั้นเอง หลินซูเหย่ายืนไม่มั่น ล้มลงที่พื้นทันที
ส่วนเยี่ยเม่ยเพียงปรายตามองนางอย่างเย็นชา ค่อย ๆ เอ่ยว่า “เห็นแก่ว่าเจ้าเมืองหลินดีกับข้าอยู่บ้าง ไม่สังหารเจ้าชั่วคราว บอกเป้าหมายของเจ้ามาเป็นการแลกเปลี่ยนให้เจ้าออกจากห้องข้าไปได้อย่างปลอดภัย”
หลังจากหลินซูเหย่าฟัง นางจ้องเยี่ยเม่ย “ที่บอกว่าข้าออกไปอย่างปลอดภัยคืออะไรความหมายของเจ้าคือ เจ้ายังกล้าลงมือกับข้าหรือ”
“เมื่อครู่เจ้าก็คิดจะลงมือกับข้าแล้ว ข้ายังไม่กล้าลงมือกับเจ้าหรือไง” เยี่ยเม่ยย้อนถาม สีหน้าเย็นชา เอ่ยต่อไปว่า “เจ้าฟังให้ดี ข้ารู้สึกว่าตัวข้าเป็นคนอ่อนโยนมาก ดังนั้นถึงอดทนเจ้าได้นานขนาดนี้ หากคำตอบของเจ้าไม่อาจทำให้ข้าพอใจได้ ข้าไม่เพียงจะตีเจ้า แต่ยังจะตีจนเจียนตายด้วย”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยพยักหน้า ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ เสริมขึ้นอีกประโยคว่า “วิธีการตี เจ้าสามารถศึกษาจากสภาพของซือถูเฉียงในยามนี้ได้”
ถูกตี แล้วยังต้องไปศึกษาวิธีการอีกหรือ
……….
หลินซูเหย่าอึ้งไป ฉุกคิดอะไรได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ตนเองจะมา ก็ได้ฟังเรื่องท่านหญิงซือถูเฉียงขาขาดสองข้างออกจากเมืองชายแดนไป นางไม่ได้สนใจเลยสักน้อย ทว่าคิดไม่ถึงว่าเยี่ยเม่ยจะใช้เรื่องนี้ข่มขู่นาง
เยี่ยเม่ยอารมณ์ไม่ดีนัก
จิ่วหุนหนีออกจากบ้าน พวกเซียวเยว่ชิงพากันไปตามหาคนตั้งครึ่งค่อนวันแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวส่งกลับมาเลย
ตัวนางกำลังฝึกวิชา ก็พบเจอสถานการณ์ชวนปวดหัวและลำบากยิ่ง
ตอนนี้ผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาท้าทาย นางย่อมเกิดความคิดจะลงมือ…
เวลานี้หลินซูเหย่าจ้องเยี่ยเม่ยอย่างเย็นชา ใบหน้าไม่มีความหวาดกลัว ทว่าในใจหวาดกลัวอยู่บ้าง นางฝืนเอ่ยปากว่า “ข้าคือบุตรสาวของเจ้าเมืองหลิน เป็นไข่มุกล้ำค่าในมือของเจ้าเมือง หากเจ้ากล้าทำอะไรข้า อย่างนั้น…”
หลินซูเหย่ายังไม่ทันเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยก็ตัดบทด้วยเสียงเย็นชา “วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีเป็นพิเศษ หากเจ้ายังไม่หยุดพูดจาเหลวไหล ข้าก็ไม่มีปัญหาที่จะเอาโทสะทั้งหมดในวันนี้ไประบายที่เจ้า”
หากมีคนมาหาถึงที่ ก็นับเป็นที่ระบายอารมณ์
เยี่ยเม่ยไม่ปฏิเสธที่จะลงมือ
จากคำพูดของเยี่ยเม่ยประโยคนั้น สิ่งที่ติดตามมายังมีไอสังหารที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวนาง เวลานี้หลินซูเหย่าหัวศีรษะชาวาบ ชั่วขณะนั้นไม่กล้ารีรออีกต่อไป
นางมองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากว่า “คนที่ไร้คุณธรรมอย่างเจ้า มีคุณสมบัติอะไรให้คุณชายเสี่ยวจิ่วขายชีวิตให้”