เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 17
เขายังไม่ทันพูดจบ
เยี่ยเม่ยล้วงพัดข้างเอว คลี่ออก ซัดลอยไปกระแทกหน้าคนผู้นั้น
ครั้นเห็นเป็นพัดหยกเล่มหนึ่ง ทุกคนล้วนคิดว่านางลงมือเหมือนเด็กเล่น
แต่ใครจะรู้ว่า เมื่อพัดพุ่งไปกระแทกหน้าคน ถึงกับทำให้ใบหน้าคนผู้นั้นเนื้อแตกในบัดดล เลือดสดไหลทะลักในทันที คนผู้นั้นกุมหน้าตัวเอง ร้องเสียงโอดครวญ “โอ๊ย…”
ถัดมาเยี่ยเม่ยยื่นมือออก รับพัดกลับเข้ามือ
เขาโมโหจ้องเยี่ยเม่ยอย่างเอาเป็นเอาตาย ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความโกรธขึง คิดร่ำร้องด่าคน ทว่าเจ็บปวดจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ได้แต่ชี้นิ้วออกไปที่นาง “เจ้า…”
คนบนถนนเห็นภาพนี้แล้วก็ตกใจ พากันร่นถอยหลัง มองเยี่ยเม่ยด้วยความหวาดกลัวปนแปลกใจ
ใครก็ไม่คิดว่า แม่นางผู้งดงามเช่นนี้กลับลงมือได้โหดเ**้ยมนัก ทุกคนยิ่งคิดไม่ถึงว่า นางก็แค่ใช้พัดเล่มเดียว ยังมีกำลังคร่าชีวิตเช่นนี้ เรื่องนี้ทำให้คนทั้งหมดสงสัยว่าตนตาฝาดไปหรือเปล่า รู้สึกว่าสิ่งที่นางโยนออกไป สมควรเป็นมีดเล่มหนึ่งมากกว่า
ทุกคนอยากขยับเข้ามาชมเรื่องสนุก แต่ก็หวาดกลัวมาก ตัวสั่นหลบอยู่ด้านข้าง
เม่ยเซียงเก๋อเป็นหอนางโลมที่มีอำนาจมากที่สุดในเมืองนี้ เบื้องหลังมีขุนนางหนุนหลัง คนธรรมดาไม่กล้าล่วงเกิน แม่นางผู้นี้กล้าหาญมากเกินไปแล้ว
เยี่ยเม่ยหุบพัดในมือ สายตาเย็นชากวาดมองผู้เป็นหัวหน้า เอ่ยปากเสียงเย็น “ให้โอกาสเจ้าตอบใหม่อีกครั้ง ข้าถูกขายให้พวกเจ้าแล้วจริงๆ หรือ”
“แน่นอน” ความเจ็บปวดบนใบหน้าผู้นั้นคลายลงบ้างแล้ว ทว่าเขายังคงปากแข็ง
เขาฝืนพูดออกมาได้ เลือดบนหน้ายังไหลไม่หยุด นี่ทำให้เขาแค้นเยี่ยเม่ยเข้ากระดูก กัดฟันเอ่ยว่า “นางสารเลว พวกเราไม่ปล่อยเจ้าแน่ พี่น้องทั้งหลาย บุก”
เสียงของเขาสิ้นสุดลง พี่น้องด้านหลังยังไม่ก้าวออกมา
เยี่ยเม่ยสายตาเย็นเฉียบ พัดในมือจู่โจมใส่เขาอีกครั้ง
หัวหน้าผู้นั้นพุ่งขึ้นหน้าหวังโจมตีโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทว่าเขาได้แต่จ้องมองพัดที่พุ่งเข้ามาโจมตีอีกครั้งตาปริบ ภายใต้กระบวนท่าของเยี่ยเม่ย พัดเฉือนขาจนเห็นเส้นเอ็น เลือดสดไหลจากต้นขา เขาเจ็บปวดล้มลง เริ่มกลิ้งตัวไปมา แม้แต่กำลังขัดขืนยังไม่มี
พวกลูกกระจ๊อกเห็นลูกพี่ใหญ่ถูกทำร้าย รีบวิ่งขึ้นมา พุ่งเข้าใส่เยี่ยเม่ยในทันที
ทว่ายังไม่ทันเข้าใกล้ ก็เห็นเยี่ยเม่ยกระตุกมุมปากรอยยิ้มเย็นเยียบ นางไม่ขยับเขยื้อน
ในสายตาของทุกคน เห็นพัดที่เพิ่งทำร้ายลูกพี่ของพวกเขายังไม่กลับถึงมือเยี่ยเม่ย พัดหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ ตามมาด้วยเสียง “ปังปัง” พัดคลี่กางอยู่กลางอากาศคล้ายกับลมพายุ พุ่งไปยังลูกกระจ๊อกทั้งหลาย
คนทั้งหมดเบิกตาโตมองอย่างไม่เชื่อ หลังจากนางใช้พัดทำร้ายคน พัดถึงกับยังขยับอยู่ ซ้ำจู่โจมต่อเนื่องได้…ความสามารถของสตรีผู้นี้…
ที่ทำให้คนทั้งหมดยิ่งไม่อยากเชื่อก็คือ ไม่ช้าพวกเขาเห็นพัดพุ่งผ่ากลางอากาศอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ ทำร้ายคนทั้งหมดที่วิ่งเข้าหาเยี่ยเม่ยอย่างแม่นยำ
