เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 215 เยี่ยเม่ยมีพลังธาตุบุปผาที่ในรอบสามร้อยปีจะพบสักคนหนึ่ง
- Home
- เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]
- ตอนที่ 215 เยี่ยเม่ยมีพลังธาตุบุปผาที่ในรอบสามร้อยปีจะพบสักคนหนึ่ง
“คู่หมั้นหรือ” กูเยว่อู๋เหินเงยหน้ามองซินเยว่เยี่ยน
ดวงตาเรียบเฉยของเขาคล้ายกับภูเขาน้ำแข็งที่หมื่นปีไม่ละลาย จ้องมองซินเยว่เยี่ยนด้วยความสงบ
มองเสียจนซินเยว่เยี่ยนรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ ทว่ายังฝืนเอ่ยอย่างหนักแน่น “ถูกแล้ว ถึงข้าจะเป็นลูกน้องท่าน แต่ข้าก็ยังเป็นพี่สาวบุญธรรมของท่านด้วย มีคำกล่าวว่าพี่สาวเหมือนมารดา ดังนั้นเรื่องแต่งงาน ท่านต้องเชื่อฟังข้า จริงสิ นางต้องการสมุนไพรสามชนิด ก็คือสมุนไพรสามชนิดท่านเก็บไว้ในหอเทียนจีพอดี หากไม่มีปัญหาอะไร ท่านส่งให้นางเป็นของขวัญพบหน้าแล้วกัน”
กูเยว่อู๋เหินเงียบอยู่สักพัก ก็วางจอกสุราในมือลง
น้ำเสียงสงบราบเรียบของเขาคล้ายลมอ่อนพัดผ่านดวงจันทร์ น่าฟังทว่าจับต้องไม่ได้ “ข้าเคยบอกแล้วว่า ความเด่นล้ำของกูเยว่ ใช่ว่าคนธรรมดาจะอาจเอื้อมได้ ท่านพี่สมควรทราบ กบไม่อาจอยู่ในทะเลได้ ไฉนต้องบีบบังคับด้วยเล่า”
ซินเยว่เยี่ยนถลึงตาใส่เขา “เจ้ายังไม่เคยพบผู้อื่น รู้ได้อย่างไรว่านางเป็นกบเล่า”
นางรู้มาตลอดว่า น้องชายผู้นี้สายตาสูงส่ง ทว่ายังไม่ทันพบหน้าก็ตัดสินแล้ว ออกจะพลการเกินไปหน่อยหรือเปล่า ซินเยว่เยี่ยนเห็นด้วย อู๋เหินเป็นเสมือนแสงจันทร์เหมือนมหาสมุทร แต่ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเม่ยก็หาใช่กบในบ่อกระมัง
เห็นท่าทางโมโหโทโสของซินเยว่เยี่ยน กูเยว่อู๋เหินก็ถอนสายตากลับ
สีหน้ามองไม่เห็นถึงอารมณ์ใดๆ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ในเมื่อท่านพี่ยืนหยัดถึงเพียงนี้ พบหน้าสักครั้งก็ได้”
“อย่างนั้น…” ซินเยว่เยี่ยนสีหน้ายินดี รู้สึกว่าตัวเองสามารถจัดการได้ในทันที
จากนั้น
กูเยว่อู๋เหินกวาดตามองนาง เอ่ยถามเสียงเบาว่า “แต่ว่าพบหน้าตอนไหน ด้วยวิธีอะไร ข้าจะเป็นคนกำหนดเอง”
“ข้า…” ซินเยว่เยี่ยนคิดโต้แย้ง แต่เมื่อเห็นว่า กูเยว่อู๋เหินเอ่ยจบแล้ว มีท่าทางไม่อยากสนทนาต่อไปอีก ก็เข้าใจว่าหากนางพูดมากต่อไป เขาจะไม่อดทนอีก เกรงว่าการพบหน้าอาจจะไม่สำเร็จ
ด้วยเหตุนี้นางจึงพยักหน้า “งั้นก็ดี แต่เจ้าต้องรีบหน่อย แม่นางผู้นั้นยังมีเรื่องที่บ้านอีก”
หึๆ แต่งเรื่องหลอกอู๋เหินไปก่อน ให้เขาหลงคิดว่าเยี่ยเม่ยตั้งใจมาดูตัว ทำเช่นนี้โอกาสสำเร็จของตนจะมีมากขึ้น
“อืม” กูเยว่อู๋เหินไม่ใส่ใจ รับปากไว้
ไม่ช้าเขาก็เอ่ยต่อว่า “ความคิดของซ่งอวี้เชวียไม่มีทางส่งผลกระทบข้าได้ ท่านพี่มิต้องเห็นเขาเป็นศัตรู”
