เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 170 นางคือคนของข้า
ได้ฟังเสียงสั่นของเป่ยเฉินอี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมุ่นคิ้วเล็กน้อย สายตากวาดมองพิจารณาเป่ยเฉินอี้ จากนั้นก็มองเยี่ยเม่ย น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ ถามว่า “ทำไมกัน เสด็จอามีอะไรสงสัยอย่างนั้นหรือ”
นิสัยของเป่ยเฉินอี้เป็นอย่างไร เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าใจดียิ่ง
ยามมองเยี่ยเม่ย เป่ยเฉินอี้แสดงออกเช่นนี้ ก็พูดได้คำเดียวว่า ความตกตะลึงของเสด็จอาถึงขีดสุด
แต่…
ในห้วงความสงสัย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ถามขึ้นอีกประโยคว่า “หรือเสด็จอาเคยพบแม่นางเยี่ยเม่ยมาก่อน”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เป่ยเฉินอี้พลันได้สติ
สีหน้ากลับเป็นปกติ สายตายังมองไปที่เยี่ยเม่ยดังเดิม ทว่ามือภายใต้ชายเสื้อกว้างกำแน่น ทำให้ยากจับสังเกตได้
ดวงตาเรียวสงบนิ่งลง ทว่าลูกนัยน์ตาน่ามองจับจ้องเยี่ยเม่ย สักพักหนึ่งก็กวาดมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน พลันถามขึ้นด้วยเสียงขรึมว่า “หากข้าบอกว่า นางเป็นคนของข้า ส่งมาเพื่อล่อลวงเจ้าเล่า”
ทันทีที่เขาเอ่ยเช่นนี้ บรรยากาศบนกำแพงพลันเย็นเยียบลง
อวี้เหว่ยเป็นคนแรกที่เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ ครุ่นคิดอยู่ในใจทันที ที่มาของแม่นางเยี่ยเม่ยเป็นปริศนามาตลอด ครั้งแรกที่เตี้ยนเซี่ยพบนาง เขาก็ไปตรวจสอบแล้ว แต่คล้ายกับคนที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมา
หากบอกว่าเป็นคนของเป่ยเฉินอี้จริง ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ก็หลุดหัวเราะ เพียงแต่ดวงตาคู่ร้ายกาจไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิด เขาจ้องเป่ยเฉินอี้เปรยว่า “หากเป็นความจริงจริง อย่างนั้นเสด็จอาจะกล้าเอ่ยออกมาตามตรงอย่างนั้นหรือ”
เป่ยเฉินอี้เอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าจะรู้อันใด ข้าไม่ได้จงใจเอ่ยเช่นนี้ เพื่อทำลายความระแวงสงสัยที่เจ้ามีต่อนาง”
ในขณะที่พวกเขาสนทนากัน
เยี่ยเม่ยที่อยู่ด้านล่างเงยหน้ามองขึ้นมาบนกำแพง
การมองเห็นของนางดีมาก มองเห็นใบหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเป่ยเฉินอี้อย่างชัดเจน ครั้นเห็นใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางก็ไม่แปลกใจ
แต่ยามที่สายตานางมองเป่ยเฉินอี้…
คนผู้นั้น
ในสมองของนางพลันมีภาพจำนวนมากนั้นปรากฏขึ้นมา รวดเร็วเสียจนทำให้นางจับไม่ได้ ทั้งยังรู้สึกเวียนหัวอย่างฉับพลัน
เซียวเยว่ชิงเห็นเยี่ยเม่ยด้านข้างแปลกไป ก็ถามว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านเป็นอะไรไป”
คำถามนี้ ทำให้เยี่ยเม่ยได้สติ
ส่วนภาพที่เมื่อครู่ฉายไปมาในสมองอย่างสะเปะสะปะก็หายไป คล้ายกับไม่เคยมีมาก่อน
สายตาของเยี่ยเม่ยพลันนิ่งลง หันมองเซียวเยว่ชิง เอ่ยปากว่า “ไม่เป็นอะไร เพียงแค่คนบนกำแพงผู้นั้น คืออี้อ๋องอย่างนั้นเหรอ”
กลิ่นอายราชันย์แผ่พุ่งออกมาจากร่าง ครั้งแรกที่เห็นบุรุษลุ่มลึกผู้นี้ เยี่ยเม่ยก็เข้าใจว่าเขาเป็นคนเช่นไร สมควรเป็นราชามาแต่กำเนิด
องคาพยพบนใบหน้านั้นหมดจด จนไม่อาจตำหนิได้อีก สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกอันตรายมากที่สุดก็คือ กลิ่นอายลุ่มลึกที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
เซียวเยว่ชิงก็มองตาม รีบพยักหน้า “ถูกแล้ว นั่นคืออี้อ๋อง ปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้า”
สายตาของเยี่ยเม่ยจับจ้องอยู่บนร่างเป่ยเฉินอี้ นางเหยียดมุมปากอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “น่าแปลกนัก เดิมข้าคิดว่าคนเจ้าเล่ห์เพทุบายล้วนหน้าเนื้อใจเสือ ใบหน้ายิ้มแย้มเพื่อปกปิดจิตใจชั่วร้ายของตน ทว่าคิดไม่ถึงเลย อี้อ๋องของพวกเจ้าคนนี้ กลับแสดงออกถึงความลุ่มลึก”
ปราชญ์ทั่วไปยามคิดวางแผนเล่นงานผู้อื่น มักไม่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดกลัว ทว่าเป่ยเฉินอี้ไม่เหมือนกัน ตัวเขาเองก็ทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงอันตราย ยามผู้อื่นมองเขา รู้สึกคล้ายตนกำลังตกอยู่ในกระดานหมากของเป่ยเฉินอี้ รู้สึกราวกับถูกเขาเล่นงาน
