เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 139 เจ้าไม่หวั่นไหวกับข้าเลยสักน้อยหรือ
อย่างไรเสีย นางก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทั้งไม่เคยพบมาก่อนว่า มีผู้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรคนไหน เอ่ยปากคำแรกก็พูดจาแบบนี้
หยอกล้อสตรี ราวกับจอมเสเพลในหนึ่งร้อยปียากจะหาตัวได้สักคนหนึ่ง
ท่าทางปล่อยเนื้อปล่อยตัวดูคล้ายกับพวกคุณชายเจ้าสำราญ แต่เยี่ยเม่ยดูออก เจ้าหนุ่มนี้หาได้ธรรมดาอย่างที่เขาแสดงออกมา
ดังนั้น เจ้าหนุ่มนี่ อย่าบอกว่าบำเพ็ญสำเร็จแล้วเลย ต่อให้บอกว่ากำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ เยี่ยเม่ยก็ไม่มีทางเชื่อ
นางยังสงสัยด้วยซ้ำว่าสถานที่ที่อีกฝ่ายบำเพ็ญนั้นใช่อารามแม่ชีหรือไม่ เขาเจาะจงเข้าไปหยอกเอินแม่ชีทั้งหลายมากกว่า
“อย่าได้พูดเช่นนี้” จิวมั่วเหอส่ายหน้าแรงๆ มองเยี่ยเม่ยอย่างจริงจังมากขึ้น เอ่ยปากว่า “เจ้าเข้าใจว่า ถึงข้าจะบำเพ็ญเพียรไม่สำเร็จ แต่ว่าข้าอยู่ในหนทางแห่งการบำเพ็ญจริงๆ”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เบื้องลึกในตากลับมีรอยยิ้มสบายๆ
มองจากสายตาเช่นนี้ ก็คือเจ้าคนพูดจาเหลวไหลไร้สาระผู้หนึ่ง
เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็นชา สีหน้ายังเย็นเยียบเหมือนเดิม เอ่ยปากว่า “ดังนั้นเล่า”
“ดังนั้น ดังนั้น” จิวมั่วเหอชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยต่อ “ดังนั้น จั่วอี้อ๋องเปิดศึกกับพวกเจ้า ผลออกไม่ไม่น่ายินดีนัก ท่านพ่อข้าเรียกตัวตัวข้ากลับจากวัด ให้ข้านำทัพต้ามั่ว ท่านพ่อเป็นอุปสรรคขัดขวางการบำเพ็ญของข้า ต้องเป็นเจ้ากรรมในชาตินี้ของข้าอย่างแน่นอน”
เห็นเขาท่าทางลนลานอธิบาย เยี่ยเม่ยปรายตามองทีหนึ่ง เอ่ยว่า “กวนจื้อไจ้ผูซ่า สิงเซิน[1]… ประโยคต่อไปคืออะไร”
“สิงเซินปันรั่วปัวหลัวมีตัวสือ…” จิวมั่วเหอตอบโดยพลัน ทั้งยิ้มจนตาหยีเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้ดูถูกข้าเชียว ข้าท่องบทสวดมนต์จริงจังกว่าคนทั่วไปมาก ข้าคือศิษย์ฆราวาสที่เคร่งครัด”
เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็นชา เอ่ยว่า “อย่างนั้นหรือ ศิษย์ฆราวาสที่เคร่งครัด จะไม่รู้ว่าคำสองคำนั้นความจริงต้องออกเสียงว่า ปัวเร่อ[2] อย่างนั้นหรือ”
“เอ๋” จิวมั่วเหอชะงักไปชั่ววูบ
เมื่อมองใบหน้าของเยี่ยเม่ยอย่างละเอียด เห็นสีหน้านางมิได้ล้อเล่นเลยสักน้อย ทั้งไม่คล้ายกำลังช่วยแก้คำผิดให้เขา จึงถามอย่างสงสัยว่า “ข้าท่องผิดจริงๆ หรือ”
“ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเสแสร้งอีกแล้ว” น้ำเสียงของเยี่ยเม่ยเย็นเยียบ ตอนนี้นางยังไม่ได้ลงมือ แต่เดินไปที่โต๊ะ รินน้ำชาให้ตัวเอง
จากนั้นกล่าว “ศิษย์ฆราวาสผู้เคร่งครัด แม้กระทั่งคำที่แสดงถึงมหาปัญญา ยังไม่รู้ว่าออกเสียงอย่างไร เจ้าว่าสมเหตุสมผลหรือไม่
คำว่า ปัวเร่อ ทางพุทธศาสนาหมายถึงปัญญา มหาปัญญา
ส่วนพระสูตร “ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร” เป็นหนึ่งในพระสูตรที่สำคัญของศาสนาพุทธเล่มหนึ่ง เป็นการสอนมนุษย์ว่าจะบรรลุถึงฝั่งแห่งมหาปัญญาได้อย่างไร
ส่วนเจ้าหนุ่มนี่แม้กระทั่งเสียงอ่านขั้นพื้นฐานยังอ่านผิด หลังจากนางตักเตือนแล้ว ยังชะงักไปอีก ท่าทางไม่รู้เลยสักน้อย ทำให้เห็นได้ว่าคนผู้นี้ศึกษาพุทธศาสนาก็เพื่อหลอกตัวเอง หลอกคนทั่วหล้า
หลังจากจิวมั่วเหอฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย ก็รู้ในใจว่าอีกฝ่ายดูออกว่าตัวเองไม่ตั้งใจศึกษาพระธรรม
ส่วนเขาก็หาได้ใส่ใจ
เขารีบอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เพราะว่าในวัยเด็กข้าอ่านหนังสือน้อย ดังนั้นจึงไม่ทันใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อย ต่อให้ข้าไปอยู่วัด ก็ยังไม่อาจแก้ไขนิสัยอ่านหนังสืออย่างผิวเผินที่ติดมาตั้งแต่เล็ก ดังนั้น…”
“อ่านหนังสืออย่างผิวเผิน ชาวต้ามั่วที่พูดคำพูดเช่นนี้ได้ ไม่เหมือนคนร่ำเรียนน้อยตรงไหนเลย” เยี่ยเม่ยรีบเตือนเขา
ต้ามั่วย่อมมีตำราของต้ามั่ว
ส่วนคำว่าอ่านหนังสืออย่างผิวเผิน เป็นคำพูดที่นิยมในภาคกลาง หากคนตรงหน้าร่ำเรียนมาน้อยจริง ไฉนไม่อ่านแต่ตำราของต้ามั่ว กลับศึกษาตำราของภาคกลางแล้วเล่า คำอธิบายที่เหมาะสมคือ เขาอ่านทั้งตำราต้ามั่วและภาคกลาง
คำพูดนี้ของเขา หากเป็นชาวภาคกลางเอ่ย เยี่ยเม่ยยังยอมเชื่อว่าอีกฝ่ายอ่านหนังสือไม่มาก แต่เมื่อเป็นคนต้ามั่วเอ่ย นางไม่กล้าเห็นด้วย
คราวนี้ สีหน้าเล่นสนุกไม่อินังขังขอบของจิวมั่วเหอ รวมถึงท่าทางสบายๆ ของเขาพลันหายไปแล้ว
เขาถอนหายใจยาว หว่างคิ้วฉายแววขบขัน มองเยี่ยเม่ยอย่างชื่นชม “คนงาม ไฉนความคิดเจ้าถึงได้เฉียบคมนัก ในสายตาเจ้า ข้าไม่อาจปิดบังได้เลย ถูกเปิดโปงครั้งแล้วครั้งเล่า”
ต้องรู้ว่ายามเขาอยู่ต้ามั่ว เสแสร้งเล็กน้อยก็มีแค่ไม่กี่คนที่เปิดโปงเขาได้
ดังนั้นมีคนเชื่อว่าเขาอ่านตำราน้อย รู้หนังสือไม่กี่ตัว จากนั้นก็ได้ชัยชนะจากการทำศึก เป็นเพียงแม่ทัพที่รู้จักเอาแต่ดึงดูดความสนใจของเหล่าสตรีเท่าน
