เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 141 แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าช่างไม่รับน้ำใจ
เป็นครั้งแรกที่เขาจิวมั่วเหอ รู้สึกอย่างชัดเจนว่าตนเองโดนดูถูก
นางมั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้ถึงเพียงนี้ อย่างนั้นก็เท่ากับว่า นางมั่นใจเช่นกันว่าเขาจิวมั่วเหอจะต้องพ่ายแพ้
เห็นเขายิ้มเช่นนี้ เห็นรอยยิ้มในเบื้องลึกของแววตา ความจริงแฝงไปด้วยความโกรธและแววอำมหิต เยี่ยเม่ยกลับดูไม่ออก
หญิงสาวจ้องเขาเอ่ยว่า “เจ้ายังมีอะไรจะเอ่ยอีก”
จิวมั่วเหอยิ้มเย็น ยืดตัวตรง ตอบว่า “ไม่ หรือบางทีแม่นางเยี่ยเม่ยยังมีอะไรจะเอ่ยอีกหรือไม่”
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา เส้นเสียงเย็นชา “มีประโยคเดียวที่อยากเตือนเจ้า หวังว่าคำพูดของเจ้าจะเชื่อถือได้ แน่นอนว่าหากเจ้าเกิดไม่อยากพนันแล้ว เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทัน”
คราวนี้ จิวมั่วเหอที่เดิมทีคิดว่าตนโดนดูถูก พลันรู้สึกว่าถูกเหยียดหยามเป็นอย่างมาก
กับแค่ท่าทางมั่นใจว่าจะชนะของสตรีนางนี้ก็ช่างเถอะ ถึงกับคาดการณ์ว่าตัวเขาจะยอมแพ้ไม่เป็น และเตรียมเปลี่ยนใจ
จิวมั่วเหอมองเยี่ยเม่ย ยิ้มเอ่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย วันนี้เจ้าทำให้ข้าเข้าใจคำว่า มั่นใจในตัวเองแล้ว”
ความมั่นใจในตัวเองที่เข้าขั้นหลงตัวเอง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีได้ โดยเฉพาะนางที่มั่นใจในความสามารถของตัวเองถึงเพียงนี้ ตัวเขาจิวมั่วเหอในสายตานาง ช่างเป็นคนธรรมดาดาษดื่นจริงๆ หรือ
เยี่ยเม่ยเสียงเย็นชา “หวังว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสเห็นข้าในยามที่มั่นใจมากกว่านี้”
“ฮ่าๆๆ…” จิวมั่วเหอเลิกคิดเล็กคิดน้อยเรื่องโดนดูถูกอีก ชะงักไปเล็กน้อย หัวเราะร่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นเจ้ากับข้าก็รอดูแล้วกัน จิวมั่วเหอขอตัวก่อนแล้ว ขอให้แม่นางเยี่ยเม่ยเตรียมตัวคอยรับศึกไว้ให้ดี”
เยี่ยเม่ยไม่คิดรั้งเขาไว้ จับตัวเจ้าหนุ่มนี่ไว้ ไม่ช้าทัพศัตรูก็จะมีผู้นำทัพคนใหม่ ส่วนที่อีกฝ่ายยินยอมพนันกับนาง ผลการพนันก็ดึงดูดคนได้มากพอ เรื่องนี้สำหรับเยี่ยเม่ยแล้ว กลับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง ดังนั้นปล่อยเขากลับไปอย่างปลอดภัยยิ่งมีประโยชน์มากกว่า
เยี่ยเม่ยตอบ “ก็ดี ไม่ส่ง”
เยี่ยเม่ยเรียบง่ายตรงไปตรงมา จิวมั่วเหอก็ไม่คิดอยู่ต่อ อย่างไรเสียการรั้งอยู่นาน อาจทำให้ถูกหาตัวพบ
เขาคลี่ยิ้มโปรยเสน่ห์ ยักคิ้วหลิ่วตาให้เยี่ยเม่ย “คนงาม ภายในสามวันพวกเราจะได้พบกันอีก อย่าคิดถึงข้าล่ะ ถ้าหากคิดถึงจริงๆ ก็ให้คนส่งสารไปหาข้า ข้าต้องมาหาเจ้าแน่ ปลอบเจ้าที่เปล่าเปลี่ยวยามราตรี”
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา กล่าว “หากเจ้ายังเอ่ยวาจาเหลวไหลอีก ข้าจะใคร่ครวญใหม่ว่าจะ พนันกับเจ้า หรือจับเจ้าไว้”
