เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 19
คนผู้นั้นหน้าซีดขาวในฉับพลัน ท่านอ๋องเพียงให้เขาติดตามแม่นางผู้นี้ ยังไม่ได้ให้เขาเอาชีวิตเข้าแลก ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ไม่สมเหตุสมผล ทั้งเขายังต้องกลับไปรายงานอีก
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาตัดสินใจแน่วแน่ยืนอยู่ที่เดิม ไม่กล้าก้าวออกไปโดยพลการ
อย่างไรก็เป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนมา เวลานี้ยังไม่ตื่นกลัวจนตัวสั่น
เขาใช้ความคิด มองเงาหลังเยี่ยเม่ย ประสานมือเอ่ย “แม่นาง ข้าหาได้มีเจตนาร้าย ท่านอ๋องของข้ารู้สึกว่าแม่นาง…”
เขายังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ถูกเยี่ยเม่ยตัดบท
เยี่ยเม่ยไม่มีเวลามาฟังเขาพร่ำวาจาไร้สาระ นางไม่หันกลับไป เพียงส่งเสียงเย็น “ข้าไม่สนใจว่าท่านอ๋องของพวกเจ้าเป็นใคร ไม่สนใจว่าทำไมเจ้าถึงสะกดรอยตามข้ามา ยิ่งไม่ใส่ใจว่าพวกเจ้ามีเจตนาร้ายหรือไม่ ข้าขอแนะนำว่าเจ้ารีบกลับไปเสียตอนนี้ หากเจ้าดึงดันจะอยู่ต่อเพื่อเป็นการเพิ่มดวงวิญญาณใหม่ให้ยมโลก ข้าก็ไม่คัดค้าน”
นางท่องอยู่ในวงการมาหลายปี ต่อให้เป็นในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ก็ไม่มีใครกล้าสะกดรอยตามนาง
เมื่อนางเอ่ยคำนี้ออกไป คนผู้นั้นนิ่งเงียบทันที
เขาเพียงใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ หลังจากประเมินผลดีผลร้าย ตัดสินใจตอบว่า “ในเมื่อแม่นางไม่ชอบ อย่างนั้นข้าน้อยขอตัวกลับไปรายงาน ขอให้แม่นางอย่าได้ตำหนิ”
เมื่อไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม อย่างนั้นก็อย่าได้ล่วงเกินเป็นการชั่วคราวก่อนถึงจะถูก
เขาพูดจบก็หมุนกาย เตรียมจากไป
คิดไม่ถึงว่าก้าวออกไปสองก้าว เสียงของเยี่ยเม่ยกลับดังมาจากด้านหลัง “หยุด”
เขาชะงักฝีเท้าลง สีหน้าแข็งขืน ทำเป็นสงบนิ่ง ทว่าเหงื่อชุ่มแผ่นหลัง “แม่นางคิดเปลี่ยนใจหรือ”
คราวนี้นางไม่อยากให้เขามีชีวิตกลับไปแล้ว
เยี่ยเม่ยหัวเราะ น้ำเสียงยังคงเย็นชาเหมือนเดิม “เปลี่ยนใจ ชั่วชีวิตของข้าไม่มีคำนี้ เจ้าก็ไม่มีค่าพอให้ข้าเปลี่ยนใจ เจ้าสะกดรอยข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้าไว้ชีวิตเจ้า เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าสมควรขอบคุณที่ข้าไม่ฆ่าเจ้า”
เขามุมปากกระตุก
ใคร่ครวญดูแล้ว เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้ อย่างไรเสียงพวกลูกกระจ๊อกสะกดรอยตามในยุทธภพเมื่อถูกพบ ปกติผู้ถูกสะกดรอยมักฆ่าทิ้งไม่ให้เห็นแสงตะวันอีก
เขาแอบปาดเหงื่อบนหน้าผาก เอ่ยปากถาม “อย่างนั้นแม่นางหมายความว่า…”