คนทั้งหลายต่างก็หลงคิดว่า เขาในยามนี้ผ่านการบำเพ็ญมานาน กลายเป็นไต้ซือ จนถึงกระทั่งมีคนที่นับถือพุทธจำนวนไม่น้อย ล้วนนับถือเลื่อมใสเขา
คิดไม่ถึงว่า
สตรีเบื้องหน้า ใช้การสนทนาสั้นๆ ไม่กี่คำ ไม่ว่าท่าทางบุรุษเจ้าสำราญไม่อินังขังขอบของเขา หรือว่าภาพลักษณ์ของคนตั้งใจศึกษาพระธรรม ไม่มีสักอันที่รักษาเอาไว้ได้
หลังเขาเอ่ยจบ สายตาฉายแววสังหารออกมา
เยี่ยเม่ยย่อมมองแววสังหารในตาเขาออก ในโลกก่อนนางเป็นนักฆ่า สำหรับพวกไอสังหารนางรู้สึกได้ไวเป็นอย่างมาก
เยี่ยเม่ยแค่นเสียง เอ่ยปากว่า “เจ้าใคร่ครวญให้ดี ที่นี่คือราชสำนักเป่ยเฉิน ถือว่าเป็นค่ายทหารศัตรูของเจ้า ไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าฆ่าข้า หรือเป็นข้าที่ฆ่าเจ้า ต่อให้เจ้าเกิดโชคดี เจ้าก็ไม่อาจมีชีวิตรอดออกไปชายแดนได้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า …” จิวมั่วเหอหัวเราะเสียงดัง คิดไม่ถึงว่าสตรีเบื้องหน้าตัวเอง จะตรงไปตรงมาถึงขั้นนี้ ทั้งมีความมั่นใจมากพอ ตนเองกับนางประมือกันได้รับชัยชนะ ยังอธิบายว่าเป็นความโชคดี
เห็นเขามีอารมณ์ดี เยี่ยเม่ยส่งสายตามองเขา เอ่ยว่า “หัวเราะพอแล้วก็บอกเป้าหมายของเจ้ามา ที่นี่ไม่ใช่สวนผักที่เจ้าอยากมาก็มาได้โดยพละการ”
จิวมั่วเหอกระพริบตาปริบใส่นาง เอ่ยด้วยสีหน้าหยอกล้อ “เป้าหมายของข้าน่ะ ก็คือได้ฟังว่าสตรีที่ทำให้ต้ามั่วเสียเปรียบครั้งยิ่งใหญ่รูปโฉมงดงาม ดังนั้นจึงมาชมดูเสียหน่อย คิดไม่ถึงว่าคนงามผู้นี้ ไม่เพียงแต่รูปโฉมงดงาม ทั้งยังฉลาดเป็นอย่างมาก ข้าเกือบจะหวั่นไหวแล้ว”
เยี่ยเม่ยกวาดตามองเขา หาได้ใส่ใจกับคำว่า ‘หวั่นไหว’ ของเขาเลย กลับเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “หากเจ้ายังพูดจาเหลวไหลต่อไปไม่เลิก อย่างนั้นข้าก็ไม่แน่ใจว่า สุดท้ายเจ้าจะใจสั่นหวั่นไหว หรือว่าหัวใจหยุดเต้นกันแน่”
เมื่อเยี่ยเม่ยข่มขู่เสร็จ บุรุษหนุ่มก็พุ่งมาอยู่เบื้องหน้า สีหน้าเหมือนได้รับความเจ็บปวดเอ่ยว่า “เจ้าไม่หวั่นไหวกับข้าเลยสักน้อยจริงๆ หรือ”
เยี่ยเม่ยยังมีสีหน้าเย็นชาเหมือนเคย น้ำเสียงของนางยิ่งเย็นเยียบ มองใบหน้าตรงหน้า ย้อนถามว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
จิวมั่วเหอเห็นสายตาเย็นเยือกของนางเวลานี้ก็เข้าใจ ความอดทนของนางใกล้ใช้หมดแล้ว
ส่วนตัวเองก็ชวนให้คนรังเกียจจริงๆ นั่นแหละ
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเสียดาย เอ่ยว่า “ข้ายังคิดว่า เจ้าก็เหมือนข้า ชอบพอข้า จากนั้นพวกเราก็สามารถลักลอบปฏิบัติการ เจ้าทรยศเป่ยเฉิน ช่วยข้าเอาชนะศึก จะมอบความจริงใจและความร่ำรวยสูงศักดิ์ให้แก่เจ้า น่าเสียดาย…”