ลูกกระจ๊อกเหล่านั้นถูกพัดทำร้ายลงทีละคนๆ ส่งเสียงร้องระงมไม่หยุด ร่างกายล้วนถูกเฉือนเนื้อไม่ตื้นก็ลึก
นาทีถัดมา ระหว่างที่ทุกคนเงยหน้าขึ้นเห็นพัดเล่มนั้นคล้ายกับมีจิตวิญญาณในตัวเองอย่างเต็มตา หลังจากทำร้ายคนทั้งหมดแล้ว ค่อยวิ่งกลับสู่มือเจ้านาย
ความสามารถในการควบคุมพัดเช่นนี้ เกรงว่าทั้งใต้หล้าไม่มีอีกแน่
เพียงแค่ชั่วขณะเดียว คนเหล่านั้นล้วนบาดเจ็บ กลิ้งอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด
คนสัญจรไปมามองสายตาเยี่ยเม่ยอีกครั้ง ต่างรู้สึกหวาดกลัว
ชาวบ้านข้างทางก็ไม่มีใครคิดถึงว่า แม่นางผู้นี้จะร้ายกาจถึงขั้นนี้ อาศัยแค่พัดเล่มเดียว โยนออกไปสองครั้ง สามารถทำร้ายคนพวกนี้จนเลือดท่วมตัว กลิ้งอยู่บนพื้น นี่…
ดังนั้นสายตาของคนที่มองนางล้วนหวาดกลัวตกใจ
จากนั้นเยี่ยเม่ยกวาดสายตาไปมองกลุ่มคนที่อยู่ในความแตกตื่น น้ำเสียงเย็นเยียบ “ข้ารู้ว่าขอเพียงตัวเองลงมือครั้งหนึ่งก็กลายเป็นจุดเด่นได้ง่าย ดังนั้นจึงพยายามสงบเสงี่ยมไว้ หากมิใช่พวกเจ้าบีบให้ข้าลงมือ ข้าก็ไม่อยากทำให้ทุกคนอัศจรรย์ใจ”
คนทั้งหมด “…” พวกเขาไม่รู้สึกว่าน่าอัศจรรย์ เพียงรู้สึกว่าตัวเองตกใจแทบปัสสาวะราด
ทั้งไม่รู้ว่าแม่นางท่านนี้ เอ่ยคำพูดโอ้อวดยกยอตัวเองอย่างจริงจังหรือเปล่า แต่ว่านางมีคุณสมบัติในการโอ้อวดอย่างแท้จริง
เยี่ยเม่ยเอ่ยจบ ไม่สนใจการตอบสนองของคนอื่น เดินหน้าทีละก้าวๆ ผ่านร่างคนที่เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นไป
คนกลุ่มนั้นมองเยี่ยเม่ย สายตาจากดุร้ายเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว แม้แต่หัวหน้ากลุ่มเวลานี้ยังขดตัวหลบอยู่ด้านหลังสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
เขาไม่กล้าด่าคนอีก สตรีนางนี้น่ากลัวเกินไป
ไม่กี่กระบวนท่าก็ทำร้ายพี่น้องตั้งมากมายลงหมด ถึงกระทั่งไม่ต้องลงไม้ลงมือเลยสักน้อย แค่โยนพัดออกมาเท่านั้น ยอดฝีมือเช่นนี้ เขายังกล้าด่าอีกก็เท่ากับรนหาที่ตาย
เยี่ยเม่ยเดินมาถึงเบื้องหน้าเขา พัดในมือหมุนติ้ว ท่าทางของนางดูเชื่องช้า สีหน้ายังเย็นชาเหมือนเดิม ค่อยเอ่ยปากเสียงเย็นเยียบ “รู้ความผิดแล้วหรือยัง”
“รู้แล้ว” พวกเขารู้สึกร่างกายเจ็บปวดแทบทนไม่ไหว ภายใต้ความหวาดกลัว พยักหน้ารัวๆ ราวกับยามสับกระเทียม
เยี่ยเม่ยแววตาเย็นเยียบ “อ้อ? ผิดที่ใดกัน”
หัวหน้าผู้นั้นรีบตอบ “พวกเรา…พวกเราไม่สมควรฉุดคร่าหญิงสาว ไม่ควรล่วงเกินท่าน ทั้งไม่ควร…ไม่ควรวางแผนทำร้ายคุณชายท่านั้น…พวกเรา”
“เพี้ยะ” พัดในมือเยี่ยเม่ยพลันหมุน โจมตีใส่เอวเขา
หลังจากจู่โจมแล้วพัดหยกพุ่งกลับมายังมือของเยี่ยเม่ยอีกครั้ง
ภายใต้การจู่โจมนี้ หัวหน้ากลุ่มผู้นั้นร้องเสียงอนาถ กุมก้อนเนื้อช่วงเอวที่ถูดพัดทำร้ายเหวอะหวะ กลิ้งไม่หยุด
เยี่ยเม่ยมองเขาด้วยความเย็นชา น้ำเสียงเฉยเมย “ความผิดประการแรกของเจ้าก็คือ ไม่สมควรเอ่ยว่าข้าถูกขายให้พวกเจ้าแล้ว รูปโฉมงดงามและความสามารถอย่างข้า พวกเจ้าซื้อไหวอย่างนั้นหรือ”
คนที่ชมอยู่ทั้งหมด “…?”
