เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 194 เยี่ยนปลอบได้ง่ายมาก
เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ตกตะลึงเล็กน้อย
ไม่ช้า เขากลับพลิกตัวหันตะแคงขึ้นมา
มือข้างหนึ่งค้ำศีรษะเอาไว้ ปอยผมที่หน้าผากทำให้ใบหน้าสมบูรณ์แบบนั้นทวีความน่าชม ชวนหลงใหลขึ้นไปอีก ดวงตาร้ายคู่นั้นจ้องมองเยี่ยเม่ย เอ่ยเนิบๆ ว่า “ถึงเยี่ยนจะรู้ว่า ที่เจ้ายอมพูดจาน่าฟังเพราะว่าเจ้ายั่วโมโหข้า แต่ว่าอารมณ์ของเยี่ยนดีขึ้นมากแล้วจริงๆ”
เยี่ยเม่ย “…”
นางยอมรับก็ได้ว่าจากนิสัยของนางยากที่จะเอ่ยคำพูดชวนขนลุกเช่นนี้ ต่อให้มีความคิดจะเอ่ย ก็ได้แค่เก็บไว้พูดไม่ออก เพียงแต่ครั้นเห็นเขาโมโหแล้ว อืม..เกิดความว้าวุ่นอย่างเลี่ยงไม่ได้เท่านั้นเอง
ดังนั้นความในใจเป็นอย่างไร ก็เผยออกมาจนหมด
เห็นเยี่ยเม่ยไม่ตอบโต้ แสดงออกว่าเขาเดาถูก เป็นเพราะเขาไม่พอใจ นางถึงยอมเอ่ยคำพูดพวกนี้ ทว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่โกรธอีกแล้ว มืออีกข้างจับข้อมือหญิงสาวไว้
น้ำเสียงน่าฟัง ถามว่า “เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นไรแล้ว แต่หลังจากนี้พิษอาจกำเริบได้อีก ซือหม่าหรุ่ยจะช่วยเขาหายาถอนพิษ” พูดถึงซือหม่าหรุ่ย เยี่ยเม่ยรู้สึกซาบซึ้ง คิดไม่ถึงว่าเพราะนางรู้ข่าวของเซียวเซ่อหยาง อีกฝ่ายถึงยินยอมช่วยเหลือนางมากมายเช่นนี้
พูดถึงซือหม่าหรุ่ย สายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทอประกายวาวโรจน์ ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ดวงตาสงสัยมองเยี่ยเม่ย ถามว่า “เขาไม่เป็นไรแล้วเจ้าก็มาข้า หากเขาเป็นอะไรขึ้นมา วันนี้เยี่ยนคงไม่เห็นเจ้าใช่ไหม”
เยี่ยเม่ยชะงักอึ้งไป ใบหน้าน่ามองของเขาไม่มีความหึงหวงเลยสักน้อย ถึงกระทั่งไม่มีแม้แต่ความไม่พอใจ ชั่วขณะนั้นเยี่ยเม่ยเกิดความไม่มั่นใจว่า ที่เขาถามเช่นนี้ต้องการอะไรกันแน่
ในระหว่างที่นางเงียบ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับหัวเราะเบาๆ ออกแรงดึง เยี่ยเม่ยพลันเซล้มลงมาที่เตียงของเขา
ลมหายใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกระเถิบเข้ามากระชั้นชิดมาก
ใบหน้าหล่อร้ายปัดผ่านนวลแก้มของนาง เกิดเป็นบรรยากาศคลุมเครือขึ้นมา เขากระซิบเสียงเบา “ไม่เป็นไร ไม่ว่าเจ้าจะวางเขาไว้เป็นอันดับหนึ่ง หรือว่าวางเยี่ยนเป็นอันดับหนึ่ง ขอเพียงเจ้ายอมมา ก็เท่ากับพิสูจน์ว่าเจ้าห่วงใยเยี่ยนแล้ว เยี่ยนไม่เอาความเขาก็ได้”
การกระทำของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทำให้เยี่ยเม่ยหน้าแดง
