เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 221 กูเยว่อยากรู้ว่า แม่นางเอามาได้อย่างไร
หมู่ตึกกูเยว่
เยี่ยเม่ยนั่งเท้าคางอยู่ในห้อง หลับตาพักผ่อน
จงรั่วปิงดูร้อนรนเสียยิ่งกว่าเยี่ยเม่ย “เจ้าอย่าได้นั่งครุ่นคิดอยู่ที่นี่อีกเลย รีบหาแผนการออกมาเถอะ หากผ่านคืนนี้ไปจะไม่ทันการณ์แล้วนะ!”
“ใครบอกว่าข้ากำลังคิดอยู่” เยี่ยเม่ยหันกลับมามองอีกฝ่าย
จงรั่วปิงชะงักไปชั่วขณะ ไม่ได้กำลังคิดอยู่ หรือว่า… “เจ้ามีวิธีแล้วหรือ”
“ถูกต้อง! วิธีน่ะมีแล้ว แต่ขาดคนไปคนหนึ่ง ทั้งยังขาดโอกาสเหมาะๆ ด้วย” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยก็มองจงรั่วปิงอีกครั้ง “แม่นางจง เจ้าท่องอยู่ในยุทธภพมานานหลายปี สมควรมีสิ่งหาไว้ป้องกันตัวอยู่บ้างใช่หรือไม่ อย่างพวกยาสลบมีหรือเปล่า”
จงรั่วปิงพยักหน้า “ข้ามีอยู่จริงๆ!”
ก่อนออกจากบ้านมา ท่านพ่อยัดเยียดใส่มือนาง ถึงนางรู้สึกว่าวรยุทธ์ของตนไม่อาจเสียเปรียบได้ง่ายๆ ในยุทธภพ แต่พอคิดถึงบิดาที่ช่างบ่นอยู่เป็นนิจ เพื่อไม่ให้เขาพูดพร่ำต่อไป นางจึงยอมพกติดตัวไว้แต่โดยดี
“อืม!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างก็เตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว ข้าขาดก็แต่ลมบูรพาเท่านั้น!”
“ลมบูรพาหรือ” จงรั่วปิงงุนงงเป็นอย่างมาก สรุปแล้วกำลังพูดถึงอะไรกันแน่ ตัวนางไม่เข้าใจเลยสักนิด นางเป็นจอมยุทธ์หญิงที่เพียบพร้อมทั้งบู๊และบุ๋น อย่าได้ล้อเล่นทายปริศนาแบบนี้ ทำให้นางต้องสงสัยว่าแท้จริงแล้วตัวเองมีแต่กำลังแต่ไร้สมองหรือเปล่า
เยี่ยเม่ยพยักหน้า ตบบ่าจงรั่วปิงเบาๆ “ไม่ผิด คอยลมบูรพา เพียงแต่ลมบูรพากระแสนี้ หากไม่ยินยอมมา เกรงว่าพวกเราต้องไปเชิญเองแล้ว!”
จงรั่วปิงยิ่งเหมือนอยู่ในม่านหมอกทึบ
เยี่ยเม่ยถามขึ้นอีกว่า “จริงสิ วันนี้ตอนที่เจ้าออกไปเดินเล่น หมู่ตึกกูเยว่นี้มีคนนอกหรือไม่”
พูดถึงคนนอก เยี่ยเม่ยกลับคิดถึงซ่งอวี้เชวีย ตอนนั้นไม่ใช่ว่าเขาดื่มสุรากับกูเยว่อู๋เหินอยู่หรืออย่างไร
เพียงแต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงถูกซินเยว่เยี่ยนไล่ตะเพิดออกไป
จงรั่วปิงตอบอย่างว่องไวว่า “มี ซ่งอวี้เชวีย เขาถูกซินเยว่เยี่ยนโยนออกไปแล้ว แต่ว่ายังหน้าหนากลับมาอีก!”
เยี่ยเม่ยลูบคางใช้ความคิด ดวงตากลอกไปมา…
ในเวลานี้กระแสลมหอบหนึ่งพัดมา เยี่ยเม่ยตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า มีคนมาแล้ว ทว่านางไม่ส่งเสียงออกไป คาดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นยอดฝีมือในการอำพรางกาย
นางลูบคางเบาๆ “ข้าว่าลมบูรพามาถึงแล้ว!”
