เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 169 นาง? นางก็คือเยี่ยเม่ย?
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้
ทั้งสองก็ไม่เอ่ยปากอีก
ความจริง เป่ยเฉินอี้ก็เอ่ยการคาดเดาในใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกมาแล้ว เพียงเขาเชื่อมั่นในความสามารถของเยี่ยเม่ย ดังนั้นไม่ถามอีก
บทสนทนาก็จบลงเช่นนี้
ด้านล่างทหารทั้งสองฝ่ายเปิดศึกแล้ว
หลูเซียงฮั่วตวาดก้อง “บุก”
จิวมั่วเหอก็ตะเบ็งเสียงดัง “บุก”
สิ้นเสียงแม่ทัพทั้งสองฝ่าย กองทัพเบื้องหลังเยี่ยเม่ยไม่ขยับเขยื้อนเลยสักก้าว แต่ทหารต้ามั่วกลับพุ่งใส่พวกเยี่ยเม่ยด้วยความดุดัน
สถานการณ์แปลกประหลาดเบื้องหน้า ทำให้เป่ยเฉินอี้ที่ชมศึกอยู่บนกำแพงหรี่ตาลง ในไม่ช้าจากการบุกประชิดเข้ามาของทหารต้ามั่ว ผืนแผ่นดินเกิดหลุมเล็กจำนวนมาก
หลุมเหล่านี้เล็กมาก มีเส้นผ่านศูนย์กลางแค่สิบเซนติเมตรเท่านั้น ดังนั้นจึงทำให้ไม่อาจพบได้ง่าย แต่เมื่อเท้าม้าเหยียบลงไป ก็ตกลงในความว่างเปล่าทันที
ม้าจำนวนไม่น้อยตกหลุม ล้มลงในทันที ทั้งคนและม้ากลิ้งเกลือกระเนระนาด
ทหารม้าด้านหลังก็พุ่งตามขึ้นมาอีก เหล่าทหารม้าจำนวนไม่น้อยยังไม่ทันตะกายลุกขึ้นมาก็ถูกม้าของเพื่อนทหารเหยียบตาย
ภาพนี้ ทำให้เหล่าทหารบนกำแพงเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ
มิน่าเมื่อคืน แม่ทัพเซียวนำคนออกไปขุดหลุม พวกเขายังแปลกใจว่า แม่ทัพเซียวทำอะไรกันแน่ คิดไม่ถึงเลยว่าเตรียมไว้เพื่อการณ์นี้
ด้วยเหตุนี้คนบนกำแพง ตื่นเต้นเกินจะเปรียบ
คลับคล้ายคลับคลาว่าชัยชนะอยู่เบื้องหน้าแล้ว
เป่ยเฉินอี้กลับมองนิ่งๆ จ้องมองสถานการณ์ด้านนอกกำแพงตลอด ไม่ถอนสายตากลับมา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองเหตุการณ์ด้านล่างถามเป่ยเฉินอี้หนึ่งประโยคว่า “ไม่รู้ว่าสถานการณ์ด้านล่างยามนี้ เสด็จอามีความเห็นว่าอย่างไร”
ดวงตาของเป่ยเฉินอี้ยังไม่ถอนกลับจากการศึก ทว่าเขาตอบเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “จิวมั่วเหอหาใช้คนที่ต่อกรได้โดยง่าย สิ่งที่เขามีชื่อเสียงที่สุด ไม่ใช่การใช้กลยุทธ์ศึก แต่กลับเป็นไหวพริบ ในยามวิกฤตเขามักทำลายแผนการของฝ่ายตรงข้ามได้เสมอ”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กลับหัวเราะออกมา “ดูท่าเสด็จอาจะเข้าใจจิวมั่วเหอดีเหลือเกิน”
“รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” เป่ยเฉินอี้ตอบกลับไปประโยคหนึ่ง ตวัดสายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างรวดเร็ว “คิดกอบกุมโอกาสที่จะชนะมากกว่าผู้อื่น ก็ต้องมีข้อมูลให้มากพอไม่ใช่หรือไง”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า เรียวนิ้วยาวจับปลายคาง ออกความเห็น “แต่ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยก็หาใช่คนที่ไม่เตรียมตัว”