ยามนี้จิวมั่วเหอยิ้มกว้าง ส่ายหน้าไปมา เขาถอนใจเอ่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าช่างไม่รับน้ำใจเอาเสียเลย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็ไม่รั้งอยู่นาน ขอตัวก่อน”
สิ้นเสียง จิวมั่วเหอทะยานออกจากกำแพงไป
ก่อนไปยังไม่ลืมยื่นมือออกมา ปิดแผ่นกระเบื้องที่ถูกพัดของเยี่ยเม่ยเปิดออก อีกทั้งยามที่เขาปิดกระเบื้องแผ่นสุดท้าย ก็กระพริบตามองเยี่ยเม่ย จงใจยั่วเย้านาง
เยี่ยเม่ยทำเป็นไม่เห็นกิริยาท่าทางทั้งหมดของเขา
จนกระทั่งลมหายใจที่อยู่ด้านบนหลังคาหายไป นางถึงมั่นใจว่า จิวมั่วเหอจากไปแล้ว ถึงไม่สนใจอีก
เยี่ยเม่ยเดินสาวเท้ากว้างๆ ไปข้างหน้าต่าง เปิดลังไม้ออก รื้อของด้านใน
ขวดกระเบื้องจำนวนไม่น้อยภายใน ด้านบนติดตัวอักษรเอาไว้ บ่งบอกว่าด้านในคือยาสักชนิด
เยี่ยเม่ยรื้ออยู่นาน พบว่ายาพวกนี้ โดยมากล้วนมีส่วนช่วยในการฝึกยุทธ์ แต่ว่าก็ไม่มีรายละเอียดบอก หากในร่างกายนางแต่เดิมก็มีกำลังภายในสายหนึ่งก่อกวน สมควรใช้ยาชนิดไหน ตอนนี้นางรู้สึกยอมแพ้
เรื่องนี้ไม่อาจโทษเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เดิมทีนางก็ไม่รู้สภาพภายในร่ายกายของตัวเอง เขายิ่งไม่รู้แน่นอน
ในขณะที่เยี่ยเม่ยกำลังปวดหัวอยู่นั้นเอง
นอกหน้าต่างพลันมีเสียงหัวเราะดังส่งเข้ามา เสียงนี้เยี่ยเม่ยคุ้นเคยมาก นั่นคือเสียงของผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่ “ฮี่ๆๆ เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าคงพบแล้วว่าเมื่อข้าไม่ช่วย เจ้าก็ทำไม่ได้สินะ ตอนนี้เจ้ายอมรับข้าเป็นอาจารย์ อาจารย์จะรีบบอกเจ้าว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร”
สายตาเยี่ยเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่าง
เห็นผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ ตาเฒ่าผู้นั้นนั่งอยู่บนต้นไม้ตรงหน้าต่างโดยไม่คำนึงถึงวัยวุฒิของตน แสดงท่าทางองอาจที่เขาไม่มีอยู่อย่างตั้งใจ
เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึก
นางไม่พูดมากความ เดินกลับไปที่เตียง ถอดรองเท้า โยนไปที่ผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่ด้านนอก “ไปให้พ้น พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
วันนี้นางเหนื่อยมากแล้ว
อีกอย่างนางมองออกว่า ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ หากยิ่งไว้หน้าเขา หางก็จะยกสูงเทียมฟ้า หากทำเป็นไม่ไว้หน้า ก็จะได้รับผลอีกอย่างหนึ่ง
เป็นอย่างที่คาด เยี่ยเม่ยโยนรองเท้าออกไป ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่กระโดดขึ้นมาโดยไม่อยากเชื่อ
หลบรองเท้าเยี่ยเม่ย จากนั้นมองรองเท้าที่เยี่ยเม่ยโยนออกมาอยู่นาน คล้ายกับพิจารณาอย่างตั้งใจว่านางเท้าเหม็นหรือไม่ ตนเองถูกรองเท้าเหม็นเน่าข้างหนึ่งโจมตีหรือไม่