จงรั่วปิงนิ่งไป หน้าตางุนงง
……
ผ่านไปสองชั่วยาม
เฉิงฉู่เปิดหน้าต่างห้องเยี่ยเม่ยอีกครั้ง เห็นเยี่ยเม่ยนั่งอยู่บนเตียง หันหลังให้พวกเขา ส่วนจงรั่วปิงนั่งถอนใจอยู่ด้านใน มีท่าทางคิดหาหนทางไม่ออก
เฉิงฉู่คลายใจลง ปิดหน้าต่าง เวลาผ่านไป ทุกๆ ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปเขาจะเปิดหน้าต่างตรวจสอบเยี่ยเม่ยด้านในทีหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายอยู่ภายในตลอด ดังนั้นคืนนี้คงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว
ภายในหมู่ตึก ซินเยว่เยี่ยนโมโหจนขบฟันแน่น คิดไปช่วยเยี่ยเม่ย
แต่อู๋เหินเหมือนคิดได้ว่านางจะต้องสอดมือเข้ายุ่งแต่แรก ดังนั้นรอบกายนางล้วนมีคนเฝ้าสังเกตการณ์ นางคิดเข้าไปช่วยก็ไม่ได้
ในขณะที่กำลังโมโหอยู่นั้น นางก็หันกลับไปมองมุมลับด้านหลังมุมหนึ่ง “ชิงเสวี่ย เจ้าไม่เข้าสุขาบ้างหรือไง เลิกจับตาจ้องข้าสักที ข้าไม่ตายหรอก พวกเราต่างก็เป็นสามผู้อาวุโส เจ้าไม่ไว้หน้าข้าบ้างเชียวหรือ”
ในมุมลับมีเสียงสตรีตอบกลับมา “แต่หากไม่จับตาจ้องท่านไว้ ข้าน้อยจะตายได้ ลูกพี่…ท่านเป็นพี่สาวบุญธรรมของท่านประมุข มีความสัมพันธ์ปกป้องไว้ แต่ข้าน้อยหาใช่ไม่ ข้ามีแต่ชีวิตที่มีค่าชีวิตเดียวเท่านั้น ต้องปกป้องตัวเองไว้ให้ดี ภักดีกับท่านประมุข!”
ซินเยว่เยี่ยนมุมปากกระตุก ดังนั้นความต้องการช่วยเหลือเยี่ยเม่ยของนาง ก็คงทำได้แค่ช่วยภาวนาอยู่ในใจ หวังว่าเยี่ยเม่ยจะทำสำเร็จแล้ว !
เพียงแต่มีคนมากมายจับตาดูแบบนี้ จะสำเร็จได้อย่างไร
ในขณะที่นางกลัดกลุ้ม บนฟ้าพลันมีควันโขมง หมู่ตึกในเวลานี้พลันเกิดความวุ่นวายขึ้นมา คนทั้งหมดเริ่มวิ่งกันอย่างอลม่าน “แย่แล้ว แย่แล้ว! หอเทียนจีถูกปล้น สมุนไพรล้ำค่าที่ท่านประมุขเก็บรักษาไว้หายไปแล้ว!”
“หา” ซินเยว่เยี่ยนได้ฟังข่าว รู้สึกดีใจจนกระโดดตัวลอย “ยอดเยี่ยมไปเลย!”
หอเทียนจีถูกปล้น อย่างนั้นภารกิจของชิงเสวี่ยก็สำเร็จลุล่วงแล้ว ไม่ว่าการปล้นจะสำเร็จหรือว่าล้มเหลว ภารกิจจับตามองของอีกฝ่ายถือว่าสิ้นสุดแล้ว
นางมองซินเยว่เยี่ยนที่อยู่ในอารมณ์เบิกบาน “ผู้อาวุโส ท่านเป็นคนของหมู่ตึกกูเยว่ หมู่ตึกถูกปล้น ไฉนท่านถึงยินดีนัก”
“หืม ข้ายินดีอย่างนั้นหรือ” ซินเยว่เยี่ยนรีบหุบรอยยิ้มกว้างของตนลงทันที จากนั้นมองไปยังมุมลับ “ข้าไม่ได้ดีใจเลยสักนิด เมื่อครู่เจ้าคิดไปเอง! ขอตัวก่อน”
พูดจบแล้วก็กระโดดโลดเต้นออกไปยังห้องเยี่ยเม่ยด้วยท่าทางยินดีปรีดาราวกับเก็บเงินได้!
