เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 142 เอามีดแทงลูกศิษย์ของพี่น้องเพื่อลูกศิษย์ของตัวเอง
- Home
- เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]
- ตอนที่ 142 เอามีดแทงลูกศิษย์ของพี่น้องเพื่อลูกศิษย์ของตัวเอง
เยี่ยเม่ยจ้องเขา เอ่ยอย่างรวดเร็วว่า “แต่ท่านต้องยอมรับเงื่อนไขสองสามข้อของข้า”
“อะไรนะ”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รู้สึกว่ามีชีวิตอยู่ยังมีความหมายอันใดอีก
สรุปแล้วตัวเขาผู้เฒ่าที่มีความสามารถเป็นเลิศ เริ่มถูกคนอื่นรังเกียจแล้ว หรือว่าเด็กหญิงที่มาจากอีกโลกหนึ่งล้วนไม่รู้จักขอบเขต
เขามองเยี่ยเม่ยอย่างไม่อยากเชื่อสายตาอยู่สักพัก ชี้ที่จมูกของตัวเอง “ความหมายของเจ้าคือ ผู้เฒ่าอย่างข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ สอนเจ้าร่ำเรียนวิชา แล้วยังต้องรับเงื่อนไขเจ้าสองสามข้ออีกด้วยหรือ”
เขาไม่คิดอย่างอื่น เพียงอยากถามโลกนี้ยังมีเหตุผลอยู่หรือไม่
เยี่ยเม่ยพยักหน้า นางกวาดตามองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ ท่าทางไม่อยากเชื่อ ไม่ยินยอมของอีกฝ่าย ยื่นมือออกไปดึงผ้าห่มเตรียมนอน
นางมองผู้เฒ่า เอ่ยว่า “ไม่ยอมก็ช่าง ข้านอนก่อนแล้ว ท่านไปเถอะ”
“…” นี่คือการขับไล่ตนเองครั้งที่สองของวันนี้
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ตระหนักได้แล้ว ตนเองที่เป็นปรมาจารย์แห่งยุค ในสายตาของเยี่ยเม่ย ก็ไม่นับว่าเป็นอะไร
แม้แต่ผายลมก็ยังไม่นับเลย
เขาอยากจะปาดน้ำตาเพราะความปวดใจ
หลังจากถอนหายใจยาว เขาโบกมือน้ำตาคลอ “เจ้าไม่ต้องไล่ข้าเช่นนี้ ข้าเป็นหนุ่มน้อยหน้ามนที่หาตัวจับได้ยากในรอบร้อยปี รูปโฉมในวัยหนุ่มของข้า คนน้อยนิดที่เทียบได้ ข้า…”
เยี่ยเม่ยจามเสียงดัง
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ยามนี้น้ำตาแทบล้นเอ่อ โมโหจนกระโดดโลดเต้น ชี้เยี่ยเม่ยกล่าว “ต่อให้เป็นเจ้าหนุ่มกูเยว่อู๋เหินจอมโอหัง ยังเชื่อฟังเคารพข้า เจ้ากลับ…”
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขาทีหนึ่ง เปิดโปงว่า “ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นจอมโอหัง ข้าว่าเขาคงกราบท่านเป็นอาจารย์ตั้งแต่เด็กแล้ว ภายหลังพบว่าท่านทำตัวไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่ก็เข้าสำนักมาแล้ว ไม่อาจไม่เคารพท่าน”
“อ้อ…” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่จนคำพูด ใบหน้าแดงก่ำ ถูกเยี่ยเม่ยทำให้กระอักกระอ่วน
ความจริงไม่รู้ว่าเพราะอะไร พูดถึงความสามารถของตนสูงส่งอย่างมิต้องสงสัย
แต่บรรดาลูกศิษย์ของตน หลังจากเข้าสำนักแล้ว สายตามักจะเผยความห่างเหิน ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวัง ร้อนรน ไม่พอใจ…รังเกียจ
หรือเป็นอย่างที่เยี่ยเม่ยพูดจริงๆ พวกเขาต่างคิดว่าตนทำตัวไม่เหมาะสมกับอายุแล้ว
เขาลูบเคราของตัวเอง ฝืนไอสองสามที “แค่กๆ ดี ดีมาก เรื่องของพวกเขา พวกเราไม่ต้องพูดถึงแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าบอกข้อเสนอของเจ้ามา ข้าลองพิจารณาดูว่ารับปากเจ้าได้หรือไม่”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ส่งสายตามองเด็กสาวเบื้องหน้า ให้นางเอ่ยปากกราบอาจารย์ด้วยตัวเองคงไม่มีหวังแล้ว เขาได้แต่ถอยร่นก้าวหนึ่งเพื่อเปิดทาง
อย่างไรเขาก็เป็นอาจารย์ที่ใจกว้าง เขาได้แต่ปลอบตัวเองเช่นนี้
เยี่ยเม่ยเห็นเขาให้ความร่วมมือ พยักหน้าอย่างพอใจ เอ่ยปากว่า “เรื่องแรก พิธีการโขกศีรษะกราบอาจารย์ พวกเราละเว้นไว้”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ลูบเคราตัวเอง พยักหน้ารัวๆ “ละเว้น ละเว้น”
จากนั้นไม่รู้ว่าเขากำลังปลอบตัวเอง หรือว่าปลอบเยี่ยเม่ยกันแน่ “ไม่มีปัญหา คนสมัยใหม่อย่างพวกเรา เดิมก็ไม่ควรคร่ำครึในพิธีการ แต่แรกเริ่มข้าก็ไม่คิดให้เจ้าโขกหัวรับอาจารย์ ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น”
เมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา สายตาของเขาเจือประกายน้ำตา คล้ายอยากร้องไห้