“อย่างนั้นหรือ” ซินเยว่เยี่ยนมองเขาด้วยความสงสัย
สีหน้าเขานิ่งสงบ “คนที่ส่งผลกระทบต่อข้าได้ ในโลกนี้ยังไม่เคยมีมาก่อน”
เมื่อกูเยว่อู๋เหินเอ่ยเช่นนี้ ซินเยว่เยี่ยนก็คลายใจ ก็ถูก อู๋เหินชื่นชอบความสามารถของซ่งอวี้เชวีย แต่ว่าด้วยนิสัยเย่อหยิ่งของอู๋เหิน หากบอกว่าผู้อื่นส่งผลกระทบต่อเขา คงเป็นไปได้ยาก
“อย่างนั้นก็ดี หากเขามาอีกข้าจะไม่ต่อยตีเขาแล้ว”
ซินเยว่เยี่ยนหมุนกายจากไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจเท่าไหร่
หลังจากออกไปแล้ว
น้ำเสียงเบาบางของกูเยว่อู๋เหินเอ่ยว่า “เฉิงฉู่”
เงาร่างสีดำสายหนึ่งวูบเข้ามา เฉิงฉู่ปรากฏกายเบื้องหน้ากูเยว่อู๋เหิน คุกเข่าลง “ข้าน้อยอยู่นี่”
กูเยว่อู๋เหินสั่งการเสียงเรียบๆ “ไปจับตาดูสตรีนางนั้นไว้ หากมีการเคลื่อนไหวอะไรรีบมารายงานข้า”
“ขอรับ”
เฉิงฉู่โจนทะยานออกไปทางหน้าต่างทันที
กูเยว่อู๋เหินถอนสายตากลับ รินสุราให้ตนเองจอกหนึ่ง กวาดสายตาเฉยชาจ้องจอกสุรา “คู่หมั้นอย่างนั้นหรือ”
……
เยี่ยเม่ยยังไม่รู้เรื่องที่ซินเยว่เยี่ยนแนะนำตัวนางกับกูเยว่อู๋เหินเช่นนั้น
นางยังไม่รู้เรื่องรู้ราวนั่งฝึกกำลังภายในอยู่ในห้อง
ครั้นเข้าถึงภาวะไร้ตัวตน ยิ่งร่ำเรียนวิชาได้ไวขึ้น
ในเคล็ดวิชากล่าวไว้ว่า ขอเพียงนางฉลาดมากพอก็สามารถหาพลังธาตุของตนได้เร็วมากขึ้น หากสามารถหาพบได้ เมื่อฝึกวิชาก็จะยิ่งมีพลังเพิ่มมากเป็นทวีคูณ ดังนั้นนางกำลังพยายามดึงเอาความสามารถที่ซ่อนไว้ของตนออกมา
ที่นางไม่รู้ก็คือ
ในขณะที่หลับตาโคจรพลังอยู่นั้น รอบกายของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงของกำลังภายใน มีกลีบดอกไม้ชนิดต่างๆ อย่างเช่นดอกบัว ดอกอิง ดอกท้อ ดอกกล้วยไม้ ห้อมล้อมร่างกายของนางเอาไว้
กลายเป็นภาพที่งดงามฉากหนึ่ง
เฉิงฉู่ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างเห็นภาพนี้ ก็เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตา…กลีบบุปผาห่อหุ้มกาย หรือพลังธาตุของสตรีนางนี้ก็คือพลังบุปผาที่หาได้ยากในรอบสามร้อยปีอย่างนั้นหรือ
ใช้ดอกไม้เป็นธาตุประจำตัว เมื่อฝึกวิชาถึงขั้นสุดยอด ก็ไม่ด้อยกว่ากำลังภายในที่มีธาตุอื่นๆ เลย ทั้งข้อได้เปรียบที่สุดก็คือ…
ธาตุนี้เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ยามใช้กำลังภายในไม่ต้องเสียพลังจำนวนมาก
ในโลกนี้ปกติแล้วบุรุษจะมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งกว่าสตรี นั่นก็เพราะว่าสตรีพละกำลังอ่อนด้อยกว่า ดังนั้นต่อให้การฝึกปรือถึงขั้นสุดยอด ประมือกับบุรุษยอดฝีมือ สุดท้ายก็ยากจะหนีพลังกายที่เป็นรองไปได้