เป็นจริงดังว่า ในขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่ จิวมั่วเหอรีบแผดเสียงดัง “ใช้โล่วางเป็นทางเดิน”
สิ้นเสียงเขา
เหล่าทหารหยิบโล่ด้านหลังตน โยนลงไปที่พื้นแน่นขนัด หลุมของเซียวเยว่ชิงไม่ใหญ่มาก เมื่อโยนโล่ลงไปก็ปิดได้หมด เท้าม้าเหยียบลงบนโล่ ก็ไม่ตกหลุมอีก
นี่ก็สอดรับกับคำพูดของเป่ยเฉินอี้ที่ว่าจิวมั่วเหอมีไหวพริบรับสถานการณ์ได้ไว ยากจะพ่ายแพ้ได้
เยี่ยเม่ยมองภาพนี้ สายตาที่มองจิวมั่วเหอก็เพิ่มความชื่นชมไม่น้อย “ไม่เลวเลย เจ้าหนู”
ดวงตาสีฟ้าของจิวมั่วเหอหรี่ลง จ้องเยี่ยเม่ย ยิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นคู่มือกับเจ้าได้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา”
เยี่ยเม่ยมองโล่บนพื้น
ใบหน้านิ่งสงบพลันเกิดรอยยิ้มอย่างหาได้ยาก “อย่างนั้นก็ต้องขอบคุณโล่ของพวกเจ้าแล้ว ที่ปูทางให้พวกเราเช่นกัน”
เมื่อหญิงสาวเอ่ยเช่นนี้ จิวมั่วเหอขมวดคิ้วแน่น
ในขณะที่ใคร่ครวญถึงความหมาย
เยี่ยเม่ยโบกมือ ทหารของเป่ยเฉินก็กระจายไปด้านข้างทหารต้ามั่วทั้งสองฝั่ง จากนั้นค่อยโอบล้อมขนาบเข้ามา ม้าของทหารเป่ยเฉินเหยียบย่ำลงบนโล่ ก็ไม่ได้รับผลกระทบจากหลุมด้านล่าง เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
สอดรับกำลังคำพูดของเยี่ยเม่ย ที่ว่าปูทางให้นาง
ยามที่จิวมั่วเหอเข้าใจว่าคำพูดนั้นหมายถึงอะไร เยี่ยเม่ยโบกมือ เอ่ยเสียงดังว่า “ปล่อย”
สิ้นเสียงนาง
ทหารที่วิ่งไปด้านซ้ายของต้ามั่ว โยนเชือกสะท้อนแสงแดดจำนวนมากไปให้กับทหารฝั่งขวา
การลงมือเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่ง
เหล่าทหารต้ามั่วยังไม่ทันมองว่าเป็นอะไรกันแน่
หลังจากการเคลื่อนไหวของทหารเป่ยเฉินฝั่งขวาที่รับเชือกไป กีบเท้าม้าของต้ามั่วจำนวนไม่น้อยก็สูญเสียการควบคุม
ม้าทยอยล้มลงทีละตัวๆ
คนก็ร่วงล้มลงทีละคนๆ
ในเวลานี้เองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเป่ยเฉินอี้ต่างหรี่ตามองไปที่เชือก
เชือกพวกนั้น ติดอาวุธ
สิ่งของสะท้อนแสงความจริงคืออาวุธแหลมคมติดไว้บนเชือก ทหารเป่ยเฉินทั้งสองฝั่งในยามนี้พากันก้มตัวลง ดึงเส้นเชือกจำนวนมากเหล่านี้ เหล่าทหารต้ามั่วขี่ม้าวิ่งเข้ามา ทะลุผ่านอาวุธแหลมคนนี้ ขาม้าจำนวนมากล้วนถูกทิ่มแทงบาดเจ็บ จนถึงขั้นขาดออกอย่างง่ายดาย
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดภาพคนและม้าล้มระเนระนาดเป็นการใหญ่
“อ๊าก”
“โอ๊ย”
“นี่มันผีสางอันใดกัน”
“อ๊าก…”
เสียงร้องอนาถดังขึ้น
ทหารต้ามั่วทั้งหมดเข้าสู่ความอลหม่าน สายตาคนทั้งหมดเห็นเส้นเชือกทีละเส้นๆ พุ่งเข้ามาจู่โจมขาม้าตัวเอง ทำให้ขาดออก ส่งผลให้แนวทัพแตกกระเจิง เหยียบเหล่าทหารบนพื้นจนสาหัส บ้างก็ตาย
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก คล้ายยังไม่ทันรู้สึกตัวก็มีทหารนับพัน ทั้งคนและม้าถูกเหยียบจมธรณี
คราวนี้ ต่อให้จิวมั่วเหอก็หน้าเขียวคล้ำ
