เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 184 วิธีเอาชนะเยี่ยเม่ย
อะไรนะ
เซียวชินสงสัยว่าตนฟังผิดไปแล้ว มองเป่ยเฉินอี้อย่างไม่อยากเชื่อสักพักหนึ่ง
เป่ยเฉินอี้ยึดติดกับจงเจิ้งซีถึงขั้นที่คนทั่วหล้าต่างรู้กันหมด เขาจะแต่งงานกับเยี่ยเม่ยหรือ
“คำพูดของอี้อ๋องเป็นจริงอย่างนั้นหรือ”
เซียวชินคิดว่าเขาสมควรออกไปด้านนอก มองฟ้าดูว่ากลางวันของวันนี้เป็นพระอาทิตย์หรือพระจันทร์กันแน่ที่ลอยอยู่
เขาเข้าใจว่าต่อให้โลกถล่ม กลางวันกลางคืนกลับตาลปัตร ความเป็นไปได้ที่เป่ยเฉินอี้จะทอดทิ้งจงเจิ้งซีไปชอบผู้อื่นคือศูนย์
ยามเมื่อเรื่องนี้ปรากฏอยู่ต่อหน้า อีกทั้งเป่ยเฉินอี้ก็เอ่ยเช่นนี้จริงๆ
สายตาล้ำลึกสุดหยั่งได้ของเป่ยเฉินอี้กวาดมองเซียวชิน “หมอปีศาจคิดว่า ท่าทางของข้าคล้ายล้อเล่นอย่างนั้นหรือ”
“ข้าขอทราบเหตุผลได้หรือเปล่า” เซียวชินคาดไม่ถึง
ยอดหญิงในใต้หล้านี้ก็มีไม่น้อย ถึงเยี่ยเม่ยเรียกได้ว่าเป็นสตรีแถวหน้าของยอดหญิงเหล่านั้น เซียวชินก็ยากจินตนาการได้ว่าเรื่องนี้จะชักนำให้เป่ยเฉินอี้เปลี่ยนใจได้ในระยะเวลาอันสั้น
เป่ยเฉินอี้มองอีกฝ่าย เสียงขรึมลงกล่าวว่า “นางมีใบหน้าที่เหมือนกับจงเจิ้งซีทุกประการ”
เซียวชินพลันเบิกตากว้างมองเป่ยเฉินอี้อย่างไม่เชื่อสายตา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็สงบลง เข้าใจได้ในทันที ริมฝีปากสั่นระริกเอ่ยว่า “มิน่า มิน่าอาหรุ่ยถึงยินยอมติดตามอยู่ข้างกายนาง”
เขาหันหน้ามองเป่ยเฉินอี้ “หรือว่านางคือจงเจิ้งซี”
“จากที่ดูตอนนี้ยังไม่ใช่ แต่…หากใช่ล่ะ” ร่างกายของเป่ยเฉินอี้พลันแผ่ความอำมหิตออกมา “ดังนั้น ข้าไม่อาจปล่อยให้นางแต่งงานกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน”
ยามนี้เซียวชินเข้าใจความคิดของเป่ยเฉินอี้แล้ว เขามองอีกฝ่ายทีหนึ่ง “หวังว่าอี้อ๋องจะไม่หาเรื่องยุ่งยากใส่ตัว”
จากคำพูดยินดีในความทุกข์ของผู้อื่นนั้น เป่ยเฉินอี้เห็นความต้องการชมเรื่องสนุกในสายตานั้น
เดิมทีเขากับเซียวชินก็หาใช่มิตรหรือศัตรู ดังนั้นเขาไม่ใส่ใจ
ทว่ากวาดตามองเซียวชินด้วยความสนใจ นัยน์ตาเรียวยาวนั้นยิ่งทวีความยินดีที่ผู้อื่นอยู่ในความทุกข์ เอ่ยปากเสียงเข้มว่า “แทนที่จะเป็นห่วงข้า ไม่สู้หมอปีศาจเป็นห่วงตัวเองเสียหน่อย เรื่องของเจ้ากับซือหม่าหรุ่ยจะจัดการอย่างไร”
เซียวชินฟังแล้ว สีหน้าขรึมลงทันที
……
ต้ามั่ว
บรรยากาศภายในกระโจมอึมครึมเย็นเยียบ
สีหน้าของราชาต้ามั่วยังเจ็บปวดมากกว่าตอนที่เขาท้องเสียเสียอีก คล้ายถึงช่วงเวลาสำคัญในสุขาแล้วพลันถูกคนลากออกมาด้านนอกก็ไม่ปาน