เยี่ยเม่ยมองเขา เอ่ยว่า “เดี๋ยวก่อน ต่อให้พวกเราต่างฝ่ายต่างมีใจ ลักลอบปฏิบัติการ ก็ควรเป็นเจ้าทรยศต้ามั่ว ช่วยข้าเอาชนะศึก ข้านำความร่ำรวยและสูงศักดิ์ให้กับเจ้า”
“หืม” จิวมั่วเหอไม่อยากเชื่อคำพูดที่เขาได้ยิน
ในสถานการณ์ปกติ ไม่ใช่ว่าแต่งกับสามีก็ติดตามสามีหรือไง
หลังจากเขาชะงักไปชั่วครู่ รอยยิ้มในดวงตาก็ชัดเจนขึ้น ขยับเข้าใกล้เยี่ยเม่ย คันไม้คันมือคิดเล่นผมนาง หัวเราะร่าเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย สตรีชาวภาคกลางล้วนเป็นเช่นเจ้า หรือว่ามีเพียงเจ้าคนเดียวที่เป็นเช่นนี้”
สตรีภาคกลาง เขาไม่ใช่ไม่เคยพบ ทั้งยังเคยหยอกเอินด้วย แต่ไม่เคยพบคนเช่นนาง
เยี่ยเม่ยหลบมือของเขาอย่างปราดเปรียว น้ำเสียงเย็นชา ทั้งมั่นใจเอ่ยว่า “ข้าย่อมเป็นหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้า”
“ฮ่าฮ่าๆ…” จิวมั่วเหอพลันหัวเราะเสียงดัง มองแววตาเยี่ยเม่ย ยิ่งเต็มไปด้วยความสนใจ “ดี คนงาม เจ้าช่างตรงกับความชอบของข้าเข้าไปทุกทีแล้ว ไม่ช้าเจ้ากับข้าจะได้พบกันในสนามรบ ข้าบุกเข้าห้องเจ้าในวันนี้ ข้าอยากรู้ว่า เจ้าจะจัดการข้าอย่างไร เรียกคน หรือว่าประมือกับข้า หรือว่า…”
เขายังไม่ทันเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยก็ตัดบทเขา “เก็บท่าทางหยั่งเชิงของเจ้าไว้ หยั่งเชิงมากไปไม่อาจทำให้เจ้ารู้จักข้ามากขึ้น มีเพียงแต่จะแสดงความโง่งมของเจ้าออกมา ข้ามีความอดทนไม่มาก เจ้าคิดจะใช้คำพูดเหลวไหลยั่วโมโหข้าต่อไป หรือว่าจะตอบคำถามตรงๆ”
สำหรับคนที่เป็นผู้นำทัพของศัตรู แฝงกายเข้ามาในเมือง บุกมาถึงห้องนาง พูดจามากมายขนาดนี้ เยี่ยเม่ยไม่มีทางเชื่อว่าอีกฝ่ายกินอิ่มนอนหลับว่างงาน ถึงได้มาหาเรื่องแก้เบื่อที่นี่ โดยเฉพาะอีกฝ่ายไม่ปิดบังชื่อและฐานะ ยิ่งทำให้เห็นว่าเขามาเพราะมีเป้าหมาย”
วันนี้เยี่ยเม่ยอารมณ์ไม่ดีจริงๆ ไม่คิดพูดจาเหลวไหลกับเขาต่อไปอีก
จิวมั่วเหอพลันหัวเราะออกมา ยิ้มร่าเอ่ยปากว่า “ในเมื่อเจ้าตรงไปตรงมาเช่นนี้ อย่างนั้นข้าก็ไม่ปิดบัง ข้าคิดมาดูความสามารถของเจ้า จากนั้นค่อยพิจารณาว่าจะร่วมมือกับเจ้า หรือว่าสังหารเจ้าเพื่อเป็นการปูทางให้ข้าดี”
ประกายตาเยี่ยเม่ยเย็นวาบมองเขา “ดังนั้น เจ้าสรุปได้ว่าอย่างไรเล่า”
[1] บทสวดในพระสูตร “ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร”
[2] 般若 ปกติแล้วสองคำนี้ ออกเสียงว่า ปันรั่ว แต่ถ้าออกเสียงตามพระสูตรจะอ่านว่า ปัวเร่อ หมายถึง มหาปัญญา