เขาตระหนักได้ทันที ตวาดร้องเสียงดัง “ใช้มีด ตัดเชือกซะ ทุกคนถอยไปทางซ้ายและขวา”
ทหารต้ามั่วตัดเชือกทันที ทว่าในยามที่พวกเขาพุ่งเข้ามาตัดเชือก เยี่ยเม่ยก็ตวาดก้อง “ยิงธนู”
ทหารเป่ยเฉินที่มิได้ดึงเชือก ก็รีบหยิบธนู ยิงเข่นฆ่าไปที่ทหารต้ามั่วที่มุ่งเข้ามาตัดเชือก
เสียงโหยหวนน่าอนาถดังขึ้นเป็นระลอกๆ
ทหารต้ามั่วตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบย่อยยับ
ทหารจำนวนไม่น้อยล่าถอยจากฝั่งซ้ายและขวา กลับถูกพลธนูทั้งสองฝั่ง ยิงธนูใส่พวกเขาอย่างแม่นยำ อย่าว่าแตกฝ่าวงล้อมเลย แค่ก้าวออกไปสักครึ่งก้าวยังลำบาก ถูกล้อมเอาไว้จนหมดสิ้น
จิวมั่วเหอเห็นสถานการณ์ ตัดสินใจทันที
เขาหยิบคันธนูยาวออกมา ใช้กำลังภายในยิงลูกธนูยาวสีฟ้าพุ่งขึ้นกลางอากาศ เสียงดังก้องตวาดว่า “หมื่นพันอสนีบาต”
เมื่อลูกธนูพุ่งสู่ฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นมีดแหลมคมจำนวนนับไม่ถ้วน คล้ายกับสายฟ้าฟาดใส่เหล่าพลธนูของเป่ยเฉิน
พลธนูจำนวนไม่น้อยล้มลง ภาพนี้มากพอทำให้เห็นว่ายอดฝีมือที่มีกำลังภายในล้ำเลิศสามารถทำอะไรบนสนามรบได้บ้าง
จิวมั่วเหอส่งเสียงดัง “ฝ่าวงล้อม ถอยทัพ”
เหล่าทหารต้ามั่วฉวยโอกาสยามที่พลธนูล้มลง รีบฝ่าวงล้อมออกมา
ส่วนบนพื้นในยามนี้ ทหารต้ามั่วตายจำนวนนับไม่ถ้วน อีกทั้งส่วนใหญ่เกิดจากความชุลมุน ถูกฝ่ายต้ามั่วเหยียบตาย
จิวมั่วเหอยังคิดลงมือ เยี่ยเม่ยก็สะบัดพัดออกมามองจิวมั่วเหอ เอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “คิดจะลงมือ ก็ต้องถามข้าก่อน”
เป็นเพราะนางละเลยผลกระทบที่เกิดจากกำลังภายในล้ำเลิศแล้ว
แต่ว่าภาพรวมนางยังได้เปรียบอยู่
จิวมั่วเหอมองเยี่ยเม่ยทีหนึ่ง จากนั้นมองไปรอบๆ ถึงเหล่าทหารจะฝ่าออกไปได้ แต่ว่าทหารต้ามั่วหวาดกลัวอย่างไร้ที่เปรียบ กำลังขวัญคนทั้งหมดแตกกระเจิงแล้ว
จิวมั่วเหอเห็นสถานการณ์ไม่ดี อีกอย่าง ฝ่ายตรงข้ามยังมีเชือกแหลมคมในมือจำนวนมากที่ยังไม่ขาด ความสามารถของเยี่ยเม่ยไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ ด้านหลังของนางยังมีบุรุษหนุ่มที่ยังมิได้ลงมือ บนกำแพงเมืองมีเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเป่ยเฉินอี้
จิวมั่วเหอหน้าเขียวคล้ำ เข้าใจว่าหากยังโจมตีต่อไป ต้ามั่วยิ่งจะเสียเปรียบหนักไปอีก
เขาตัดสินใจเฉียบขาด ส่งเสียงดัง “ถอยทัพ”
สิ้นเสียง ทหารต้ามั่วรีบไสม้าไปตามเสียง
ในขณะเดียวกันจิวมั่วเหอมองเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “ศึกในวันนี้ จิวมั่วเหอจะจำไว้”
“จำไว้ได้ก็ดี” เยี่ยเม่ยตอบกลับเสียงเย็น
จิวมั่วเหอเอ่ยจบ ก็ไสม้า นำพาคนทั้งหมดจากไป
ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ถึงสุดท้ายทหารของต้ามั่วจะหนีไปได้ เป่ยเฉินอี้บนกำแพงมองอย่างชื่นชม แววตาที่มองแผ่นหลังเยี่ยเม่ยเต็มไปด้วยความชื่นชม
เมื่อเห็นคนของต้ามั่วหนีไป ทหารเป่ยเฉินเตรียมไล่ตาม เยี่ยเม่ยรีบเอ่ยว่า “ปล่อยไป ….”
