เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 164 เจ้าไม่ใช่พี่สาวข้า
“อ้อ” เป่ยเฉินอี้กวาดสายตามองเขา
น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “เหตุใดถึงเอ่ยเช่นนี้”
“นาง…พิเศษมาก” เซียวชินใคร่ครวญดีแล้ว ถึงตอบออกมาเช่นนี้ ไม่ช้าเขารีบกล่าวต่อ “ข้าเคยมีวาสนาพบนางสองครั้ง สตรีนางนี้ไม่ว่าความสามารถ หรือความคิดพิสดาร ล้วนทำให้คนแตกตื่นได้ ไม่แน่ว่าหมากของท่านอ๋อง อาจถูกนางทำให้วุ่นวายได้”
เมื่อเอ่ยถึงขั้นนี้ เซียวชินก็กล่าวต่อ “ยังมีอีกอารุ่ยคอยช่วยเหลือนางอยู่ที่เมือง บอกว่าเพื่อเซียวเซ่อหยาง แต่นิสัยของอารุ่ยข้ารู้ดี หากมิใช่เยี่ยเม่ยมีความพิเศษ นางไม่มีทางรั้งอยู่แน่”
หลังจากเซียวชินแจกแจงการวิเคราะห์ของตนจบ
เป่ยเฉินอี้กลับแค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง ใสแววตาล้ำลึกเกินคาดเดาฉายแววเย็นเยียบ “ตามจริงยังไม่ทันพบหน้า นางก็ทำให้ข้าแปลกใจแล้ว”
เซียวชินมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ
จากนั้น ย่อมไม่มีใครอธิบายให้เซียวชินฟังว่า คนของเป่ยเฉินอี้ไปรายงานให้เยี่ยเม่ยมาต้อนรับ แต่นางไม่ใส่ใจ ซ้ำยังปฏิเสธกลับมาด้วย
นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่เป่ยเฉินอี้ไม่พอใจ
ยามนี้ต่างไร้คำพูด รถม้ามุ่งหน้าเข้าเมือง
……
ภายในเมือง
เยี่ยเม่ยกลับถึงห้องตัวเอง จิ่วหุนกำลังยืนรอนางอยู่หน้าประตู ใบหน้างดงามของเขายังฉายความแปลกใจอย่างหาได้ยากออกมา อยากรู้ถึงผลลัพธ์ที่เยี่ยเม่ยไปคิดบัญชีเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
ทว่าสุดท้ายด้วยเป็นคนพูดน้อย เขาไม่ได้รุกถาม
เยี่ยเม่ยกวาดตามองจิ่วหุนคำรบหนึ่ง รู้ว่าเขาค่อนข้างใส่ใจผลลัพธ์ของเรื่องที่ตัวนางไปคิดบัญชีกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ดังนั้นไม่รอให้จิ่วหุนถาม นางก็ชิงเปิดปากก่อน “ข้าฟาดเขาอย่างหนักหน่วงไปยกหนึ่ง ใช้แส้ฟาดทั่วร่าง หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนร่างกายอ่อนแอสักหน่อย ยามนี้คงเจียนตายไปแล้ว”
ดังนั้น ต่อให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้อ่อนแอ สภาพร่างกายในเวลานี้ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก
หลังจากเอ่ยจบ
จิ่วหุนพยักหน้า หัวใจเกิดความยินดี นับว่านางช่วยเขาแก้แค้นที่ถูกให้ร้าย
จากนั้น เยี่ยเม่ยก็อธิบายอย่างใจเย็นว่า “แต่ว่าเรื่องนี้ก็ส่วนเรื่องนี้ สำหรับเรื่องนี้ข้าตีเขาไปแล้ว หลังจากแก้แค้น ข้ารับปากจะแต่งงานกับเขา”
จิ่วหุน “…?”