ไฉนเขารับศิษย์ตั้งมากมาย แต่ละคนต่างไม่ยินยอมโขกหัวเคารพเขา เขารู้สึกทั้งเจ็บปวดทั้งหนาวเหน็บ
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยต่อ “คนของข้าหายไปคนหนึ่ง ชื่อว่าจิ่วหุน ดูท่าฐานะของเจ้าหนูนี่เมื่อก่อนคือนักฆ่า นักฆ่าปิดบังตัวได้แนบเนียนที่สุด ข้าคิดว่าพวกทหารคงหาตัวเขาได้ยาก ภายในสามวัน ท่านต้องช่วยข้าหาตัวเขาให้พบ”
“หา หา” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่โบกมือ ท่าทาง ‘ข้ายินยอม’ เอ่ยว่า “ตามหาคนเพื่อศิษย์ข้า เป็นเรื่องที่ผู้เป็นอาจารย์อย่างข้าสมควรทำ ต่อให้เจ้าไม่พูด อาจารย์ก็จะบุกน้ำลุยไฟหาคนให้เจ้า”
เมื่อเอ่ยจบ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ยื่นมืออกมา ปาดน้ำตาที่หางตาออก
พูดตามตรง เขายังรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเสียเลย
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยต่อว่า “จิวมั่วเหอแห่งต้ามั่วพนันกับข้า ทั้งยังบอกฐานะของตนกับเป้าหมายให้กับข้าฟัง ท่านช่วยไปหาข่าวเรื่องราวของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นที่แจ้งหรือที่ลับ ขอเพียงสืบได้ ข้าล้วนต้องการ”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยเสริมว่า “ส่วนเรื่องข้อมูลของเขา ข้าต้องการเห็นภายในสองวัน”
ภายในสามวันต้องเปิดศึก รู้เขารู้เรา รู้ว่าอีกฝ่ายอยากเป็นราชาต้ามั่วอย่างที่บอกหรือไม่ นางถึงมีโอกาสกุมชัยชนะครั้งนี้ได้มากขึ้น
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็ไม่ถามมาก โบกมือรับอย่างใจกว้างอีกครั้ง “สืบ ข้าไปสืบเดี๋ยวนี้ ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย ภายในสองวัน เจ้าจะได้ข้อมูลที่เกี่ยวกับเขาทั้งหมด เป็นอย่างไร เจ้าว่า ข้าผู้เป็นอาจารย์เข้าหาได้ง่าย คิดแทนลูกศิษย์ ชวนให้คนหลงรักหรือไม่”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ไม่เลวเลยจริงๆ”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รู้สึกลำบากใจจนสะอื้น สีหน้าเศร้าสลดเอ่ย “แต่ว่าลูกศิษย์เอ๋ย เจ้าบอกได้หรือไม่ว่าไฉนเจ้าถึงไม่ให้คนอื่นไปสืบข่าวจิวมั่วเหอ แต่ต้องให้ข้าไป”
หรือว่านางรู้แล้ว…
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา อธิบาย “ให้คนอื่นไป สืบได้อย่างมากก็เป็นเรื่องในที่แจ้ง เรื่องในที่ลับนั้นต้องการคนที่มีความสามารถถึงสืบได้ ข้ารู้สึกว่าท่านสมควรมีความสามารถนี้กระมัง”
นี่คือคำพูดจากใจจริง
ให้แม่ทัพทั้งหลายไปสืบ สิ่งที่สืบได้ย่อมเป็นเรื่องที่จิวมั่วเหอต้องการให้ทุกคนพบเห็น ส่วนเรื่องที่เขาไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ ต้องไม่มีอย่างแน่นอน แต่ให้ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ที่เป็นยอดฝีมือไปสืบ ทุกอย่างต้องไม่เหมือนกัน
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเม่ยไม่รู้อะไร ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รู้สึกวางใจ ทั้งเบิกบานใจเพราะเยี่ยเม่ยคาดเดาความสามารถของตนออกมาได้
จึงพยักหน้าติดต่อกัน “อืม ก็ดี ข้าต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา เอ่ยว่า “หากข่าวที่ท่านบอกข้ามีเรื่องเท็จสักอย่างเดียว ก็อย่าโทษที่ข้าส่งคนไปไล่ฆ่าท่าน”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มุมปากกระตุก รีบกระโดดขึ้นมา จ้องเยี่ยเม่ย “ต้องโหดเ**้ยมถึงขั้นนี้เชียว”
เยี่ยเม่ยเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของเขา เลิกคิ้ว “นอกจากท่านกับจิวมั่วเหอติดต่อกันเป็นการส่วนตัว?”
“นี่…” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่นิ่งไปชั่วครู่ เอ่ยปากว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง แทงมีดใส่ลูกศิษย์ของพี่น้องเพื่อลูกศิษย์ตน เป็นเรื่องที่ผู้เป็นอาจารย์อย่างข้าสมควรทำ ข้าย่อมไม่บอกข่าวเท็จให้เจ้าแน่ เจ้าวางใจได้ กลับเป็นลูกศิษย์ของพี่น้องต่างหาก นอกจากให้ข้าเสียบมีดใส่เขาแล้ว ยังจะช่วยข้าทำอะไรได้อีก”