เขาหันหน้ากลับไปมองเยี่ยเม่ยโดยพลัน “ไฉนเจ้าไม่เคารพอาจารย์ในอนาคตของเจ้าเช่นนี้ เจ้าทำเช่นนี้ เกินไปแล้วจริงๆ ข้าจะบอกให้ ยามนี้เจ้าคุกเข่า โขกหัวคารวะอาจารย์สามครั้งดีๆ ข้ายังยอมให้อภัย ไม่เช่นนั้นข้าที่นับว่าเป็นหนุ่มน้อยหน้ามน ก็ไม่ใจกว้างอีก”
“อย่างนั้นก็เชิญท่านกลับไปเถอะ” เยี่ยเม่ยน้ำเสียงเย็นชา กล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่า ท่านไม่ต้องช่วยข้า พรุ่งนี้ข้าไปถาม เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก็น่าจะได้คำตอบเช่นเดียวกัน”
“อ้อ…” ผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่ได้ฟัง สีหน้ากำเริบเสิบสานพลันสงบลง
ดีดตัวจากนอกหน้าต่างเข้ามาข้างเตียงเยี่ยเม่ย ปรึกษาว่า “พูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด แต่เจ้าลองคิดดู เจ้าฝึกเคล็ดวิชาของข้าเสี่ยวเถียนไช่ ข้าย่อมเข้าใจเคล็ดวิชาเล่มนี้มากกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สิ่งที่ข้าช่วยเจ้า ต้องมากกว่าเขาแน่”
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา เอ่ยว่า “ข้ายังไม่แน่ว่าจะฝึกเคล็ดวิชาเล่มนี้ ข้าเชื่อว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะช่วยหาเคล็ดวิชาเล่มอื่นที่เขาเชี่ยวชาญได้แน่”
“นี่นี่นี่ เจ้าอย่าได้ไม่ไว้หน้าข้าขนาดนี้” ผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่โมโหจนท้าไปมา “หากมีคนรู้ว่า ในมือเจ้ามีเคล็ดวิชาของข้า เจ้ายังร่ำเรียนเคล็ดวิชาอื่นอีก เจ้าจะให้ข้าเอาหน้าเ**่ยวๆ นี่ไปไว้ที่ไหน”
ผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่เอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็ย่นคิ้วกล่าวกับเยี่ยเม่ย “ยังมีอีก ข้าจะบอกความลับที่คนทั่วหล้าไม่รู้กับเจ้าเรื่องหนึ่ง คนทั่วหล้าต่างคิดว่าข้ามีศิษย์น้องเพียงคนเดียว นั่นก็คือนักพรตอู๋ซ่างอาจารย์ของซินเยว่เยี่ยน ความจริงแล้วข้ายังมีศิษย์น้องอีกผู้หนึ่ง คือเสินเซ่อเทียน
“เสินเซ่อเทียนคือใคร” เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา
ผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่ล้มทั้งยืน มองเยี่ยเม่ยอย่างไม่คาดคิด “เจ้าอยู่กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมานานขนาดนี้ เจ้ายังไม่รู้ว่าเสินเซ่อเทียนคือใคร เขากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็น…”
เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ เห็นเยี่ยเม่ยมองเขา
ผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่พลันไม่เอ่ยต่อ ส่ายหน้า “ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ภายหน้าเจ้าจะเข้าใจเอง สรุปแล้ว เจ้าเพียงรู้ว่า หากเจ้าเป็นศิษย์ข้าไม่เสียเปรียบสักนิดก็พอแล้ว”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยว่า “เป็นศิษย์ท่านไม่ใช่ไม่ได้ แต่ว่า…”
ผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่เลิกคิ้วสูง มองเยี่ยเม่ยอย่างระวัง “แต่อะไร”