เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 217 ไม่ทราบว่าเยี่ยเม่ยคู่ควรเป็นสหายกับประมุขกูเยว่หรือไม่
- Home
- เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]
- ตอนที่ 217 ไม่ทราบว่าเยี่ยเม่ยคู่ควรเป็นสหายกับประมุขกูเยว่หรือไม่
เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าโชคของตัวเองไม่เลวนัก นางเข้าใจว่าความคุ้นเคยที่มีต่อสุราของตนดึงความสนใจจากบุรุษตรงหน้าแล้ว
นั่นก็หมายความว่า…
เรื่องที่นางมาขอยาก็มีโอกาสมากขึ้น
อีกอย่างนางกล้าพนันว่าบุรุษผู้นี้ไม่มีทางเข้าใจสุราชนิดนี้ไปมากกว่านาง ถึงกระทั่งคนผลิตสุราชนิดนี้ในยุคนี้ก็ไม่แน่ว่าจะเข้าใจมากเท่านาง
เห็นสายตาเขามองมา เยี่ยเม่ยรีบกล่าวว่า “สุรานี้หาใช่สุราของภาคกลาง”
เมื่อนางเอ่ยออกมา สายตาของบุรุษนั้นที่มองนางก็สั่นสะท้าน
ฝ่ายเยี่ยเม่ยก็เอ่ยต่ออย่างรวดเร็วว่า “ข้าเดาว่า มันน่าจะเป็นสุราองุ่นขาว สถานที่ผลิตหากมิใช่ดินแดนซีอวี้ก็มาจากต่างแดน สุราชนิดนี้เอามาดื่มแบบนี้นับว่าเสียของแล้ว ไม่สู้คุณชายลองให้บ่าวไพร่เอาถังน้ำแข็งมาหลายใบ เอาสุราแช่ลงไปสักหนึ่งชั่วยาม จากนั้นค่อยลองดื่มดูใหม่”
บุรุษผู้นั้นหันหน้า ส่งสายตาหาบ่าวประจำตัวด้านข้าง
บ่าวผู้นั้นเข้าใจทันที รีบไปเอาถังน้ำแข็งมา
จากนั้นน้ำเสียงราบเรียบของบุรุษก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่รู้หลังจากแช่เย็นแล้วจะแตกต่างไปจริงหรือไม่ มิสู้ขอให้แม่นางอยู่เป็นเพื่อนสักหนึ่งชั่วยามก็แล้วกัน”
“ไม่เป็นไร” เยี่ยเม่ยรับคำทันที
ถัดมา
เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองสีจันทร์บนฟ้า ดวงจันทร์ทอแสงงดงามตา เพียงแต่ไม่น่าหลงใหลเทียบเท่าอากัปกิริยาของบุรุษข้างกายที่อยู่ใต้แสง
แต่ว่า
จะว่าไปมาถึงยุคสมัยนี้เป็นเวลาหลายวันมากแล้ว วันนี้เป็นครั้งแรกที่สงบใจนั่งลง ดื่มสุราชมจันทร์
ใบหน้าด้านข้างยามเยี่ยเม่ยมองพระจันทร์ เย็นชาทว่าจับใจคน
สีหน้าสบายใจคล้ายได้ปลดเปลื้องภาระอันใหญ่หลวงลงได้ ทำให้สายตาเขามองอยู่ที่ใบหน้านางอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง
หรือว่านี่คือสีหน้ายามผ่อนคลาย อย่างนั้น…นางอยู่อย่างลำบากมาตลอดอย่างนั้นหรือ
ถึงกระทั่งความสบายเพียงชั่วครู่ ใบหน้าของนางมีอารมณ์สีหน้าเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างนี้นางยังไม่รู้แน่ชัดว่าเขาเป็นมิตรหรือศัตรู แน่นอนว่า…
บางทีนางอาจคาดเดาฐานะของเขาได้แล้ว
บ่าวนำถังน้ำแข็งเข้ามา วางสุราองุ่นขาวตามคำเรียกของเยี่ยเม่ยลงไปอย่างระวังมือ
เยี่ยเม่ยหันกลับมองบุรุษตรงหน้า พลันคลี่ยิ้มออก “หนึ่งชั่วยามนี้ คุณชายคิดจะนั่งรอจนผ่านไปเฉยๆ อย่างนั้นหรือ”
“หรือแม่นางพอจะมีความรู้ด้านดนตรีบ้างหรือไม่” บุรุษหนุ่มกวาดตามองเยี่ยเม่ย
เยี่ยเม่ยอึ้งไปเล็กน้อย เลิกคิ้วถาม “ก็พอจะเข้าใจบ้าง ข้าเป่าขลุ่ยได้ แล้วคุณชายเล่า”
