เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 231 ถูกเป่ยเฉินอี้จับพิรุธได้
หัวใจของเยี่ยเม่ยเจ็บปวดเสียแทบไม่ไหว ซ้ำยังต้องรับมือศัตรูแข็งแกร่งตรงหน้าอีก
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางรู้สึกว่ามีกำลังไม่ได้ดั่งใจหวังเอาเสียเลย นางฝืนสงบใจลง สลัดความคิดและความทรงจำแปลกประหลาดพวกนั้น รวมถึงภาพที่ชวนให้หัวใจคนสั่นผวาออกไปจากสมอง ทำให้ตัวเองมีความสงบนิ่งและไร้อารมณ์ความรู้สึกมากที่สุด มองไปที่เป่ยเฉินอี้ เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ฮ่องเต้และฮองเฮาราชสำนักจงเจิ้งหรือ”
น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความสนใจอยู่หลายส่วน เส้นเสียงยิ่งทวีความเย็นชามากขึ้น “หรือความหมายของอี้อ๋องคือ ข้ามีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์จงเจิ้งในปีนั้น หรือว่าอี้อ๋องต้องการกำจัดข้า ถึงคิดอุบายใหม่ๆ ออกมา อืม…ด้วยการทำให้ข้ากับราชวงศ์จงเจิ้งเกี่ยวพันกัน ข้าเป็นคนของราชวงศ์เก่ามีโทษสถานหนัก เช่นนั้น ท่านก็กำจัดข้าได้อย่างสมเหตุสมผลและง่ายดายขึ้นมาก ใช่หรือไม่”
ครั้นนางเอ่ยคำพูดนี้ออกมาก็รู้สึกหัวใจกระตุกเจ็บอย่างไม่มีเหตุผล คล้ายกับคำพูดไปกระทบถูกอะไรบางอย่าง
คล้ายกับ…
คำพูดของนางล้วนเป็นความจริง นางมีความสัมพันธ์กับคนของราชวงศ์ก่อนจริงๆ
ฮ่องเต้และฮองเฮา…
สิ้นพระชนม์แล้ว
แม่นางน้อยคนนั้นคือนางจริงหรือ หากเป็นความจริง ถ้าทุกอย่างเป็นดังที่นางคาดไว้ ถ้าหากความเจ็บปวดในหัวใจนางล้วนเป็นความจริง อย่างนั้น…
อย่างนั้น…
ระหว่างที่นางก้มหน้าปิดตา ความทรงจำอันชัดเจนปรากฏขึ้นมาในสมอง ระหว่างที่บ่าวนำทางแม่นางน้อยที่ใบหน้าเหมือนกับนางไม่มีผิดเพี้ยนหนีออกจากวังหลวง ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
แผดเสียงสูงทั้งเต็มไปด้วยความแค้นเคือง “เสด็จแม่! เสด็จพ่อ…”
ความแค้นเคือง!
เยี่ยเม่ยเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ยามนี้สายตาที่มองเป่ยเฉินอี้ทวีความเย็นชา แค้นเคือง ความแค้นนี้เป็นเพราะใครกัน
ไฉนยามนั้นนางต้องโกรธแค้นด้วย
เพราะเหตุใดถึงได้มีความแค้นเช่นนี้
ไม่ ไม่ใช่แค่เฉพาะช่วงเวลานั้น ถึงกระทั่งตอนนี้ นางก็ยังรับรู้ถึงความโกรธแค้นจนไม่อาจอยู่ร่วมโลกเช่นนั้นได้ มันค่อยๆ ปะทุอยู่ในทรวงอก อัดแน่นไปทั้งหัวใจนาง นอกเสียจากความแค้นแล้ว ไม่เหลือสิ่งอื่นใดอีก เป็นความแค้นที่ราชสำนักเป่ยเฉินทำลายราชวงศ์จงเจิ้ง หรือว่าความแค้น…คนอื่นกันแน่
เห็นเยี่ยเม่ยก้มหน้าลงอย่างใช้ความคิด จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน สีหน้ากลับเย็นชาเหมือนยามปกติ ไม่เผยพิรุธใดๆ ออกมา