ด้วยเหตุนี้เองยอดฝีมือขั้นสูงทั้งหมดถึงมีแต่บุรุษ ทั้งเสินเซ่อเทียน เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เป่ยเฉินอี้ และเจ้านายของเขา
หากสตรีสามารถหาพลังธาตุประจำตัวได้ ฝึกถึงขั้นสุดยอด สุดท้ายพลังกายก็ยังไม่เทียบได้ สู้กันจนสุดท้ายก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ไม่อาจจู่โจมพวกเขาได้
แต่ธาตุบุปผานั้นต่างออกไป นางไม่จำเป็นต้องเสียพลังจำนวนมากเพื่อใช้ออก ดังนั้นต่อให้บุรุษที่ได้เปรียบด้านกำลัง นางก็ไม่เสียเปรียบเลยสักนิด
กลับกัน…
นางอาจเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ติดอยู่ในรายชื่อสุดยอดฝีมือ
เขารู้สึกใจสั่นสะท้าน
ข่าวนี้ต้องรีบกลับไปรายงานนายโดยทันที
เขาคิดไม่ถึงว่า ในขณะที่เตรียมจะล่าถอยไป เยี่ยเม่ยพลันเปิดตาขึ้น ชั่วขณะที่นางลืมตา กลีบดอกไม้รอบกายก็สลายไปไม่เห็นอีก ดังนั้นนางจึงไม่รับรู้
สายตาของนางมองไปยังทิศทางของเฉิงฉู่ “ทำไมกัน มาแล้วไม่คิดจะทักทายสักคำก็จะจากไปแล้วหรือ”
เฉิงฉู่ชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองอย่างไม่เชื่อสายตา
เขาหลงคิดว่าวิชาพรางกายของตัวเองบรรลุขั้นสุดยอดแล้ว นอกจากนายท่านก็ไม่มีใครจับสังเกตเขาได้ นางถึงกับพบเขา
เฉิงฉู่ยังคงหลบอยู่
เยี่ยเม่ยยื่นมือออกมาลูบคาง “ยังไม่ออกมาอีก หรือคิดจะให้ลงมือ”
เฉิงฉู่ไม่มีเจตนาลงมือ จึงลุกขึ้นเดินออกมา
ลูกตาของเยี่ยเม่ยกวาดมองบุรุษหน้าตาหล่อเหลา สวมชุดรัดรูปสีดำ มีท่าทางไม่เลว
ขณะที่นางกำลังประเมินอีกฝ่าย เฉิงฉู่ก็ประเมินนางเช่นกัน เขาคิดว่าหลายปีที่ผ่านมาพบเห็นหญิงงามมานับไม่ถ้วน แต่ที่คล้ายกับเยี่ยเม่ยเช่นนี้ รูปโฉมโดดเด่น อากัปกิริยาโดดเด่น มีความเย็นชาและเหินห่าง ทั้งยังเป็นสตรีที่อวดดีอยู่ไม่น้อย นับเป็น…
เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบ
เขาคิดถึงคำพูดของผู้อาวุโส นี่คือสตรีที่จะแนะนำให้นายท่าน อืม แม่นางผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม หรือว่าพลังธาตุบุปผาประจำกายนาง เทียบเคียงกับนายท่านได้ ดูท่าครั้งนี้ท่านผู้อาวุโสจะจริงจัง
“เจ้าคือ” เยี่ยเม่ยถาม อย่างไรเสียที่นี่ก็คือหมู่ตึกกูเยว่ ดังนั้นนางไม่กล้าลงมือโดยพลการ
เฉิงฉู่ตอบ “ข้าน้อยเป็นหัวหน้าองครักษ์เงาของหมู่ตึกกูเยว่ มีหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยให้ท่าน”
เขาย่อมไม่เอ่ยว่า นายท่านสั่งให้เขามาเฝ้านางเอาไว้…
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “อืม ขอบคุณมาก ข้าไม่ต้องการความคุ้มครอง เจ้ากลับไปเถอะ”
“ขอรับ”
เฉิงฉู่ไม่รั้งรออยู่ หมุนตัวจากไปทันที
เยี่ยเม่ยจัดแจงชุดของนาง เริ่มโคจรพลังอีกครั้ง นางมีความรู้สึกว่าจะทะลวงกำลังภายในครั้งที่สามในวันนี้