“เช่นกัน”
สิ้นเสียงของเขา สายตาก็ตวัดมองอีกครั้งหนึ่ง
ไม่ช้า บ่าวก็นำขลุ่ยที่ทำจากหยกสีแดงเลือดเลาหนึ่งมอบให้กับเยี่ยเม่ย ขลุ่ยหยกเขียวอีกเลาหนึ่งวางไว้หน้าบุรุษหนุ่ม
เขาหยิบขลุ่ยหยกมรกตขึ้นมา ไม่บอกอะไรเยี่ยเม่ยแม้แต่นิดก็เริ่มเป่าเป็นทำนอง
เสียงขลุ่ยดังขึ้นเป็นท่วงทำนองเบาสบาย
ทำให้ผู้ที่ได้ฟังเกิดความสบายคล้ายล่องลอยอยู่เหนือโลก เสียงขลุ่ยของเขาไพเราะมาก หาใช่คนทั่วไปจะเป่าได้ เยี่ยเม่ยฟังอยู่นานเท่าชั่วเวลาน้ำเดือด ถึงค่อยหาจังหวะเป่าขลุ่ยสอดประสานกับเขาได้
ในยามที่เสียงดนตรีของบุรษหนุ่มเปลี่ยนโทนเสียง นางก็พลันเป่าขลุ่ยคลอขึ้นมา
สองเสียงประสานเป็นหนึ่งเดียว ถึงแม้ความละเอียดจะแตกต่าง ทว่าหาได้แตกต่างราวดินกับเมฆ หากมิใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านขลุ่ยก็ไม่มีทางฟังความต่างออกได้
สายตาของบุรุษหนุ่มทอความแปลกใจ
เมื่อสิ้นสุดการบรรเลงเพลงแรก
เยี่ยเม่ยเอ่ยปากยอมรับว่าตนเองมีความสามารถไม่เพียงพออย่างตรงไปตรงมา “เทียบกับคุณชายแล้ว วันนี้ข้าแสดงความขายหน้าแล้ว”
นางรู้สึกว่า บุรุษผู้นี้หากเปลี่ยนไปอยู่ในยุคปัจจุบัน จะต้องเป็นศิลปินชั้นครูที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งแน่
เสียงขลุ่ยของนาง เมื่อก่อนเคยได้รับคำชมจากคนจำนวนไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้วยังห่างชั้นอยู่บ้าง
เขามิได้คัดค้าน สายตาที่มองเยี่ยเม่ยกลับวาวโรจน์ขึ้นอีก “แม่นางมิต้องถ่อมตนไปหรอก ในใต้หล้านี้คนที่บรรเลงเพลงร่วมกับข้าได้ มีแม่นางเป็นคนแรก”
ไม่ว่าเขาจะเป็นคนเริ่มเป่าทำนอง หรือว่าเขียนเพลงก็ดี ในระหว่างนั้นไม่มีใครสักคนที่จะสอดประสานกับเขาได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งยังจะแสดงออกถึงความไม่เข้ากันของอีกฝ่ายได้ทันที เผยความต่างชั้นออกมา แต่ว่านาง…ถึงกับสอดประสานกับเขาได้ ถึงแม้สำเนียงเสียงจะด้อยกว่าเขา แต่ก็ชวนให้คนตกใจได้แล้ว
“ก็จริง” เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ต้องบอกว่า ถึงจะด้อยกว่าท่านไปเล็กน้อย แต่คนที่เทียบเคียงกับข้าได้ในโลกมีน้อยมาก”
ความมั่นใจเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้นางยังพอมีอยู่บ้าง
บุรุษหนุ่มกลับถามขึ้นว่า “เป่าขลุ่ยสู้ข้าไม่ได้ แม่นางไม่รู้สึกเสียใจบ้างหรือ”
น้ำเสียงของเขายังคงเรียบเฉย จับอารมณ์ความรู้สึกไม่ได้
เยี่ยเม่ยยิ้มด้วยความไม่ใส่ใจ มองบุรุษเบื้องหน้า เอ่ยปากเสียงนิ่งว่า “ศิลปะมีผู้เชี่ยวชาญ คุณชายเป็นศิลปินมาแต่กำเนิด หากเทียบกับเรื่องรสนิยมความชอบและพรสวรรค์เกรงว่าจะไม่มีใครเทียบคุณชายได้ ส่วนข้าเดิมก็หาใช่คนสูงส่งอะไร ข้าไม่เชี่ยวชาญในหนทางเหล่านี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้มีอะไรให้เสียใจกัน”
นางคือนักฆ่า
