เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 160 เตี้ยนเซี่ย ท่านอย่าได้ออกไปทำร้ายคนอีกเลย
เขาเรียกขานฮูหยินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
เยี่ยเม่ยหัวใจกระตุก เอ่ยจากใจว่า “พูดตามตรงแล้ว ข้าไม่ชอบคำเรียกที่ออกจะเป็นสตรีเกินไปเช่นนี้ ท่านเรียกข้าว่าแม่นางเยี่ยเม่ยเถอะ”
อวี้เหว่ยหมดคำพูด กลอกตามองท้องฟ้า ไม่ชอบคำเรียกว่าฮูหยิน รังเกียจที่คำเรียกดูเป็นสตรีมากเกินไป ดังนั้นหากภายหน้าแต่งงานกันไปแล้ว หรือจะไม่เรียกเตี้ยนเซี่ยเป็นสามี แล้วเตี้ยนเซี่ยจะไม่ขายหน้าหรือไง
ความจริงก็พิสูจน์แล้วว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหน้าไม่อาย
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยอย่างไหลลื่นว่า “หากแม่นางเยี่ยเม่ยรังเกียจว่าฮูหยินออกจะเป็นสตรีเกินไป เยี่ยนสามารถเรียกเจ้าว่าสามี”
อวี้เหว่ย “…” ขอตัวก่อนแล้ว
เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ปัญหานี้หลังแต่งงานค่อยถกกันเถอะ”
“ได้” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบตกลงอย่างเชื่อฟังทันที
หลังจากรับปากแล้ว น้ำเสียงชั่วร้ายของเขาก็เอ่ยว่า “ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับของหมั้น แม่นางเยี่ยเม่ยพิจารณาเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
“จดเอาไว้ก่อน ไว้รอข้าคิดได้แล้ว ค่อยบอกท่าน” เยี่ยเม่ยเอ่ยปากตอบด้วยเสียงเย็นชา
องค์ชายสี่พยักหน้า หัวเราะเบาๆ “อย่างนั้นก็ได้ เรื่องนี้ก็กำหนดตามนี้ไปก่อน แต่ว่าเรื่องในวันนี้ล้วนเป็นคำสัญญาจากคำพูดทั้งนั้น แม่นางเยี่ยเม่ยจะไม่กลับคำใช่ไหม”
คำสัญญาด้วยคำพูดหรือ
เยี่ยเม่ยไม่เข้าใจจริงๆ ว่านอกจากคำสัญญาด้วยลมปากแล้ว ยังมีคำสัญญาจากใจแบบไหนอีก
ที่นี่ก็ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน ต้องใช้แหวนแต่งงานขอแต่งงาน
ในขณะที่หญิงสาวหน้าขรึมครุ่นคิด
องค์ชายสี่ล้วงป้ายหยกออกจากข้างเอว อวี้เหว่ยเบิกตากว้าง มองเตี้ยนเซี่ยของตนอย่างไม่เชื่อสายตา ป้ายหยกอันนั้น…
ในขณะที่เขาตกอยู่ในความตะลึงพรึงเพริด ป้ายหยกที่แสดงฐานะองค์ชายที่อยู่ในมือ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็แตกออกเป็นสองท่อน
ยามนี้อวี้เหว่ยแทบรู้สึกว่าตนจะเป็นลมไปแล้ว…
ในเวลาที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนทำลายป้ายหยกที่แสดงฐานะตนไปนั้น ก็เท่ากับยอมละทิ้งฐานะองค์ชายแล้ว นี่คือสัญลักษณ์ของราชวงศ์ที่สูงส่งจนไม่อาจเปรียบ องค์ชายทุกพระองค์ต่างมีคนละอัน บนป้ายสลักชื่อองค์ชายเอาไว้
หักแบบนี้ไปเสียแล้ว…
ในขณะที่อวี้เหว่ยเจ็บปวดใจ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ยื่นป้ายหยกอีกครึ่งหนึ่งให้เยี่ยเม่ย น้ำเสียงน่าฟังกล่าวว่า “นี่คือป้ายหยกแสดงฐานะของเยี่ยน วันนี้แบ่งคนละครึ่งกับแม่นาง ก็เท่ากับว่าการแต่งงานนี้กำหนดเอาไว้แล้ว”