เซียวเยว่ชิงฟังแล้วกลับหัวเราะออกมา มองเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “นี่ก็คือจุดที่อี้อ๋องต่างจากปราชญ์คนอื่น อี้อ๋องเคยบอกเองว่า คนที่ต้องใช้รอยยิ้มหรือสีหน้าไร้อารมณ์เพื่อปกปิดความคิดของตน นั่นคือคนที่ไม่มั่นใจในแผนการของตนเอง ส่วนเขาเป่ยเฉินอี้ ไม่ต้องปกปิด ต่อให้คนทั่วหล้าต่างป้องกันเขาตั้งแต่เริ่มต้น แต่ก็ยังไม่อาจหนีแผนการของเขาได้เหมือนเดิม”
“คำพูดโอ้อวดนัก เป็นคนที่โอหังจริงๆ” สายตาเยี่ยเม่ยยังมองอยู่ที่เป่ยเฉินอี้ สายตานางปรากฏแววชื่นชม
ส่วนเยี่ยเม่ยที่สติหลุดลอยยามเห็นเป่ยเฉินอี้ รวมถึงแววตาต่างๆ ของหญิงสาวที่มองไปบนร่างเป่ยเฉินอี้ ก็หนีไม่พ้นสายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาไม่ยินดี มุมปากปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนแสนอันตราย
อารมณ์ของเป่ยเฉินอี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเท่าไหร่นัก
เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าเยี่ยเม่ยกำลังจ้องเขาอยู่ ใบหน้าที่ชวนให้เขาฝันถึง กลับทำให้เขาเย็นเยียบและไม่คุ้นเคย ทั้งยังมีดวงตาคู่นั้นของนาง
สายตาที่ทอประกายทว่าแหลมคม แววตาชื่นชมมองเขา แต่นั่นคือแววตาของคนไม่รู้จัก
เขาได้ยินเสียงหัวใจตนเต้นดังราวกับกลอง คิดจะพุ่งออกไปพิสูจน์ ทว่าไม่รู้ว่าตนอยากได้รับคำตอบแบบไหน หรือกลัวจะได้ยินคำตอบแบบไหน
เยี่ยเม่ยถอยสายตากลับมา ไม่มองพวกเขาอีก ไสม้ากลับเข้าเมือง
เป่ยเฉินอี้ผู้นั้น…
พูดตามตรง เยี่ยเม่ยรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เพราะอะไรยามที่ตัวนางเห็นเป่ยเฉินอี้ ร่างกายกลับมีปฏิกิริยาเช่นนั้น คล้ายเคยพบเขาเมื่อนานแสนนานมาแล้วก็ไม่ปาน
ในสมองพลันฉุกคิดถึงคำพูดก่อนหน้าของผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ เดิมทีนางเป็นคนในยุคสมัยนี้ เพียงเพราะข้ามกาลเวลาไปในยุคปัจจุบัน เพราะถูกแรงกดดันจากห้วงเวลาถึงได้เสียความทรงจำ…
อย่างนั้น…
หรือว่านางเคยพบเป่ยเฉินอี้จริงๆ
ก่อนที่สมองจะครุ่นคิดตลบไปมา เยี่ยเม่ยก็เข้ามาในเมืองแล้ว
มือในชายเสื้อของเป่ยเฉินอี้กำแน่นสั่นเทิ้มอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ปิดตาลง ปกปิดความรู้สึกทั้งหลาย
เมื่อมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีกครั้ง น้ำเสียงทุ้มต่ำเผยแววขบขัน “เจ้าก็เห็นแล้ว เมื่อครู่พบกันครั้งแรก สายตานางมองมาที่ข้า”
คำพูดเขายั่วโทสะเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
ถือเป็นครั้งแรกที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้สึกเดือดดาลเมื่อได้สนทนากับเป่ยเฉินอี้
เขาหันขวับมองเป่ยเฉินอี้ แววตาทอลำแสงมารคลุ้มคลั่ง เริ่มมีจิตสังหารแล้ว
พลังปราณคมกริบสีแดงของเขากำลังปะทุ น้ำเสียงชวนฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “อย่างนั้นเยี่ยนก็ไม่เสียดายที่จะฆ่าเสด็จอา ทำให้สายตาของนางไม่มีทางมองเสด็จอาได้อีกตลอดไป กันไม่ให้ครอบงำเสด็จอา”
เป่ยเฉินอี้ย่อมดูออกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกิดจิตสังหาร
แววตาเขาไร้ความกลัว มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เสียงหนักแน่นเอ่ยว่า “ไฉนต้องเดือดดาลด้วย เชื่อว่าเจ้าคงรู้ความสามารถในการวางแผนของข้า หากเจ้าสังหารข้า ภายหน้าสถานการณ์จะยิ่งยากจัดการได้”
คำพูดนี้ก็หมายความว่าเป่ยเฉินอี้วางแผนไว้จำนวนมากแล้ว หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฆ่าเขาจริง ราชสำนักเป่ยเฉินต้องเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ต้องเกิดปัญหาด้วยแน่
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเป่ยเฉินอี้ด้วยความสงสัย ไอสังหารจากร่างกายยังไม่หยุด ค่อยๆ เอ่ยว่า “สถานการณ์ยากจัดการได้ ก็ดีกว่าแม่นางเยี่ยเม่ยสนใจท่าน ความหนักเบาระหว่างเรื่องนี้ เยี่ยนเข้าใจได้ดี”
สิ้นเสียง มือของเขาแหวกอากาศพุ่งไปยังเป่ยเฉินอี้…