ชิงเสวี่ยถอนหายใจ ส่ายหน้า เตรียมกลับไปรายงานผลกับประมุข
เฉิงฉู่ที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องเยี่ยเม่ย ได้ยินเสียงคนวิ่งไปมาก็ตะลึงไปในบัดดล! เป็นไปได้อย่างไร เยี่ยเม่ยอยู่ในห้องตลอด ตัวเองก็ไม่เคยจากไปเลยสักหน่อย นางไม่มีทางออกไปได้
ขณะที่กลัดกลุ้มไม่อยากเชื่อ เขาก้าวออกไปยื่นมือเคาะประตู
ไม่มีคนเปิด
เขาเองก็เริ่มโมโหแล้ว “แม่นางเยี่ยเม่ย แม่นางจง หากพวกเจ้ายังไม่เปิดประตู ข้าน้อยจะบุกเข้าไปแล้ว!”
สิ้นเสียง
“ไอ้หยา” ประตูห้องเปิดออกแล้ว
เฉิงฉู่มองเข้าไป ในห้องมีคนสองคน เยี่ยเม่ยไม่ได้นอนอยู่บนเตียงอีกแล้ว แต่ว่านั่งอยู่บนเก้าอี้ ในมือถือถ้วยชา กำลังดื่มชาอยู่ มองเฉิงฉู่ ถามว่า “ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
เฉิงฉู่สีหน้าเดี๋ยวขาวซีดเดี๋ยวเขียวคล้ำไม่พูดไม่จา
หันกลับไปมององครักษ์ที่อยู่ด้านหลังตน เอ่ยปากว่า “ไปรายงานท่านประมุข ช่างเถอะ ข้าไปเอง!”
เมื่อเอ่ยจบ เฉิงฉู่ก็วิ่งจากไปแล้ว
คนอื่นๆ ยังคงเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องเยี่ยเม่ย
นางกับจงรั่วปิงสบตากัน แววตาฉายรอยยิ้ม ไม่นานกูเยว่อู๋เหินก็มาถึง
เขายังคงยืนตัวตรงดูท่าทางสง่างาม
ที่เอวเหน็บขลุ่ยหยกดำไว้ ใบหน้าเรียบเฉยยังคงจับอารมณ์ใดๆ ไม่ได้ เมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง สายตาตวัดมองเข้าไปหาเยี่ยเม่ยด้านใน
น้ำเสียงราบเรียบถามว่า “แม่นางได้ของมาแล้วหรือ”
“ใช่” เยี่ยเม่ยเอ่ยจบ ก็หยิบกล่องผ้าต่วนสามถุงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างตนขึ้นมาวางบนโต๊ะ “การเดิมพันระหว่างท่านประมุขกับข้า ขอเพียงข้าเอาของออกมาจากหอเทียนจีได้ ก็ถือว่าเป็นของข้าแล้ว ข้าไม่มีเจตนาเป็นโจรน้อยขโมยของ ถึงได้จงใจรั้งรอเพื่อคุยเรื่องการเดิมพันกับคุณชาย ดังนั้นของเหล่านี้ข้าขอรับเอาไว้แล้ว!”
กูเยว่อู๋เหินกลับหาได้ใส่ใจสิ่งของทั้งสามชิ้นไม่ ทว่าเอ่ยถามด้วยเสียงนิ่ง “กูเยว่แปลกใจมาก แม่นางทำได้อย่างไร หรือว่าเจ้ามีไส้ศึกอยู่ภายใน มีคนอื่นช่วยเหลือแม่นางเอาของมา”
ไม่เช่นนั้นภายใต้การจับตาอย่างเข้มงวด จะเอาของออกมาได้อย่างไร
เยี่ยเม่ยหัวเราะ “ไม่มี! ข้าไปเอาออกมาเอง!”
“หืม”