เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 21
รถม้าวิ่งมาทางนางด้วยความเร็ว ด้านหลังมีองครักษ์กระจายกำลังติดตามมาเป็นจำนวนมาก
ยามราตรีพวกเขากลุ่มนี้เดินทางอย่างเร่งร้อน คล้ายกับเร่งรีบ
เยี่ยเม่ยเพิ่งตัดสินใจหลบให้ทาง ใครจะรู้ว่าคนที่บังคับม้าเห็นคนผู้หนึ่งในความมืดอยู่ด้านหน้าพอดี เขาไม่พูดไม่จา ยกมือสะบัดแส้ม้าฟาดใส่เยี่ยเม่ย
พร้อมกับตวาดด่าเสียงดัง “ชนชั้นต่ำที่ใด กล้ามาขวางทาง!”
แส้ม้าไม่โอนเอนไปทางอื่น ตรงมาที่ใบหน้าเยี่ยเม่ยพอดี
เยี่ยเม่ยนัยน์ตาวาวเป็นประกาย มองคนขับรถม้าด้วยความเย็นชา เสี้ยวพริบตานั้นแส้ม้าของอีกฝ่ายก็ฟาดเข้าหน้านาง
บรรดาองครักษ์ด้านหลังรถม้าเห็นเหตุการณ์ ต่างเหงื่อแตกพลั่กแทนเยี่ยเม่ย หากแส้นี้ฟาดถูกใบหน้า รับรองว่าต้องเสียโฉมแน่แล้ว
ใครจะรู้ว่าในเวลาเดียวกันนี้ เยี่ยเม่ยยื่นมือออก
เรียวมือขาวเนียนกำเบาๆ
แส้ม้าอันทรงพลังรวดเร็วเข้ามาอยู่ในมือนางอย่างนุ่มนวล สีหน้านางสงบนิ่ง กำแส้อยู่ในมือ มือนั้นไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่น้อย
ถัดมา แววตาของนางฉายแววเย็นชาทะลุทะลวงออกมา เยี่ยเม่ยดึงอย่างแรง
คนขับรถม้าที่จับปลายแส้อีกฝั่งถูกพละกำลังของนางกระชากลากตกลงจากรถม้า
“โอ๊ย” เสียงร้องขึ้น คล้ายกับก้อนปฏิกูลของสุนัขร่วงหล่นลงสู่พื้น
คนขับรถตกลงพื้น รถม้าขาดคนควบคุม ม้าวิ่งตรงไปด้านหน้าอีกสองก้าวอย่างไร้ทิศทางชนก้อนหินยักษ์ รถม้าสั่นสะเทือนเป็นการใหญ่ นิ่งหยุดลง
ห้วงเวลานี้บรรยากาศพลันเงียบสงัดลง
คนทั้งหมดมองเยี่ยเม่ย ทุกคนต่างหวาดกลัวอยู่ในใจ รถม้าของเตี้ยนเซี่ยถูกทำให้หยุดลงเช่นนี้ ก็ช่างเถอะ ที่สำคัญแรงสั่นสะเทือนรุนแรงนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เตี้ยนเซี่ยถูกกระแทกหรือเปล่า…
เยี่ยเม่ยไม่มีอารมณ์สนใจเรื่องพวกนี้ ทั้งยังคร้านจะมองรถม้าสักแวบหนึ่ง
มือกำแส้เอาไว้ ออกแรงสะบัด ฟาดใส่คนขับรถม้าเต็มแรง เสียงเย็นชา “วันนี้ข้าอารมณ์ดี สอนให้เจ้ารู้ว่าแส้ต้องใช้แบบนี้”
คนที่อยู่ดีไม่ว่าดีชิงลงมือทำร้ายนางก่อน ชีวิตประเภทนี้ต่อให้ไม่มีคนจ่ายเงิน นางก็ยินดีกำจัดทิ้ง
เพียะ!
เพียะ!
