เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 162 ท่านอ๋อง แม่นางเยี่ยเม่ยปฏิเสธที่จะออกมารับท่าน
เยี่ยเม่ยหันกลับมามองทหาร สายตาทอประกายสนใจ ชี้จมูกตัวเอง ถามเสียงเย็นชาขึ้นมาคำหนึ่ง “ข้าหรือที่จะไปต้อนรับ”
คนในโลกที่ต้องให้นางไปต้อนรับด้วยตัวเอง นางคิดว่ายังไม่เกิด
นายทหารชะงักไปชั่วครู่
ถึงเขาไม่ค่อยเข้าใจแม่นางเยี่ยเม่ย แต่ช่วงนี้ได้ฟังเรื่องมากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่แม่นางเยี่ยเม่ยดูคล้ายจะมั่นใจตัวเองเป็นพิเศษ
เยี่ยเม่ยเห็นเขาไม่ตอบ จึงถามขึ้นอีกว่า “ในโลกนี้จู่ๆ ก็มีคนที่พร้อมด้วยคุณสมบัติให้ข้าไปต้อนรับปรากฏกายขึ้นมาแล้ว ข้าจัดการเรื่องราวต่างๆ อย่างไร เจ้าไม่เข้าใจหรือไง”
“ไม่…ไม่มี ข้าน้อยเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อนแล้ว” ทหารตอบอย่างระมัดระวัง
ถึงเยี่ยเม่ยจะรู้สึกว่านายทหารผู้นี้ไม่เข้าใจนางเลย ทั้งไม่ตระหนักถึงความเด่นล้ำเกินใครของนางด้วย โง่งมถึงขั้นคิดว่าคนที่โดดเด่นอย่างนาง จะไปต้อนรับอี้อ๋องอะไรนั่น
แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายหวาดกลัว นางก็ไม่สร้างความลำบากให้ พยักหน้า “ไปเถอะ”
“ขอรับ”
นายทหารตัวสั่นงกล่าถอยออกไป
ในใจเขาคิดว่า ถึงแม่นางเยี่ยเม่ยจะมีความสามารถมาก แต่นี่จะไม่เกินกว่าเหตุไปหรือ นั่นคืออี้อ๋องเชียวนะ
หลังจากทหารถอยออกไป
เซียวเยว่ชิงถามด้วยเสียงแปลกใจ “อี้อ๋องมาไวถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
น้ำเสียงของเซียวเยว่ชิงเผยความความเลื่อมใสเป่ยเฉินอี้เอาไว้ไม่น้อย นั่นคือความคารพที่มีต่อบุคคลสูงส่งมาเป็นเวลานาน ถึงได้แสดงความเคารพเช่นนี้
เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ไม่ได้ใส่ใจน้ำเสียงเขา กลับแปลกใจอยู่บ้าง “นั่นน่ะสิ”
เพิ่งจะได้ยินว่าอีกฝ่ายจะมา ไฉนจึงมาถึงไวขนาดนี้
แต่เมื่อคิดถึงคำวิจารณ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่มีต่อเป่ยเฉินอี้ เยี่ยเม่ยหาได้ใส่ใจคนผู้นี้สักน้อย ก็แค่บุรุษที่เห็นแก่อำนาจโดยไม่เลือกวิธีการก็เท่านั้น
นางปรายตามองเซียวเยว่ชิงทีหนึ่ง สั่งการว่า “จำเรื่องที่ข้าสั่งไว้ให้ดี แล้วก็กำชับเหล่าทหารในเมืองให้สังเกตคนรอบข้างไว้ สองวันนี้อนุญาตให้คนเข้าเมืองได้ ไม่อนุญาตให้ออกไป แม้แต่นกตัวเดียวก็บินออกไปไม่ได้ ข้าไปพักผ่อนก่อนแล้ว”
“ขอรับ ข้าน้อยจะจัดการให้ดี ไม่ให้มีข้อผิดพลาดเด็ดขาด”
เซียวเยว่ชิงรีบพยักหน้า ในใจตื่นเต้น
มีเยี่ยเม่ยที่เป็นผู้นำทัพโดดเด่นเช่นนี้ กอปรกับอี้อ๋อง การศึกของพวกเขา ยังจะไม่ชนะอีกหรือ
ส่วนคนที่มีฝีมือแต่ไม่ยอมใช้ จิตใจไม่ได้อยู่ที่นี่อย่างองค์ชายสี่ ก็ปล่อยเขาไว้ไม่นับแล้วกัน….