แม่ทัพผู้หนึ่งลุกขึ้น เอ่ยด้วยเสียงไม่พอใจ “แม่ทัพจิวมั่วให้สัญญาเป็นมั่นเหมาะ บอกว่าจะเอาชนะราชสำนักเป่ยเฉินได้ วันนี้ศึกแรกก็พ่ายแพ้แล้ว ไม่ทราบว่าแม่ทัพจิวมั่วเตรียมตัวจะสำเร็จโทษตัวเองแล้วหรือยัง”
เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้จิวมั่วเหอกวาดตามองแม่ทัพผู้นั้นทีหนึ่ง ถามเสียงเย็นชา “แม่ทัพเฮ่อเหลียน ท่านพ่อของข้าเอ่ยว่าจะเอาชนะได้ภายในศึกเดียวอย่างนั้นหรือ”
แม่ทัพผู้นั้นพลันชะงักไป
ก็จริง วันนั้นที่จิวมั่วเหยียเอ่ยเพียงทำสัญญาทางทหารว่า หากไม่อาจนำหัวของเยี่ยเม่ยกลับมา ตีเมืองชายแดนเป่ยเฉินไม่แตก ถึงยอมตัดหัว เขาไม่ได้กำหนดเวลา
ทั้งไม่ได้บอกว่าหลังจากผ่านไปแล้วกี่ศึก
ราชาต้ามั่วโบกมือ เอ่ยปากเสียงดังว่า “พอแล้ว พอแล้ว เลิกเถียงกันเสียที เวลานี้หาใช่เวลาที่จะทะเลาะกันเอง”
เขาเจ็บปวดหัวใจ ความพ่ายแพ้อีกครั้ง ทำให้เหล่าทหารสูญเสียขวัญกำลังใจไปจนสิ้น
แม่ทัพเฮ่อเหลียนผู้นั้นนั่งลงอย่างไม่พอใจ
สีหน้าของจิวมั่วเหอเองก็ย่ำแย่มาก เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายต่างเห็นอีกฝ่ายขัดตา ถึงขั้นผูกความแค้นต่อกัน
ราชาต้ามั่วมองคนทั้งหมด เอ่ยถามว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ทัพจิวมั่วนำทัพด้วยตัวเองแล้วพ่ายแพ้กลับมา ทุกคนมีความเห็นอย่างไร พวกเราจะถอยทัพ หรือว่า…”
ครั้นราชาต้ามั่วเอ่ยคำนี้ออกมา แม่ทัพผู้หนึ่งลุกขึ้นทันที ทัดทานว่า “ท่านข่าน พวกเราไม่อาจถอยทัพเช่นนี้ ถึงแม่ทัพจิวมั่วจะพ่ายแพ้ แต่นั่นก็เพราะชาวภาคกลางเจ้าเล่ห์เพทุบาย เตรียมเชือกหนามเช่นนั้นไว้ เชือกเส้นเดียวจัดการกับพวกเราได้ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่อาจเล่นงานพวกเราได้อีกเป็นครั้งที่สอง”
“ท่านข่าน ข้าคิดว่าคำพูดนี้มีเหตุผล” แม่ทัพผู้หนึ่งลุกขึ้นมาสนับสนุน กล่าวเสริมต่อว่า “อีกอย่างศัตรูใช้แผนการเช่นนี้ แต่แม่ทัพจิวมั่วก็ตัดสินใจได้ทันการณ์ ตีฝ่าวงล้อมออกมา ทำให้พวกเราสูญเสียไม่มาก ข้ายังมั่นใจว่าแม่ทัพจิวมั่วมีความสามารถที่จะคว้าชัยได้”
แม่ทัพเฮ่อเหลียนผู้นั้นฟังมาถึงตอนนี้ก็นั่งไม่ติดอีก เขาลุกขึ้นอีกครั้ง แผดเสียงดัง “สูญเสียทหารสองหมื่นนาย ยังบอกว่าเสียหายไม่มากอีกหรือ ชีวิตบุรุษหนุ่มของต้ามั่วเรา ในสายตาเจ้าไม่มีค่าถึงเพียงนั้นเชียวหรือไง”
“เมื่อเกิดเป็นบุรุษต้ามั่ว การตายในสนามรบคือเกียรติยศของพวกเขา แม่ทัพเฮ่อเหลียนเป็นหัวหน้าทหาร ไม่รับรู้บ้างหรืออย่างไร” คนที่ย้อนถามกลับไปก็คือจิวมั่วเหยีย
แม่ทัพเฮ่อเหลียนแค่นเสียงเย็นชา ตอบกลับไปเสียงดังว่า “นั่นก็ต้องดูว่าตายอย่างไร ทิ้งชีวิตออกไปโดยเสียเปล่า ข้าเห็นว่าไม่คุ้มค่าเลยสักน้อย”