เขาจ้องมองเยี่ยเม่ย นัยน์ตาสงบราวน้ำนิ่งแสดงความไม่อยากเชื่อออกมา ถึงกระทั่งแฝงด้วยโทสะอย่างเห็นได้ชัด
น้อยครั้งที่เยี่ยเม่ยจะเห็นเจ้าเด็กนี่โมโห
เรื่องนี้ทำให้นางแปลกใจอยู่บ้าง “เจ้าเป็นอะไรไป”
มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ
อ้อ จริงสิ
เยี่ยเม่ยก้มหน้าลงใช้ความคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจ้องจิ่วหุนอย่างรวดเร็ว เอ่ยว่า “ข้าคิดออกแล้ว พวกเจ้ามีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดี ดังนั้นเจ้าจึงไม่อยากให้เขาเป็นพี่เขยเจ้า แต่ว่าช่วยเห็นแก่หน้าข้า ให้อภัยเขาเถอะ ภายหน้าเขาก็ไม่กล้ารังแกเจ้าอีกแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าจะจัดการเขาอีก ให้เขารู้ว่าอะไรคือความร้ายกาจ”
เยี่ยเม่ยเข้าใจว่าจิ่วหุนไม่พอใจ มาจากไม่ชอบเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ดังนั้นเขาจึงไม่ยินดีที่นางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะแต่งงาน
จากนั้น จิ่วหุนฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย กลับเอ่ยกลับมาประโยคหนึ่งด้วยเสียงกลัดกลุ้ม “เจ้าไม่ใช่พี่สาวข้ามาแต่แรกแล้ว”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้ โทสะยิ่งชัดเจน
หลังจากกล่าวจบเขาก็หมุนกายจากไป ทิ้งเพียงแผ่นหลังเดือดดาลไว้ให้เยี่ยเม่ยชม
เยี่ยเม่ยอึ้งไปแล้ว
อ้อ เพราะว่านางจะอยู่กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้าเด็กนี่ไม่พอใจถึงขั้นไม่ยอมรับพี่สาวแล้วหรือไง
แต่เมื่อเยี่ยเม่ยหวนคิดแล้ว เหมือนกับว่าครั้งแรกที่ตนเสนอให้เจ้าเด็กนี่เรียกว่าพี่สาว เขาก็ไม่รับปาก คิดว่าคนผู้นี้คงเย่อหยิ่งมากเกินเหตุ
ในขณะคิดว่าสมควรไปปลอบหรือไม่ พลันมีเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา
เมื่อผ่านการฝึกจากเมื่อคืน กำลังภายในสายเดิมของเยี่ยเม่ยค่อยๆ ฟื้นฟู ดังนั้นนางสามารถรับรู้ถึงผู้อื่นได้จากลมหายใจ
นี่เป็นลมหายใจของผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่
แล้วก็เป็นจริงดังคาด เมื่อเยี่ยเม่ยหันกลับไป ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็อยู่ด้านหลังนาง ลูบเครามองท้องฟ้า พยายามวางท่าอยู่
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขาทีหนึ่ง ถามเสียงเย็นชา “ข้อมูลของจิวมั่วเหอสืบได้แล้วหรือ”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เป่าลมใส่เครา ถลึงตาในทันที เขามองเยี่ยเม่ยด้วยความไม่พอใจ “เจ้าพบข้าผู้เป็นอาจารย์ สมควรกล่าวทักทายก่อนมิใช่หรือไง เปิดปากทีก็จิวมั่วเหอ เจ้าช่างทำให้หัวใจอาจารย์อย่างข้าเจ็บปวดเหลือเกิน”
เมื่อเขาเอ่ย เยี่ยเม่ยก็คร้านจะถกเถียง รีบคล้อยตามว่า “สวัสดี ท่านอาจารย์”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พยักหน้าด้วยความพอใจ “อืม ไม่เลว”
เมื่อเขาเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยก็ถามขึ้นใหม่ “ข้อมูลของจิวมั่วเหอตรวจสอบได้แล้วหรือ”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่กระตุกมุมปาก นางช่างคล้อยตามแล้วตรงไปตรงมาเหลือเกิน ไม่รู้จักทักทายอีกสักสองประโยคหรือไงกัน