“อ๊าก…”
แส้ฟาดลงไปหลายครั้ง เสียงร้องน่าอนาถไม่ดังอีก
เยี่ยเม่ยมองคนขับรถม้าด้วยความเย็นชา กระแสเสียงเย็นเยียบ “ใต้หล้านี้ไม่มีใครกล้าลงมือกับใบหน้าข้ามาก่อน ความกล้าหาญของเจ้า ทำให้ข้ารู้สึกว่าสมควรมอบรางวัลให้ยิ่งนัก นี่คือวิธีใช้แส้ขนานแท้ เจ้าเรียนรู้ไว้ให้ดี”
ระหว่างคำพูดนี้ก็ฟาดแส้ลงไปอีกหลายครั้ง ฟาดคนขับรถม้าจนไม่เหลือสารรูปเดิมอีก
เหล่าองครักษ์ในเหตุการณ์เห็นนางลงมือฟาดคนคล้ายรอบด้านไม่มีใครอยู่ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาชั่วครู่ ทุกคนต่างก็ตะลึงอึ้งไปแล้ว ลืมวิ่งเข้าไปห้ามปราม
ในเวลานี้เองม่านรถม้าเปิดออก
บุรุษหนุ่มสวมอารมณ์ผ้าต่วนยาวสีครามลงจากรถม้า เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา ทว่าการลงมือทำร้ายคนยังไม่หยุด
บุรุษหนุ่มผู้นี้ดูหล่อเหลาเกินคนทั่วไป ในดวงตาคมมีความเฉียบขาดที่ทำให้คนไม่อาจดูแคลน คล้ายกับคนที่ได้รับการพะเน้าพะนอเอาใจมายาวนาน ทำให้เขาอยู่สูงส่ง แผ่ความหยิ่งยโสเกินคนธรรมดาออกมา
เขาท่วงท่าสง่างาม หลังจากลงรถม้าแล้ว
เดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงข้างกายเยี่ยเม่ย
ในขณะที่เยี่ยเม่ยลงมือฟาดแส้ เขาพลันยื่นมือออกกำแส้นั้นไว้
แต่เขาคิดไม่ถึงว่า แรงที่นางใช้ลงมือกลับหนักหน่วงปานนี้ ถึงเขากุมแส้เอาไว้ได้ ง่ามนิ้วโป้งยังถูกฟาดจนชา
นี่ทำให้แววตาของเขาลุ่มลึกลง สีหน้าค่อยเปลี่ยนไป
เขาใช้สายตาสูงส่งมองเยี่ยเม่ย น้ำเสียงทุ้มต่ำเตือนว่า “แม่นาง ปล่อยคนได้ก็ปล่อยคนเถอะ”
สิ้นเสียงเขา
เยี่ยเม่ยปล่อยแส้ในมือ นิ้วมือเรียวขาวหมุนทีหนึ่ง มีดสั้นในแขนเสื้อพุ่งด้วยความเร็วดุจลมกรดแทงใส่บุรุษหนุ่มชุดผ้าต่วน
บุรุษหนุ่มเห็นดังนี้ นัยน์ตาวาววาบ
ร่นถอยหลังอย่างว่องไว เดิมคิดว่ามีดสั้นจะพุ่งใส่ตนเท่านั้น คิดไม่ถึงว่ามีดสั้นภายใต้แรงควบคุมของนาง เกิดเป็นภาพมายากลางอากาศ รวดเร็วจนคนมองไม่เห็น พุ่งโจมตีเขามาจากทั้งสี่ทิศแปดด้าน
มีดสั้นมีเล่มเดียว ทว่าเป็นภาพมายาทั่วสารทิศ ทำให้คนคาดการไม่ถูกว่ามีดสั้นของจริงพุ่งมาจากทิศทางใด
บุรุษหนุ่มสีหน้าหนักลง รีบเบี่ยงกาย หลบมีดสั้นจากทุกทิศทางด้วยความระวัง
จากนั้น
ฉึก! เสียงหนึ่งดังขึ้น
ถึงเขาไม่บาดเจ็บ ทว่ามีดสั้นแทงเสื้อตรงบ่าขาดแล้ว มีดสั้นหมุนกลับสู่มือเยี่ยเม่ยด้วยความเร็ว
“เตี้ยนเซี่ย” สีหน้าของเหล่าองครักษ์แตกตื่น คิดวิ่งเข้ามาคุ้มกัน
บุรุษหนุ่มยกมือขึ้นส่งสัญญาณว่าไม่ต้องขยับ สายตาเย็นเยือกมองเยี่ยเม่ย
เขายังไม่ทันเอ่ยปาก น้ำเสียงเย็นชาของเยี่ยเม่ยชิงดังขึ้นก่อน “ลืมบอกเจ้าไปเลย แส้เป็นแค่ของเล่นยามว่างของข้าเท่านั้น มีดสั้นถึงเป็นอาวุธหลัก แน่นอนว่าข้ายังมีอาวุธที่ใช้ได้ดีกว่าอีกก็คือพัดกับธนู เจ้าอยากลองหรือไม่”