องค์ชายสี่ไม่ก่อกวน ไม่สรรหาวิธีทรมานพวกเขา เซียวเยว่ชิงก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว
……
ค่ายทหารต้ามั่ว
ราชาต้ามั่วนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน จิวมั่วเหอท่าทางเหมือนนักบวชชั้นสูงสวมชุดนักบวชนั่งถัดมา มีสีหน้าจริงจัง ยังเผยความไม่ยินยอมออกมาบ้างเป็นครั้งคราว ท่าทางแสดงออกว่าถูกบังคับให้กลับเข้าสู่ทางโลก
หน่วยสอดแนมรายงานอยู่ภายในกระโจม “ท่านข่าน ใต้เท้าจิวมั่วเหอ พวกเราสืบได้ว่าวันนี้แม่ทัพศัตรูหลายคนมีความคิดแตกแยก ลงมือต่อยตีกันยกหนึ่ง จากที่ฟังมาใครต่างก็ห้ามไม่ได้แม่ทัพทั้งสองฝ่ายด่ากราดถึงบุพการีฝ่ายตรงข้าม”
ราชาต้ามั่วฟังแล้วดวงตาวาวโรจน์ “มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วย”
ทัพสองฝั่งเผชิญหน้ากัน ฝ่ายศัตรูเกิดศึกภายใน นี่เป็นเรื่องดีอย่างที่สุดไม่ใช่หรือไง
“จากนั้นเล่า” จิวมั่วเหอถามต่อ
หน่วยสอดแนมตอบว่า “ถัดมาเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าน้อยก็สืบต่อไม่ได้อีกแล้ว คนที่สืบได้ก็ไม่สามารถออกมาได้ เพราะตอนนี้ด่านชายแดนเป่ยเฉินปิดลง บอกว่าภายในสองวันนี้ ไม่อนุญาตให้คนออกมา แม้แต่นกตัวเดียวก็ไม่ได้”
ราชาต้ามั่วรีบหัวเราะ “ดูท่าศึกภายในจะร้ายแรงแล้ว ศัตรูเกรงว่าพวกเราจะจับพิรุธได้ ตีพวกมันจนแตกพ่าย ขุนนางรัก ดูท่าพวกเราไม่ต้องคิดมากอีก การทำลายราชวงศ์เป่ยเฉินก็อยู่เบื้องหน้าแล้ว”
จิวมั่วเหอกวาดตามอง ราชาต้ามั่วคำรบหนึ่ง แววตาเผยความเหยียดหยัน สงสัยในสติปัญญาของราชาต้ามั่ว แต่ก็หายไปในฉับพลัน ราชาต้ามั่วไม่ทันสังเกตได้
ไม่ช้าเขาก็เอ่ยว่า “ท่านข่าน ผู้นำทัพของเป่ยเฉินคือเยี่ยเม่ย สตรีผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย การพ่ายแพ้ครั้งก่อน ยังไม่พอเป็นบทเรียนให้ต้ามั่วอีกหรือ”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา สีหน้ายินดีของราชาต้ามั่วก็สลายไปในทันที
ราชาต้ามั่วเอ่ยปากต่อโดยพลันว่า “จั่วอี้อ๋องทิ้งหนังสือจากไปอย่างกะทันหัน ราชสำนักเป่ยเฉินก็ส่งเป่ยเฉินอี้มาเป็นผู้ตรวจการทหาร เยี่ยเม่ยผู้นี้เป็นสตรีนางหนึ่งก็ต่อกรได้ยากเพียงนี้ ข้ากำลังสงสัยว่า ศึกนี้สมควรสู้ต่อไปหรือไม่”
ราชาต้ามั่วเอ่ยไป หัวใจก็หนักอึ้ง คำพูดประโยคนี้คือความในใจของคนจำนวนไม่น้อย
ตอนแรกที่พวกเขาคิดโจมตี ราชสำนักเป่ยเฉิน ก็เพราะว่าไม่เห็นพวกเป่ยเฉินเสียงอยู่ในสายตา เสินเซ่อเทียนวางตัวสูงส่ง ไม่ลงมารักษาชายแดนได้ง่ายๆ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีนิสัยเหมือนปีศาจ ไม่มีทางเห็นเรื่องการทหารเป็นสำคัญ ส่วนเป่ยเฉินอี้ที่สามารถทำให้ข้าศึกทุกคนหวาดกลัวได้สองขาพิการ วรยุทธ์ดับสูญ ไม่ออกจากจวนอี้อ๋องอีก