เยี่ยเม่ยกล่าวเสียงเย็นชาหมดความอดทน “ท่านพบไหมว่า การทักทายท่านสำหรับพวกเราไม่มีประโยชน์ใดๆ ไม่ช่วยอะไรในการต่อบทสนทนาของพวกเราเลยสักนิด คำทักทายไร้สาระพวกนี้ ความจริงก็เพียงการเสียเวลาเท่านั้น”
ดังนั้นเยี่ยเม่ยไม่ชินกับการกล่าววาจาเหลวไหล ปกติมักเอ่ยประโยคเดียวเข้าประเด็นเลย
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่กระตุกมุมปาก เอ่ยว่า “ได้ได้ได้ ถือว่าเจ้ามีเหตุผล อาจารย์พูดสู้เจ้าไม่ได้ สืบได้แล้ว เจ้าอยากรู้อะไรก็ถามมา”
เยี่ยเม่ยจ้องเขา “ข้าหวังว่าท่านจะเริ่มเล่ามาตามตรง”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็ไม่เอ่ยคำพูดเหลวไหลอีก รีบเล่าว่า “จิวมั่วเหอเกิดในตระกูลจิวมั่วที่โด่งดังของต้ามั่ว บรรพบุรุษของเขามีคุณงามความชอบในการสร้างชาติ ดังนั้นจึงสืบยศฐานะบรรดาศักดิ์ต่อกันมา ส่วนเจ้าเด็กนี่อายุเจ็ดขวบก็แสดงพละกำลังมหาศาล มือข้างเดียวยกติ่ง[1]ขึ้นได้”
เขาเล่าไปก็ปรายตามองสีหน้าของเยี่ยเม่ย
หญิงสาวมุ่นคิ้ว เอ่ยว่า “เล่าต่อไป”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่แค่นเสียงคำหนึ่งอย่างหมดอารมณ์สนุก หลงคิดว่าเยี่ยเม่ยจะแสดงความแปลกใจบ้าง คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีเลย
เขาจึงเล่าต่ออย่างรวดเร็ว “ตอนอายุสิบสี่ปี เขาก็ฝึกวรยุทธ์จนเป็นยอดฝีมือ เคยประมือกับเทพกระบี่โอวหยางเทา ซ้ำยังชนะครึ่งกระบวนท่า ชาวต้ามั่วต่างชื่นชม ยามอายุสิบเจ็ดปี เขาก็มีคุณความชอบด้านการทหาร ไม่เคยรบแพ้เลยสักครั้งตลอดหลายปี”
เยี่ยเม่ยฟังถึงตรงนี้ ก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ “อายุสิบสี่ก็โดดเด่นเช่นนี้ อายุสิบเจ็ดยังประสบความสำเร็จ ดูท่าคุณงามความชอบจะสะเทือนไปถึงเจ้านาย”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มองเยี่ยเม่ยด้วยความชื่นชม “ไม่ผิด ยามนั้นเขาปลุกความระแวงของราชา ถึงจิวมั่วเหอจะมีความชอบด้านการศึก แต่ว่ากำลังของครอบครัวมีจำกัด ไม่อาจต่อกรกับราชวงศ์ได้ ยามนั้นพลันมีจั่วอี้อ๋องผู้ลึกลับปรากฏตัวขึ้น ช่วยปูทางให้ราชาต้ามั่ว จิวมั่วเหอตระหนักได้ว่า หากตนเองยังไม่รีบถอนตัว ก็จะมีแต่ทางตายเท่านั้น”
เท่านี้เยี่ยเม่ยก็พลันเข้าใจ “ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นไม่สนเรื่องทางโลก ออกบวชหรือ”
“ฉลาดมาก” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เอ่ยชม
เยี่ยเม่ยกล่าวต่อ “ดูท่าทางของเขามีความทะเยอทะยานกับบัลลังก์ราชามาก ดูแล้วระหว่างที่ออกบวช เขาหาได้สงบเสงี่ยม แอบสะสมขุมกำลังอยู่ตลอด ฝ่ายราชาต้ามั่วเห็นว่าเขาออกบวชแล้ว ก็ไม่สนเรื่องทางโลกอีก ชั่วเวลาเดียวกันทำให้เขาสูญเสียความระวัง หลงคิดว่าหากจิวมั่วเหอออกโรง ต้องเป็นผู้ช่วยชั้นเยี่ยมให้ตัวเอง”
อย่างไรเสียการที่ยอดขุนศึกไม่ใส่ใจทางโลก ยิ่งไม่ใส่ใจในบัลลังก์ อย่างนั้นก็ได้รับความเชื่อใจจากผู้เป็นนายได้ง่าย
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พยักหน้า “ก็เป็นเช่นนี้ แต่ว่า…”
[1] ภาชนะใส่ของ มีน้ำหนักมาก