เยี่ยเม่ยรับป้ายหยกไป
ยามนี้นางกำลังเสียใจ ทำไมตัวเองถึงไม่มีความสนใจเครื่องประดับทั้งหลาย ดังนั้นจึงไม่มีอะไรติดมาในยุคโบราณนี้เลย คราวนี้ก็ดีเลย ไม่มีอะไรทั้งนั้น
นางเก็บป้ายหยกไว้ข้างเอว ปรายตามองเขา กล่าวว่า “ก็ดี ข้าจะรักษามันเอาไว้”
ครั้นพูดจบ เยี่ยเม่ยจ้องพิจารณาเขาอยู่สองสามที เอ่ยอย่างว่องไวว่า “อาการบาดเจ็บของท่าน ก็ไปจัดการเอาเอง ข้าขอตัวก่อน”
เซียวเยว่ชิงบอกว่าเรื่องทางนั้นจัดการเรียบร้อย นางต้องรีบไปดูเสียหน่อย อย่างไรก็ตามยังมีเรื่องหลังจากนี้ให้เตรียมการอีก
สิ้นเสียงเยี่ยเม่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองนางทันที น้ำเสียงน่าฟังแฝงความอ่อนแออย่างหาได้ยาก ค่อยๆ กล่าวว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนบาดเจ็บหนักถึงขั้นนี้ แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ยินยอมปลอบโยนเยี่ยน ช่วยเยี่ยนใส่ยาเลยหรือ”
“ไม่ยินยอม”
เยี่ยเม่ยปฏิเสธเด็ดขาด นางมองใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายนั้น เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ท่านได้รับบาดเจ็บเพราะท่านทำผิด ทำผิดสมควรได้รับการลงโทษ บาดแผลของท่านก็จัดการเอง หากข้าช่วยท่านใส่ยา นั่นไม่เท่ากับลงโทษท่านโดยเปล่าประโยชน์หรือ”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยก็คิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง เอ่ยต่อว่า “ท่านก็รู้ถึงเสน่ห์ของข้า หากภายหน้าท่านต้องการให้ข้าช่วยใส่ยาให้ จงใจยั่วข้าโมโหทำร้ายท่าน ก็ไม่เป็นการดีกับใครทั้งนั้น”
อวี้เหว่ยจนคำพูด
อ้อ
อย่างไรซะความหลงตัวเองเกินเหตุของแม่นางเยี่ยเม่ย ไม่ใช่วันแรกที่พบเห็นแล้ว ดังนั้นอวี้เหว่ยผู้มากด้วยไวพริบ ในเวลานี้ก็ไม่ควรมีปฏิกิริยาตอบสนองเกินเหตุ ถูกไหม
สองสามวันที่ผ่านมา เขากลายเป็นอวี้เหว่ยที่ได้รู้ซึ้งถึงโลกกว้าง ดังนั้นไม่อาจแตกตื่นได้ง่ายๆ
สำหรับคำพูดของเยี่ยเม่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับไม่แตกตื่น และรู้สึกว่าไม่อยู่เหนือความคาดหมายของเขา องค์ชายสี่เอ่ยขึ้นว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยพูดมีเหตุผลนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นเยี่ยนก็ได้แต่เลียแผลตัวเองแล้ว”
เยี่ยเม่ย “…”
ไฉนเขาต้องพูดถึงตัวเองเสียน่าสงสารเพียงนั้นด้วย ทั้งยังเน้นคำว่าตัวเองและเลียแผลอีก
คำสองคำนั้นเมื่อใช้เดี่ยวๆ ก็มากพอให้คนสงสารจับใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเอามาใช้ร่วมกันเลย
แต่ความเห็นใจของเยี่ยเม่ยมีขีดจำกัด โดยเฉพาะนางเป็นคนมีหลักการของตัวเอง ในเมื่อบอกว่าลงโทษ อย่างนั้นก็ต้องลงโทษถึงที่สุด ไม่รู้จักสงสารผู้อื่น ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปได้
นางมองเขาอย่างเอาความ สุดท้ายก็หมุนตัวจากไป “ข้าไปก่อนแล้ว”