เยี่ยเม่ยสีหน้าเย็นเยือก เอ่ยเสียงเย็นชาต่อไป “ความหมายของข้าง่ายดายเป็นอย่างมาก ใช้เงินซื้อชีวิต เจ้าเอาเงินทั้งหมดในตัวมอบออกมา ก็จากไปได้แล้ว”
นางเอ่ยจบก็ค่อยๆ ยื่นมือออกไปตรงๆ ไม่หมุนกายกลับไป ซ้ำไม่หันหน้ามอง รอคนด้านหลังส่งมอบเงินออกมา
ยามนี้นางไม่มีเงินติดตัวเลย เขาส่งเงินให้ก็ดี
คนผู้นั้นกระตุกมุมปาก กลัวจะเอาชีวิตไม่รอด และไม่กล้าปฏิเสธ รีบล้วงถุงเงินในตัวออกมา โยนลงใส่มือเยี่ยเม่ยอย่างแม่นยำ “แม่นาง ข้าน้อยเป็นแค่บ่าวชั้นล่าง มีเงินเล็กน้อยแค่นี้เท่านั้น…”
เขาอยากร้องไห้อยู่ในใจ
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ตนได้รับคำสั่งให้สะกดรอยตามเท่านั้น คนเหมือนจะหายไปแล้ว ซ้ำยังเสียเงินที่ตนสะสมมาค่อนชีวิตอีก แม่นางผู้นี้มีชาติกำเนิดมาจากรังโจรใช่หรือไม่
เยี่ยเม่ยรับถุงเงินอีกฝ่ายมา คร้านจะเขามองสักแวบหนึ่ง
นางในโลกก่อนฆ่าคนสักคนหนึ่ง ก็ได้เงินก็ได้เงินสิบล้านร้อยล้าน เงินน้อยนิดแค่นี้ไม่อยู่ในสายตานาง
เพียงตอบกลับเสียงเย็นชา “เตือนท่านอ๋องของพวกเจ้าซะ ขอเพียงเขายังอยู่ในเมือง ข้าก็สามารถหาตัวเขาพบได้ ข้าไม่มีเงินใช้จะไปหาเขา ให้เขาชดใช้ค่าทำขวัญที่ข้าถูกสะกดรอยตาม ยังมีอีกข้ามีค่าสูงส่งควรเมือง ล้ำค่ายิ่งนัก หากไม่อยากตายก็ให้เขาเตรียมเงินมากหน่อย”
หลังจากเอ่ยจบ ไม่ทันรอให้คนด้านหลังตอบกลับ นางก็แบกคนจากไป
หากต้องการเงินค่อยไปหาท่านอ๋องผู้นั้น หากไม่ต้องการเงินก็ไม่จำเป็นต้องไปแล้ว
บ่าวผู้นั้นมุมปากกระตุกอีกครั้ง มองตามเยี่ยเม่ยที่เดินไกลออกไป ในใจยิ่งจนคำพูด นี่พวกเขาไปหาเรื่องคนประเภทไหนกันแน่ นางเอาเงินทั้งหมดของเขาไปยังไม่พอ มิหนำซ้ำยังข่มขู่ไปถึงท่านอ๋อง
นางยังพูดอะไรอีกนะ นางมีค่าควรเมือง ล้ำค่ายิ่งนัก
เขาไม่คิดมากความอีกแล้ว รีบกลับไปรายท่านอ๋องอย่างรวดเร็ว
ทว่าเดินไปไม่กี่ก้าวก็พบคนของพวกเขา ผู้มาเอ่ยว่า “ท่านอ๋องสั่งการแล้ว ต้องติดตามแม่นางผู้นั้นไว้ ไม่อาจให้นางหนีไปได้ นาง…แล้วคนล่ะ”
“นาง…ช่างเถอะ ข้ากลับไปรายงานท่านอ๋องเอง” เขาจวนจะร้องไห้ออกมาแล้ว รู้สึกว่าตัวเองจบเห่แน่
……
เยี่ยเม่ยแบกคนขึ้นบ่า เดินไปได้หลายลี้ ไกลออกไปมีภูเขาเล็กลูกหนึ่ง
นางสาวเท้ายาวแบกคนขึ้นไป หาถ้ำสักแห่งบนภูเขานั้น
นางแบกคนเข้าถ้ำ วางคนไว้ภายใน ใช้กิ่งไม้ติดไฟ ไม่ไกลจากถ้ำหินมีตาน้ำแห่งหนึ่ง
เวลานี้นางเห็นเขานอนไม่ขยับเขยื้อน อาการยังดูเป็นปกติดี ทั้งกวาดตาสำรวจเสื้อผ้าบนร่างเขา ดูสกปรกมอมแมม มีแค่บริเวณชายเสื้อเท่านั้นที่สะอาด นางฉีกส่วนนั้นออก
จากนั้นเดินออกจากถ้ำหิน ใช้ผ้าซับน้ำก่อนเดินกลับมาข้างคนผู้นั้น เช็ดใบหน้าเปรอะเปื้อนของเขาจนสะอาด
หลังจากเช็ดแล้ว เยี่ยเม่ยถึงกับชะงักไป
เด็กคนนี้…