ยามนี้จิวมั่วเหอมองแม่ทัพเฮ่อเหลียนคำรบหนึ่ง เอ่ยถามว่า “ดังนั้นคำพูดนี้ก็หมายความว่า แม่ทัพเฮ่อเหลียนใจเสาะ คิดเก็บหางหนีกลับต้ามั่วแล้วใช่ไหม”
“ข้า…” สีหน้าแม่ทัพเฮ่อเหลียนพลันเขียวคล้ำขึ้นมาแล้ว
เขาไม่ทุ่มเถียงกับจิวมั่วเหอให้มากความอีก หันหน้ากลับไปประสานมือคารวะราชาต้ามั่ว “ท่านข่าน เยี่ยเม่ยผู้นั้นเจ้าเล่ห์เพทุบาย แม้แต่แม่ทัพจิวมั่วเหอผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ ยังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบใต้เงื้อมือนาง กอปรกับเป่ยเฉินอี้เดินทางมาถึงชายแดนแล้ว ข้าคิดว่าหากยามนี้พวกเรายังทำศึกต่อไป เป็นความคิดที่โง่เขลา ข้าน้อยขอให้ท่านข่านถอยทัพ”
เมื่อแม่ทัพเฮ่อเหลียนเอ่ยคำพูดนี้ออกมา นั่นคือคำพูดในใจของราชาต้ามั่ว ความจริงตัวเขาคิดถอยทัพแต่แรกแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครเห็นด้วย
ราชาต้ามั่วคิดโอนอ่อนผ่อนตาม
จิวมั่วเหอกลับลุกขึ้น ประสานมือคารวะ “ท่านข่าน ข้าได้ยินว่าก่อนนำทัพออกศึก ท่านเคยประกาศต่อหน้าชาวต้ามั่วไว้ หากตีชายแดนเป่ยเฉินไม่แตก จะไม่กลับเด็ดขาด หากเวลานี้กลับไป ท่านข่านจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“ข้า…” ราชาต้ามั่วมองหน้าจิวมั่วเหอชะงักไปพูดไม่ออก ในฐานะราชา เขาย่อมต้องรักษาหน้าไว้ การตบหน้าตัวเองแค่คิดก็ปวดใจแล้ว
ไม่ช้า
จิวมั่วเหอก็เอ่ยต่ออีกว่า “ครั้งนี้แพ้ศึก ข้ายินยอมรับการลงโทษจากท่านข่าน และขอให้ท่านข่านให้โอกาสข้าอีกครั้ง”
ยามเขาเอ่ยขอออกมา แววตาของราชาต้ามั่วสุขุมลงไปหลายส่วน
เขาเชื่อมั่นในความสามารถของจิวมั่วเหอ อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของต้ามั่ว อีกทั้งความจริงราชาต้ามั่วก็ไม่ยินยอมแพ้เช่นนี้ หากครั้งนี้จิวมั่วเหอออกโรงยังไม่อาจยึดภาคกลางได้ อย่างนั้นชั่วชีวิตเขาก็แทบไม่มีโอกาสยึดครองภาคกลางได้แล้ว
ดังนั้นเขายังคิดเสี่ยงดูสักครั้ง
หลังจากครุ่นคิดชั่วครู่ ราชาต้ามั่วถามว่า “จิวมั่วเหอ เจ้ามั่นใจจริงๆ หรือว่าจะเอาชนะเยี่ยเม่ยได้”
“ท่านข่าน นี่คือวังวนกับดัก หากพวกเราไม่รีบถอยออกมาตั้งแต่เนิ่นๆ ก็มีแต่ยิ่งตกหลุมพรางลึกลงไปเท่านั้น” แม่ทัพเฮ่อเหลียนรีบเอ่ยประโยคนี้ออกมา ในใจคาดหวังเหลือเกินว่า ราชาต้ามั่วจะได้สติเสียที
สิ้นเสียงเขา
ด้านนอกมีนายทหารวิ่งเข้ามา ส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้แม่ทัพเฮ่อเหลียน
แม่ทัพเฮ่อเหลียนเปิดอ่านรอบหนึ่ง สีหน้าปรากฏความยินดี “ท่านข่าน มีโอกาสเอาชนะเยี่ยเม่ยแล้ว”