หลังจาก เยี่ยเม่ยออกจากประตูไป
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองอวี้เหว่ย เขารีบวิ่งตะบึงเข้าห้องมา “เตี้ยนเซี่ยอย่าเพิ่งลนลาน ข้าน้อยจะรีบไปเอามาให้ท่านเดี๋ยวนี้”
ท่าทางแสดงออกว่าแม่นางเยี่ยเม่ยไม่สงสารท่าน แต่ข้าน้อยสงสาร
อวี้เหว่ยเอายาออกมา ยื่นให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยอย่างระวังว่า “เตี้ยนเซี่ย วันนี้ท่านน่าจะอารมณ์ดีไม่น้อยสินะ”
“ความหมายของเจ้าคือ เยี่ยนสมควรฉวยโอกาสที่วันนี้อารมณ์ดี ออกไปมอบความสำราญให้ทุกคน ทำให้พวกเขามีความสุขอย่างนั้นหรือ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองอวี้เหว่ย เอ่ยปากถาม
อวี้เหว่ยรีบส่ายหน้า ตอบตามตรงว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านอย่าออกไปทำร้ายคนอื่นอีกเลย”
เตี้ยนเซี่ยออกไปสร้างความสำราญให้ทุกคนหรือ เกรงแต่ว่าทุกคนจะถูกเตี้ยนเซี่ยทรมานจนอยู่ไม่สู้ตายมากกว่า
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นหัวเราะคำหนึ่ง กลับไม่เอ่ยปาก อย่างไรเสียคำพูดของอวี้เหว่ยก็ตรงประเด็นนัก ที่ว่าหาความสำราญให้ทุกคนของเขา เชื่อว่าทุกคนไม่มีทางรอคอยแน่
อวี้เหว่ยพลันเห็นใจ “หากจิ่วหุนรู้ว่า สุดท้ายเรื่องราวเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยสงสัยว่าเขาจะช่วยท่านปิดบังคำโกหกอย่างมิดชิดหรือไม่”
ผลลัพธ์ของการเปิดโปงคำโกหก ไม่ใช่ศัตรูหัวใจถูกกำจัด แต่ศัตรูกลับทำสำเร็จเอาตำแหน่งคู่หมั้นไปได้
เขารู้สึกว่าหากตนเองเป็นจิ่วหุน คงจะคิดชักดาบฆ่าคนไปแล้ว
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ก็ได้แต่เอ่ยวิจารณ์ว่า “นับตั้งแต่โบราณมา จะดีหรือร้ายล้วนพึ่งพาอาศัยกันเป็นหลักการที่ไม่เปลี่ยนแปลง มีความกล้าแบกรับความผิด ถึงมีคุณสมบัติประสบความสุข”
อวี้เหว่ยฟังแล้ว ถึงรู้สึกว่าคำพูดนี้แปลกๆ แต่ก็ไม่อาจบอกว่าไร้เหตุผล
เขาพยักหน้า “เตี้ยนเซี่ย บางครั้งข้าน้อยก็ไม่รู้จะบอกว่า ท่านเป็นองค์ชายที่เอ่ยคำเหลวไหล หรือว่าเป็นองค์ชายที่มีปรัชญาล้ำเลิศ”
เขารู้สึกว่าคำพูดของเตี้ยนเซี่ย ถึงจะไม่ดูผิดปกติ แต่ก็ต้องบอกว่ามีเหตุผลมาก
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงหัวเราะ เอ่ยสบายๆ ว่า “ปรัญชาหรือเหลวไหลไม่สำคัญ ที่สำคัญคือแม่นางเยี่ยเม่ยไม่รังเกียจเยี่ยนที่เป็นเช่นนี้”
อวี้เหว่ยไม่พูด
ก็ได้ ในสมองมีแต่คนรัก เขาไม่อยากพูดมากอีก
“เตี้ยนเซี่ยจะใส่ยาหรือไม่” อย่าได้บอกว่า แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ใส่ยาให้ ก็จะไม่ใส่ยาแล้ว
คราวนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้แง่งอน เขายื่นมือออกมารับยาไป เอ่ยว่า “ต้องใส่อย่างแน่นอน ข้างกายนางยังมีจิ่วหุนที่คอยจับจ้องอยู่ เป่ยเฉินอี้ก็ใกล้จะมาถึงแล้ว หากร่างกายเยี่ยนทิ้งรอยแผลน่าเกลียดไว้ อย่างนั้นก็ขาดกำลังในการแข่งขันไปสักหน่อย”