ดังนั้นพวกเขาชาวต้ามั่วถึงจู่โจม คิดว่าตีเมืองสักหลายเมือง แย่งข้าวของและสตรีกลับไปมากหน่อย เพียงพอให้ต้ามั่วไม่ขัดสนหลายปี
ในเวลานี้…
เป่ยเฉินอี้ออกมาอีกครั้ง แค่ตัวเขาก็มากพอให้ข้าศึกทั้งหลายหวาดกลัว อีกฝ่ายยังมีเยี่ยเม่ยโผล่มาอีกคน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนลงมือสังหารเยียลี่ว์ซั่นเทพสงครามแห่งต้ามั่วก็เพื่อสตรีนางนี้ ดูท่าโอกาสที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะร่วมศึกเพื่อเยี่ยเม่ยมีไม่น้อย
ส่วนจั่วอี้อ๋องที่ถนัดการใช้พิษของพวกเขาก็จากไปโดยไม่กล่าวลา ทิ้งไว้เพียงจดหมายฉบับหนึ่ง ดังนั้นทุกคนได้แต่ลนลาน
จิวมั่วเหอฟังแล้ว กลับมองราชาต้ามั่วทีหนึ่ง คล้ายไม่พอใจถามว่า “ท่านข่านกับท่านพ่อใช้วิธีการเช่นนี้บีบจิวมั่วเหอกลับสู่ทางโลก ตอนนี้กลับหวาดกลัวเป่ยเฉินอี้ หากคิดทำเช่นนี้ ท่านข่านดูแคลนความสามารถของข้า หรือว่าคิดล้อข้าเล่นกันแน่”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา ราชาต้ามั่วถึงกับสะอึกไป
ทั่วทั้งกระโจมเข้าสู่ความเงียบสงบ
เซียวชินเพิ่งจากไปโดยทิ้งจดหมายไว้ ตอนนี้หากยั่วโมโหจิวมั่วเหอ เขาปล่อยมือไม่ยุ่งกับเรื่องของต้ามั่วอีก เมื่อราชสำนักเป่ยเฉินย้อนตีกลับ ราชาต้ามั่วรวมถึงคนทั้งหมดในที่นี้ไม่มีใครสักคนออกไปรับศึกได้
ดังนั้น ราชาต้ามั่วเอ่ยปากละล้าละลัง “ดังนั้นความหมายของขุนนางรักคือ”
“ศึกนี้ต้องต่อสู้ ทั้งยังต้องชนะด้วย” สีหน้าจิวมั่วเหอทอประกายมุ่งมั่น จ้องราชาต้ามั่ว “ศึกนี้ปลุกความต้องการเอาชนะของกระหม่อมแล้ว กระหม่อมมีความมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ อีกอย่าง ต้ามั่วเราสูญเสียทหารกล้าไปตั้งมาก หรอกปล่อยไปเช่นนี้ คนต้ามั่วจะยินยอมอย่างนั้นหรือ”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา ราชาต้ามั่วคิดถึงสภาพน่าอนาถของศึกก่อนหน้า พลันรู้สึกว่าเจ็บไปทั้งใจ คล้ายจะท้องเสียอีกแล้ว ในความหวาดผวาก็มีโทสะเกิดขึ้นบ้างแล้ว “ขุนนางรักพูดไม่ผิด ศึกนี้ต้องสู้ เช่นนั้นเจ้าคิดว่า ต่อไปควรทำอย่างไร”
จิวมั่วเหอตอบด้วยเสียงเย็นเยียบ “เช้าวันพรุ่งนี้ ออกตีเมือง”
……
รถม้าของเป่ยเฉินอี้เข้าสู่ชายแดน
ผู้ติดตามที่มีกระบี่ประจำกายอยู่ข้างเอว เอ่ยรายงานด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ท่านอ๋องคือ…”
เป่ยเฉินอี้ปรายตามอง น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “ชิงเกอ ข้าจำไม่ได้ว่า เจ้ามีนิสัยพูดจาละล้าละลังเช่นนี้ ”
ชิงเกอรีบตอบ “ท่านอ๋อง คือว่าแม่นางเยี่ยเม่ยผู้นั้นไม่ยอมออกมาต้อนรับท่าน”