นางเอ่ยคำพูดนี้ออกไป บรรยากาศรอบด้านเงียบสงบ
แส้กับมีดสั้นของนางมีอำนาจคร่าชีวิตอย่างร้ายแรงแล้ว หากพัดกับธนูใช้ได้ดีกว่านี้จริง นั่นคือระดับอันใดกัน
โดยเฉพาะเวลานี้บ่าของนางยังแบกคนไว้ผู้หนึ่ง ใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยังปราดเปรียวได้ขนาดนี้…
แต่เมื่อมองใบหน้างดงามของนาง สีหน้าลำพอง คล้ายกำลังบรรยายเรื่องจริง ไม่มีเค้าโอ้อวดเลยสักน้อย คนทั้งหมดเข้าใจในบัดดลว่า คำพูดของนางเป็นความจริง
บุรุษชุดต่วนหน้าตาเย็นชา สีหน้ายังเย่อหยิ่งไม่เก็บงำ มองเยี่ยเม่ย “แม่นางเป็นยอดฝีมือ แต่…”
“ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นยอดฝีมือ ก็แสดงท่าทางของเจ้าให้ดีหน่อย” เยี่ยเม่ยหน้านิ่ง เก็บมีดสั้นลงในแขนเสื้อ “ข้าไม่ชอบสายตาดูถูกคนของเจ้า เป็นเจ้าที่ขอให้ข้าไม่ตีเขาอีก ไม่ใช่ข้าขอร้องเจ้า”
นางเอ่ยคำนี้ออกมา คนทั้งหมดในที่นี่ต่างสูดลมหายใจลึก
นางพูดอะไรกัน เตี้ยนเซี่ยขอร้องนางอย่างนั้นหรือ
ทว่าใครจะรู้ว่าเมื่อบุรุษหนุ่มได้ฟังคำของนาง ชะงักไปชั่วครู่ พลันเปลี่ยนท่าทาง
เขาค่อยๆ คลี่ยิ้ม เสียงสดใส “ก็แค่บ่าวไพร่คนหนึ่งเท่านั้น หากแม่นางคิดฆ่าเขาเพื่อระบายอารมณ์ก็ฆ่าเถอะ ข้าไม่ใส่ใจ แม่นางฝีมือสูงล้ำ ข้ารู้สึกเลื่อมใสมาก ไม่ทราบว่าแม่นางจะไว้หน้าเป็นสหายกับข้าได้หรือไม่”
เห็นเขาเกือบถูกนางทำร้าย กลับเปลี่ยนท่าทีเป็นดีขึ้น เยี่ยเม่ยค่อยคลายโทสะลงบ้าง ส่วนเรื่องคบเป็นสหาย นางไม่สนใจ
เมื่อเรื่องกลับตาลปัตรไปเช่นนี้ เยี่ยเม่ยมองคนขับรถม้าทีหนึ่ง
ยามนี้ก็ไม่มีอารมณ์ฆ่าคน เพียงแต่เตือนเสียงเย็นว่า “ภายหน้าออกจากบ้านอย่าลืมพกตาออกมา แล้วก็หัดพูดจาให้มันดีๆ จำไว้ว่า ใต้หล้านี้ไม่มีคนชั้นต่ำที่สง่างามเช่นข้า ข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายเจ้าเผยกลิ่นอายพวกชั้นต่ำไม่รู้จักประมาณออกมา หากแส้ของเจ้าทำร้ายรูปโฉมงดงามจนทำให้คนหลงใหลของข้า ต่อให้เจ้าพยายามชดใช้อีกร้อยชาติก็ชดใช้ไม่หมด”
นางพูดจบก็หมุนกายจากไป
คนทั้งหมด “…?”
บุรุษหนุ่มชุดต่วนได้ฟัง มุมปากกระตุก
ยามนางโอ้อวดตนเองด้วยท่าทางเป็นจริงเป็นจังทำให้คนคิดอยากเสียดสียังพูดไม่ออก ถึงนางจะรูปงามจริง แต่ว่า…ออกจะมั่นใจในตัวเองไปหน่อยหรือเปล่า
เยี่ยเม่ยก้าวออกไปสองก้าว แบกคนกินแรงเกินไปแล้ว
บุรุษหนุ่มผู้นั้นก็ไม่คิดให้นางจากไปง่ายๆ เอ่ยปาก “แม่นาง…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ
เยี่ยเม่ยก็หันหน้ากลับมา เดินไปยังรถม้าของเขา ไม่ใส่ใจว่าเขาคิดพูดอะไร เพียงเอ่ยเสียงเย็นชา “พวกเจ้าลงมือทำร้ายข้า เพื่อเป็นการชดใช้ รถม้าของพวกเจ้า ข้าขอริบไว้ เจ้าเดินต่อไปเองแล้วกัน”