“ขอรับ” คนที่เตรียมไล่ตามหยุดลงทันที
ทว่าเซียวเยว่ชิงยังไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง มองเยี่ยเม่ยแล้วไสม้าไปข้างกายนาง “แม่นางเยี่ยเม่ย ยามนี้หากไม่ไล่ตามไป ไม่เท่ากับว่าปล่อยเสือกลับภูเขาหรือ”
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา มองทหารที่ตายเกลื่อนบนพื้น ก็เอ่ยปากว่า “พวกเราเอาชนะได้ง่ายดายเช่นนี้ ก็เพราะจิวมั่วเหอไม่รู้ว่าข้าเตรียมเชือกแบบนี้ไว้ จึงไม่ป้องกัน พวกเราถึงได้จู่โจมจากสองฝั่งได้สำเร็จ ยามนี้เจ้ามีความมั่นใจอะไรว่า จะล้อมพวกเขาได้อีกครั้ง ใช้เชือกอีกอย่างนั้นหรือ”
เซียวเยว่ชิงชะงักไป “นี่…”
เยี่ยเม่ยรุกต่อว่า “จิวมั่วเหอถอยทัพ เพราะเข้าใจว่า ในเมืองพวกเรายังมีทัพเสริมอีก ส่วนคนของต้ามั่วกล้ามา เพราะมีความกล้าที่จะใช้คนหนึ่งคนต่อกรกับศัตรูหลายคน ยามนี้ขวัญทหารแตกกระเจิง ไร้ซึ่งความกล้าหาญอีก การถอยทัพเป็นตัวเลือกที่จำเป็นต้องกระทำ หากพวกเราไล่ตามต่อไป เจ้าก็เห็นแล้ว ทหารของพวกเขาตายแค่สองพันกว่าคน กำลังหลักยังไม่เสียหาย เห็นพวกเราไล่ตามไป เกิดแรงฮึดต่อสู้ขึ้นมา เจ้ากล้ารับรองได้หรือไม่ว่าการไล่สังหารต่อจะได้รับชัยชนะกลับมา อีกอย่างข้าคิดว่า ถึงจิวมั่วเหอจะถอยทัพจริงๆ แต่พวกเขาถอยไปไม่เกินสิบลี้ก็หยุดเพื่อเตรียมจัดการกับพวกเราแล้ว”
เซียวเยว่ชิงรีบประสานมือ “ข้าเข้าใจแล้ว แม่นางเยี่ยเม่ยยอดเยี่ยมนัก”
ก็ถูกที่ยามนี้ขวัญทหารต้ามั่วแตกซ่าน จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาไม่อาจไม่ถอยทัพ หากว่ายังฝืนไล่ตามไป บางทีอาจเสียชัยชนะในตอนนี้ไปได้ ทั้งยังเสียเปรียบอักโข หากตกหลุมพรางจิวมั่วเหอแล้ว ก็ได้ไม่คุ้มเสียเลย
เยี่ยเม่ยเห็นสถานการณ์ศึก เอ่ยปากว่า “จัดการเก็บกวาด แล้วกลับไปพักเถอะ”
“ขอรับ” คนทั้งหมดรับคำ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเป่ยเฉินอี้ แววตาทอรอยยิ้ม ถามช้าๆ ว่า “ไม่ทราบว่าความสามารถของแม่นางเยี่ยเม่ย มีมากพอให้เสด็จอาชื่นชมหรือไม่”
ขณะที่เป่ยเฉินอี้กำลังจะเอ่ยวาจา
เยี่ยเม่ยที่อยู่ด้านล่างไสม้ากลับเตรียมกลับเข้าเมือง
เสี้ยวเวลาที่ไสม้าหันกลับมา ก็มองเห็นใบหน้าเยี่ยเม่ย เป่ยเฉินอี้ตะลึงตะลาน ถอนสายตากลับ
ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ น้ำเสียงทุ้มต่ำในยามนี้สั่นอยู่บ้าง “นาง…นางคือเยี่ยเม่ยหรือ”