น่าจะนับว่าเป็นเด็กนะ ใบหน้ามองแล้วราวหยกสลัก ไร้เดียงสาอ่อนต่อโลก คล้ายผลงานชิ้นเอกของสรวงสวรรค์ งดงามทั่วทั้งสามร้อยหกสิบองศา วิจิตรเกินเปรียบหาจุดด้อยไม่ได้เลยสักน้อย
แต่เมื่อคิดถึงดวงตาเจนโลกคู่นั้น ทำให้เยี่ยเม่ยคาดเดาอายุของเขาไม่ออก ไม่รู้ว่าเขาโตแค่ไหนแล้ว
ใบหน้าสวยงามขนาดนี้ เม่ยเซียงเก๋ออะไรนั่นต้องตา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ในขณะที่คิดอยู่นั่น เขาพลันเริ่มชักกระตุกขึ้นมาอีก ใบหน้าแดงเพราะความร้อน เขาคล้ายอยากฉีกทึ้งเสื้อผ้าตนเองออก ทว่ายังอดกลั้นไว้อย่างสับสน ดึงทึ้งตรงทรวงอกไว้ไม่ได้สติ
เยี่ยเม่ยกวาดสายตาเย็นชาไปที่ร่างเขา เสื้อผ้าเขาสกปรกก็จริง แต่ไม่มีร่องรอยเลือด ทั้งไม่มีบาดแผลภายนอก
เยี่ยเม่ยแตะใบหน้าเขาตรวจดู ร้อนมาก
ปฏิกิริยาเช่นนี้…
คล้ายถูกยากระตุ้นกำหนัด
นางลังเลอยู่ชั่วครู่
ดึงเขาขึ้นจากพื้น ปล่อยคนลงไปแช่ในบ่อน้ำโดยไม่ถอดเสื้อผ้า
แช่น้ำดูก่อน หากไม่ได้ผลค่อยคิดหาทางอื่น
หลังจากเขาแช่น้ำไปหนึ่งเค่อ[1] ความร้อนจากร่างคล้ายลดไปบ้าง ระยะเวลาการกระตุกค่อยๆ เปลี่ยนเป็นน้อยลง
เยี่ยเม่ยวางใจ ดูท่ายาปลุกกำหนัดไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต น้ำเย็นช่วยเขาควบคุมฤทธิ์ยาได้
ทว่าน้ำนี้เย็นมาก ช่วงนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ร่วงจวนเข้าฤดูหนาว แช่น้ำทั้งคืนเกรงว่าจะจับไข้
นางคิดไปคิดมา ลุกขึ้นหยิบเศษกิ่งไม้จำนวนมากจุดไฟข้างบ่อน้ำ ทำให้อากาศอุ่นขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้มีประโยชน์ไม่มาก ทว่าอย่างไรก็ยังพอมีประโยชน์บ้าง ดีกว่าฝืนทน
เมื่อจัดการเรื่องเหล่านี้หมด นางนั่งขัดสมาธิข้างบ่อ
ล้วงขนมเซาปิ่งที่ยังกินไม่หมดออกจากในเสื้อ กัดกินต่อไป…
……
“เตี้ยนเซี่ย พวกเราหามาค่อนคืนแล้ว ก็หาแม่นางผู้นั้นไม่พบ ท่านว่า…” อวี้เหว่ยยืนอยู่ด้านหลังองค์ชายสี่ เอ่ยปากอย่างระวัง
เตี้ยนเซี่ยออกตามหาแม่นางผู้นั้นด้วยตนเอง ก็ไม่พบคน คนใต้บัญชาของแม่ทัพหลี่ก็หาคนไม่พบแม้แต่เงา อย่างนี้จะได้หรือ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นสียงเย็นชา สายตาเย็นชาทว่ายังดูสง่างามดั่งเดิม เอ่ยแช่มช้า “ยิ่งเป็นคนที่มีคุณค่าก็ยิ่งหาได้ยาก สำหรับแม่นางที่งดงามผู้นั้น ยามนี้เยี่ยนมีความอดทนเต็มเปี่ยม เยี่ยนจะหานางให้พบ ต้องหาให้พบ”
อวี้เหว่ยนิ่งเงียบไปชั่วขณะ
ในขณะนี้เองคนชุดดำผู้หนึ่งรีบร้อนวิ่งเข้ามา
หลังจากมาถึงก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าเตี้ยนเซี่ย รีบเอ่ยอย่างกลั้นไม่อยู่ “เตี้ยนเซี่ย มีคนบอกว่าพบแม่นางผู้นั้นสั่งสอนพวกอันธพาลบนถนนหลายคน จากนั้นแบกคนผู้หนึ่งมุ่งไปยังทิศตะวันตก”
[1] หนึ่งเค่อ คือ สิบห้านาที