หัวหน้าที่กุมเอวตนกลิ้งไปมาได้ฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย แทบจะลมหายใจขาดห้วง เกือบหายใจไม่ออก
เขาเจ็บจนหน้าตาบิดเบี้ยว ทว่ามองเยี่ยเม่ยอย่างไม่เชื่อสายตา
เยี่ยเม่ยสีหน้าเย็นชา “ทำไม คำพูดของข้ามีปัญหางั้นหรือ”
“ไม่…ไม่มี…แม่นาง แม่นางรูปงามเกินเปรียบ เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า แม่นาง…ความสามารถของเจ้าเหนือคน พวกเรา…พวกเราไม่อาจซื้อตัวแม่นางได้” เขาพูดไปแล้วคิดร้องไห้
เขารู้สึกแค้นตัวเองนัก ไฉนถึงไปหาเรื่องเทพหายนะผู้นี้ได้
แต่ว่านางพูดไม่ผิด ความสามารถเช่นนี้ พวกเขาซื้อตัวนางไม่ได้จริงๆ หาเรื่องยังไม่มิอาจหาได้เลย
เยี่ยเม่ยเห็นเขาเข้าใจในความงดงามของนางอย่างถ่องแท้ เยี่ยเม่ยเกิดความใจกว้างอย่างหาได้ยาก
เยี่ยเม่ยมองพวกเขาด้วยความเย็นชา “อย่าให้ข้าเห็นพวกเจ้าฉุดคร่าซื้อขายชายหญิงชาวบ้านอีก ไม่อย่างนั้น…”
“ข้ารู้แล้ว พวกเราไม่กล้าอีกแล้ว” คนทั้งกลุ่มทนเจ็บตะกายขึ้นมา โขกหัวให้เยี่ยเม่ย หวังว่านางจะปล่อยพวกตนไป
ชาวบ้านที่ยืนชมอยู่ด้านข้างเลิกหวาดกลัว รู้สึกเลื่อมใสเยี่ยเม่ยขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
หลายปีมานี้เม่ยเซียงเก๋ออาศัยว่ามีคนคอยหนุนหลัง ก่อกรรมทำเข็ญมาตลอด คนทั่วไปล้วนไม่กล้าเป็นปรปักษ์กับพวกเขา หลายปีที่ผ่านไม่รู้ว่าทำร้ายเด็กชายเด็กหญิงที่ดีไปมากเพียงใด ครั้งนี้ถูกสั่งสอน พวกเขาเห็นแล้วล้วนได้ระบายอารมณ์
เยี่ยเม่ยพยักหน้า แค่นเสียงเย็น “ไสหัวไปซะ คราวหน้าหากได้พบสตรีงดงามเช่นข้าอีก ยังกล้าไม่รู้จักประมาณตนว่าตัวเองมีกำลังซื้อได้ ใช้ความรุนแรงอีก พวกเจ้าไม่ถูกตีแค่นี้แน่”
คนทั้งหมด “…”
ถึงพวกเขาเลื่อมใสนาง แต่ก็หมดคำพูดเช่นเดิม
คนกลุ่มนั้นถูกตีอยู่นาน ยังสนใจที่ไหน รีบลุกขึ้นตะเกียกตะกายหมุนตัวจากไป
เยี่ยเม่ยเก็บพัด เดินไปยังเงาร่างสีดำที่ล้มสลบข้างขานางเมื่อครู่
เดิมช่วยคนแล้วคิดไม่ใส่ใจอีก ทว่าสมองกลับแปลกประหลาดนัก คิดถึงดวงตาทอประกายสุกสกาวของเขา นางนิ่งไปเล็กน้อย แบกคนผู้นั้น สาวเท้ายาวจากไป
เยี่ยเม่ยกลับไม่รู้ว่า บนหอสูงไม่ไกลออกไปมีสายตาล้ำลึกคู่หนึ่งชมดูเหตุการณ์ทั้งหมด
บุรุษข้างกายยังมองร่างของเยี่ยเม่ย ถามว่า “ท่านอ๋อง พวกเราจะ…”
น้ำเสียงมาดร้ายเอ่ย “อย่าเพิ่งลงมือชั่วคราว ตามนางไป”