เมื่อฟังคำพูดของเขา ในใจนางรู้สึกบอกไม่ถูก ถึงกระทั่งสำนึกเสียใจ เรื่องที่วันนี้นางเห็นจิ่วหุนมาเป็นอันดับแรก
“ข้า…” เยี่ยเม่ยคิดว่าสมควรอธิบายเสียหน่อยไหม ทว่าความจริงก็อยู่ที่นั่น หากจะอธิบายก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
หญิงสาวเงยหน้ามองชายหนุ่ม เห็นสีหน้าของเขาเป็นปกติดี ไม่มีร่องรอยของความโกรธเคือง
นางถามอย่างงุนงง “ท่านไม่โกรธแล้ว”
เขาแค่นเสียงเบาๆ โอบเอวของนาง น้ำเสียงทุ่มต่ำดังขึ้นข้างหู “เยี่ยนปลอบได้ง่ายมาก ไม่ว่าเวลาไหน ขอเพียงเจ้ายอมปลอบ แค่ปลอบก็หายแล้ว ใครใช้ให้เยี่ยนรักเจ้ามากกว่าเล่า”
ระหว่างเอ่ยคำพูดนี้ หว่างคิ้วของเขายังมีรอยยิ้ม ท่าทางอารมณ์ดีอย่างมาก
ถึงวันนี้จะโมโห แล้วยังเหลือความไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ในยามที่เอ่ยประโยคนั้นออกมา ทุกอย่างก็สูญสลายไปหมดสิ้น
……..
ประตูห้องเปิดค้างไว้
อวี้เหว่ยที่ยืนอยู่หน้าห้องได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่อย่างชัดเจน เขาปาดเหงื่อบนหน้าผากอย่างจนคำพูด ในใจคิดว่าเตี้ยนเซี่ยของตนช่างไม่ได้เรื่องเอาเสียเลยใจ หายโกรธง่ายๆ แบบนี้
เยี่ยเม่ยฟังคำเขา
ในใจกลับเกิดความสำนึกเสียใจอยู่เล็กๆ แอบสงสัยตัวเองว่า นางทำไม่ค่อยดีกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมากไปหรืเปล่า ดังนั้นเขาถึงไม่เรียกร้องอะไรเลย เย่อหยิ่งสักหน่อยก็ไม่มี ให้อภัยกันอย่างง่ายดาย
เยี่ยเม่ยเงยหน้า ยื่นมือออกไปลูบใบหน้าหล่อเหลานั้น
ทั้งยังเห็นอย่างชัดแจ้งว่า ภายใต้การกระทำของนาง มุมปากขององค์ชายสี่ยกยิ้มอ่อนๆ
ไม่ช้า เขาก็กุมข้อมือนาง ดึงมาประทับที่ริมฝีปากตน จูบปลายนิ้วของหญิงสาว
ลมหายใจอุ่นร้อน กระทบบนปลายนิ้ว
เยี่ยเม่ยยามนี้หน้าร้อนผ่าว กลับถามคำถามโง่ๆ ออกไป “ข้ามาปลอบ ท่านก็หายโกรธ หากข้าไม่ปลอบ ท่านจะตัดสัมพันธ์กับข้าไหม”
“ไม่”
เมื่อนางถาม เขาโต้กลับมาอย่างรวดเร็ว
แววตาร้ายกาจทอประกายมารสีแดง จ้องมองหน้านิ่งๆ ของหญิงสาว น้ำเสียงแหบพร่าน่าฟังของเขาดังขึ้นทีละคำ แฝงไปด้วยความขมขู่
“เยี่ยนยอมตัดความสัมพันธ์กับเจ้าไม่ได้ ทว่ายามเยี่ยนโมโหแล้วจะทำอะไรกับคนอื่น เยี่ยนไม่กล้ารับรอง อย่างตอนนี้เจ้าปกป้องจิ่วหุน มาหาเยี่ยนสักน้อยก็ไม่ได้ เยี่ยนได้แต่อาศัยยามค่ำคืนลอบสังหารเขา”
เยี่ยเม่ย “…ก็ได้”
นางมองเขาอย่างจนปัญญา “ท่านบอกเรื่องพวกนี้กับข้า ไม่กลัวว่าภายหน้าหากท่านไปลอบสังหารใครแล้ว ข้าจะสงสัยท่านหรือไง”
เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยื่นมือออกมาเกี่ยวปอยผมเยี่ยเม่ย ค่อยๆ อธิบายว่า “กลัวก็แต่ภายหน้าฮูหยินไม่สงสัยเยี่ยน วันนี้เยี่ยนถึงสารภาพออกมาตามตรง อีกจุดประสงค์ก็คือ หวังว่าฮูหยินจะจำไว้ ต่อให้เจ้าไม่ใส่ใจเยี่ยน แต่ก็ควรคิดแทนคนที่เจ้าห่วงใยบ้าง ต้องห่วงใยเยี่ยนบ้าง ความลำบากลำบนของเยี่ยน ฮูหยินเข้าใจหรือเปล่า”
“นี่ถือเป็นการขมขู่หรือไม่” เยี่ยเม่ยจ้องเขา
เขาก้มหน้ามองริมฝีปากเยี่ยเม่ย กดจูบลงไปอย่างหนักหน่วง ทิ้งร่องรอยจุมพิตเอาไว้ทำให้ริมฝีปากเยี่ยเม่ยวาวประกาย
เขาถึงเอ่ยด้วยความพอใจ “เรียกว่าขมขู่ได้อย่างไรกัน กลับเป็นการพิสูจน์ว่าเยี่ยนจริงใจกับฮูหยิน เจ้าถามอะไร เยี่ยนก็ตอบตามนั้น ความจริงใจสุกสกาวราวจันทร์พราวแสงบนฟากฟ้า”
เยี่ยเม่ย “ตอนนี้ข้ารู้สึกว่า นับวันท่านยิ่งยากคาดเดาขึ้นไปทุกทีแล้ว”
เมื่อก่อนรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้ไม่ธรรมดา ทว่าความไม่ธรรมดาของเขาไม่เคยใช้กับตัวนาง นับตั้งแต่แรกเกรงว่าเพื่อแกล้งนาง เขาถึงได้ดีกับนางนักหนา
ตอนนี้…
โฉมหน้าที่แท้จริงปรากฏออกมาทีละชั้นๆ เยี่ยเม่ยยังรู้สึกตกใจ
มีคนแบบนี้ที่ไหนกัน หากเจ้าไม่ห่วงใยข้า ข้าจะจัดการคนที่เจ้าห่วงใยซะ
นี่มันแนวคิดประเภทไหนกันแน่
เยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกุมมือนางวางไว้บนอกเขา ให้นางรับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ
ไม่ช้า น้ำเสียงน่าฟังก็ค่อยๆ ดังขึ้น “ความคิดของเยี่ยนนับว่าง่ายมาก เจ้ายื่นมือออกมาตรวจสอบดูก็รับรู้แล้ว เยี่ยเม่ย เจ้าเข้าใจไหม การรักเจ้าสำหรับเยี่ยนเป็นเรื่องที่เข้าใจได้อย่างง่ายดายมากที่สุด วันนี้ข้าบอกคำพูดนี้ออกไป ไม่มีเท็จ ไม่ล้อเล่น ทุกๆ คำคือความจริง”
ก็เพราะทุกคำคือความจริง ดังนั้นความคิดของเขา จึงไม่อาจเข้าใจได้ง่ายดายไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ที่เขาตรงไปตรงมาเปิดเผย ก็เพราะเขารักมากกว่า ดังนั้นจึงปลอบได้ง่าย ขอเพียงนางเอ่ยแค่คำเดียว เขาก็ไม่โกรธแล้ว
เขาแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา หากนางไม่ปลอบเขา เขาจะไปคิดบัญชีกับคนที่นางห่วงใย
ในเมื่อง่ายดายถึงเพียงนี้ ไฉนถึงบอกว่ายากคาดเดาขึ้นไปทุกทีเล่า
ไม่ว่าพูดอย่างไร…
ในด้านความรู้สึก คนที่ชัดเจนและตรงไปตรงมามากที่สุดก็คือเขา กลับเป็นนางเสียอีกที่ทำเรื่องราวซับซ้อนวุ่นวาย
“ข้าเข้าใจแล้ว” เยี่ยเม่ยพยักหน้า
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันจูบนาง ลมหายใจร้อนระอุ “ฟ้ามืดแล้ว ไม่สู้คืนนี้เจ้ารั้งอยู่ที่นี่เถอะ”