เรื่องที่นางถนัดที่สุดก็คือ จะสังหารคนโดยไม่ส่งเสียงได้อย่างไร หากเทียบกับเรื่องสังหารคนแล้ว จิ่วหุนก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่มือนาง
แล้วเหตุใดจึงต้องเอาสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัดไปเทียบกับความเชี่ยวชาญของผู้อื่นด้วยเล่า
หากทำเช่นนี้ก็พานจะคิดไม่ตกเอา
ครั้นเยี่ยเม่ยตอบกลับมา บุรุษหนุ่มนิ่งไป ดวงตายังคงสงบนิ่งดังเดิม เพียงแต่สายตาที่มองนางเทียบกับความเย่อหยิ่งก่อนหน้าแล้ว ยังดูเป็นมิตรขึ้นหลายส่วน
เวลาหนึ่งชั่วยาม จะบอกว่าเร็วก็ไม่เร็ว ช้าก็ไม่ช้า
บ่าวนำขวดสุราออกจากถังน้ำแข็ง เตรียมเทให้พวกเขา
เยี่ยเม่ยพลันเอ่ยว่า “รอก่อน สุรานี้ไม่เพียงแค่ต้องแช่น้ำแข็งเท่านั้น ทางที่ดีก่อนจะดื่มยังต้องวางทิ้งไปชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป เพื่อเป็นการปล่อยให้สุราหายใจ”
บ่าวมองบุรุษผู้นั้นทีหนึ่ง เพื่อถามความเห็น
บุรุษหนุ่มพยักหน้า แสดงออกว่าให้ทำตามที่เยี่ยเม่ยสั่ง
บ่าวฟังแล้วจึงวางลง
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูปก็รินสุราอีกครั้ง บุรุษหนุ่มและเยี่ยเม่ยดื่มพร้อมๆ กัน รสชาติดีกว่าเมื่อครู่มากจริงๆ ด้วย
แววตาของบุรุษหนุ่มทอความประหลาดใจ
ถามขึ้นว่า “แม่นางรู้ได้อย่างไรว่า สุรานี้ต้องใช้วิธีนี้ถึงจะมีรสชาติดี”
แม้กระทั่งตอนที่เขาซื้อสุราชนิดนี้มาก็ยังไม่มีใครบอกถึงวิธีการนี้ ในแหล่งที่นิยมดื่มสุราชนิดนี้ก็ไม่เคยได้ฟังว่าน้ำแข็งช่วยให้สุรามีรสชาติดีขึ้น แต่นางถึงกับรู้ได้
เยี่ยเม่ยหัวเราะเสียงเบา ถามว่า “อร่อยก็พอแล้ว ไฉนคุณชายต้องรู้สาเหตุด้วยเล่า เพียงแต่ว่าคืนนี้คุณชายลอบประเมินฝีมือก็ทำไปแล้ว ถกเรื่องรสนิยมก็ผ่านไปแล้ว เรื่องสุราก็ถามไปแล้ว แม้กระทั่งทดสอบดนตรีก็ยังทำไปแล้ว ไม่รู้ว่าข้าผู้นี้คู่ควรเป็นสหายกับ ประมุข…กูเยว่แล้วหรือยัง”
แรกได้พบหน้า เขาก็ประลองฝีมือนาง เพียงแค่สองกระบวนท่า ถึงนางจะไม่ชนะ แต่ก็ไม่พ่ายแพ้
ยามบรรยายถึงทัศนีย์ภายในหมู่ตึกกูเยว่ ถึงวิธีการตกแต่งและออกแบบของนางสู้เขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็รู้จักชื่นชม
เรื่องสุรา อาศัยความเข้าใจสุราองุ่นขาวของนางเหนือก้าวเขาขั้นหนึ่ง
ส่วนเรื่องดนตรี นางพ่ายแพ้ให้กับเขา
ดังนั้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน สามารถฝืนบอกได้ว่าเสมอ
“แม่นางรู้ฐานะของกูเยว่?” เขาถามด้วยเสียงราบเรียบ
เยี่ยเม่ยหัวเราะ “คนที่ลงมือกับแขกในหมู่ตึกได้อย่างอิสระ ทั้งยังสั่งการบ่าวไพร่ได้ แม้กระทั่งดึกดื่นค่อนคืนยังเป่าขลุ่ยร่วมกับข้า ส่งเสียงรบกวนคนยามหลับฝันโดยไม่กลัวถูกตีตายเลยสักน้อย นอกจากประมุขของหมู่ตึกกูเยว่แล้วยังเป็นใครได้อีก ไม่สู้คุณชายถอดหน้ากากออก ให้ข้าได้ชมรูปโฉมของท่าน”
เขากลับหัวเราะออกมาเบาๆ
ยื่นมือถอดหน้ากากออก
เมื่อเห็นใบหน้าเบื้องหน้า เยี่ยเม่ยที่แต่เดิมหัวเราะอยู่ถึงกับหยุดหายใจ