ทำให้เป่ยเฉินอี้เริ่มสงสัย นางอาจจะไม่มีความสัมพันธ์กับราชวงศ์จงเจิ้งเลยแม้แต่น้อยจริงๆ
ไม่เช่นนั้น หากเป็นอาซี
ปรากฏกายอยู่ที่นี่ คิดถึงเรื่องของเสด็จพ่อเสด็จแม่ของนางตายที่ตรงนี้ โดยเฉพาะนางเห็นพ่อแม่แท้ๆ ที่รักนางมากเป็นพิเศษถูกสังหารต่อหน้าต่อตา นางไม่มีทางสงบนิ่งได้ถึงขั้นนี้ ไม่มีทางที่เขาจะจับพิรุธนางไม่ออก
เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับความรู้สึกของคนปกติ
ในขณะครุ่นคิด น้ำเสียงน่าฟังของเขายังคงทุ้มต่ำเอ่ยว่า “ต่อให้เป็นที่นี่ แม่นางเยี่ยเม่ยก็ยังคิดอะไรไม่ออกเลยหรือ”
“ถูกแล้ว!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า สายตากวาดมองไปรอบด้าน ถามเสียงนิ่งว่า “ข้าควรคิดอะไรออกอย่างนั้นหรือ”
เป่ยเฉินอี้จ้องมองนางที่ชะงักฝีเท้าตรงหน้าประตู ถามเสียงขรึมว่า “เช่นนั้นทำไมแม่นางเยี่ยเม่ยถึงไม่กล้าเข้ามา”
“ข้าไม่กล้าที่ไหนกัน”
เยี่ยเม่ยตอบรับด้วยความเย็นชา ก้าวเท้าเดินเข้าไป
ในขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปนั้นเอง ภาพเหตุการณ์โชกเลือดปรากฏอยู่ในสมองยิ่งเด่นชัดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าตน คล้ายกับว่าเพิ่งเป็นเมื่อวานนี้…
ฮ่องเต้และฮองเฮาราชสำนักจงเจิ้งสิ้นพระชนม์ที่นี่
ตอนนั้นนางกรีดร้องเรียกเสด็จแม่
ดังนั้นนางคือใครกันแน่ อาซี อาซีคือใคร ตอนนั้นซือหม่าหรุ่ยเข้าใจผิดว่านางเป็นสหาย นั่นก็คือ ‘อาซี’ คนเดียวกันใช่หรือเปล่า
บางทีนางสมควรสืบเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับราชสำนักจงเจิ้งดูเสียหน่อย เช่นนั้นความทรงจำที่นางได้รับกลับมาในวันนี้ บางทีอาจเอามารวมร้อยเรียงกันได้ ทำให้ความทรงจำของนางสมบูรณ์มากขึ้น
ระหว่างที่นางใคร่ครวญ เท้าก็ก้าวเข้ามากลางตำหนัก สีหน้าราบเรียบเกินเปรียบ
อาศัยแค่จุดนี้ก็จับพิรุธใดๆ ไม่ได้แล้ว เป่ยเฉินอี้เห็นนางเดินไปรอบตำหนักเที่ยวหนึ่ง ในที่สุดก็มาหยุดเบื้องหน้าเขา หัวใจของเขารับรู้ได้ถึงความเย็นเฉียบเล็กน้อย ทั้งยังมี…ความผิดหวัง
นางไม่ใช่อาซีจริงใช่ไหม
เมื่อเห็นความผิดหวังของเป่ยเฉินอี้ เยี่ยเม่ยก็เข้าใจได้ว่าตัวเองหลอกเขาสำเร็จ นางเอ่ยปากเสียงเย็นว่า “ดูจบแล้ว อี้อ๋องยังมีลูกไม้อื่นๆ อีกหรือไม่ หากมีก็เชิญแสดงออกมาได้เลย อย่างไรเสียนอกจากวันนี้แล้ว ข้าคิดว่าภายภาคหน้า ข้าคงไม่มีอารมณ์เล่นตามบทของอี้อ๋องอีกต่อไปแล้ว”
น้ำเสียงของนางเต็มด้วยความไม่อดทนอีก หาได้มีความรู้สึกอย่างที่เป่ยเฉินอี้รอคอยไม่
เป่ยเฉินอี้ตีหน้าขรึมมองนางเล็กน้อย พลันยิ้มออก ตอบกลับไปว่า “อืม ในเมื่อเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่นางเยี่ยเม่ยจะเล่นตามบทของข้า อย่างนั้นยังเหลือสถานที่สุดท้ายอีกแห่ง ขอให้แม่นางติดตามข้าไปด้วย!”
ช่างเถอะ หากนางไม่ใช่อาซีจริงๆ
ไปมาอีกกี่ที่ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพียงแต่…เขาอยากพานางไปสถานที่ที่เขาได้พบกับอาซีครั้งแรก ต่อให้นางไม่ใช่อาซีก็ตาม เช่นนั้นก็ใช้ประโยชน์จากใบหน้าที่เหมือนกับอาซีไม่มีผิดเพี้ยนพาเขากลับสู่ฝันในอดีตก็แล้วกัน
ทำเหมือนว่ากาลเวลาย้อนกลับไปอีกครั้ง ทำเหมือนว่า
เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่เขาจะได้พบอาซีอีก
เพียงแต่ว่า…สายตาของเป่ยเฉินอี้พลันเผยประกายครุ่นคิดออกมา บางที…หากไม่พานางไปยังสถานที่ทั้งหมด เขาถึงพิสูจน์ได้ว่า ความสงบนิ่งของนางในยามนี้คือเรื่องจริงหรือเสแสร้ง
เยี่ยเม่ยย่อมไม่รู้ความคิดในใจของอีกฝ่าย เพียงตอบเสียงนิ่งว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อี้อ๋องก็รีบนำทางเถอะ ฟ้าจวนเจียนจะมืดแล้ว!”
“เชิญ!”
เป่ยเฉินอี้เอ่ยคำนี้ออกไป ก็หมุนตัวเดินออกจากตำหนัก
เยี่ยเม่ยติดตามอยู่ด้านหลังเขา ยามที่เขาหันหลังให้ ไม่ต้องเผชิญกับสายตาที่มองทะลุโลกหล้าคู่นั้นของเขาอีก ก็ทำให้ความตึงเครียดที่มีอยู่แต่เดิมของนางผ่อนคลายลงในฉับพลัน
ส่วนเท้าที่อ่อนแรงอยู่แต่แรกก็ซวนเซยืนไม่มั่นอีก
ในขณะที่นางเดินตามเขาออกประตูไป พลันสะดุดธรณี ล้มลงไปนั่งที่ข้างประตู ภาพเหตุการณ์นี้ยังคุ้นเคยมากอีกด้วย…
ภาพในสมองโลดแล่นขึ้นมาทันที
ปีนั้นหลังจากเสด็จแม่สิ้นพระชนม์ ตอนคนในวังพานางหนีออกจากห้อง นางสะดุดอยู่ที่ตรงนี้ ประตูบานนี้ล้มลงเช่นเดียวกัน
ภาพเสมือนเกิดขึ้นจริงๆ ทำให้นางไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนได้อีกต่อ คุกเข่าอยู่ที่พื้น ไม่ทันยืนให้มั่นในทันที ทั้งไม่ลุกขึ้นมาอีกด้วย
เสด็จแม่
จริงด้วย การล้มครั้งนี้ทำให้นางตระหนักได้อย่างชัดเจน คนที่ตายอย่างน่าเวทนาในภาพนั้นคือเสด็จแม่ของนางอย่างจริงแท้แน่นอน
เป่ยเฉินอี้รีบหันกลับมาดู จ้องเยี่ยเม่ยที่นั่งบนพื้น
ในใจเขาพลันเกิดอารมณ์ยินดี เป็นนางหรือเปล่า เป็นนางจริงๆ หรือไม่ สุดท้ายแล้วนางก็ทนไม่ได้ เผยพิรุธออกมาแล้ว
เขาถามว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว”
เยี่ยเม่ยใจเต้นกระตุก รู้อยู่ในใจว่าเผยพิรุธออกไป ช้อนตามองเขา…