เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 236 กลับกันข้าไม่สนใจว่าท่านจะหนาว!
เยี่ยเม่ยสีหน้าเรียบเฉย ท่าทางแสดงออกว่านางไม่อยากเสียเวลาติดตามเขาอีกต่อไป ไม่ว่ามีเรื่องอะไรก็รีบจัดการให้เสร็จเถิด
เป่ยเฉินอี้ไม่พูดจา เลิกม่านออก ลงจากรถม้าไป
อากัปกิริยาเขาสูงส่งเกินเปรียบ ท่วงท่ายามลงจากรถม้าเผยความเป็นราชันย์ออกมา
เยี่ยเม่ยจ้องแผ่นหลังของเขา ให้กำลังใจตัวเอง อย่าได้เผยพิรุธออกไป อย่าเผยพิรุธออกไปเลยแม้แต่น้อย ในความทรงจำที่ฟื้นฟูกลับมาของนาง ไม่มีเป่ยเฉินอี้ ดังนั้นสถานที่แรกที่พบเขา บางทีอาจทำให้นึกเรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับเป่ยเฉินอี้ได้
บางทีอาจเป็นความทรงจำชิ้นสำคัญของนาง เช่นนั้นก็ยิ่งต้องระวัง
หลังจากเป่ยเฉินอี้ลงจากรถม้า เห็นเยี่ยเม่ยไม่ขยับ น้ำเสียงไพเราะเสนาะหูก็ดังขึ้นว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยเคลื่อนไหวไม่สะดวกหรือ ต้องให้ข้าพยุงหรือไม่”
“ร่างกายไม่สบายอยู่บ้างก็ถูก แต่ไม่จำเป็นต้องพยุงแล้ว!” เยี่ยเม่ยเอ่ยจบ ก็ยื่นมือค้ำผนังรถม้าไว้ ก้าวลงจากรถ
ความจริงนางไม่ได้เจ็บปวดขนาดนั้น เพียงแต่เวลานี้อ่อนแออยู่บ้าง อีกประเดี๋ยวหากเกิดท่าทางผิดปกติขึ้นมาจริงๆ ก็ยังพอจะปิดบังไปได้
เวลานี้เยี่ยเม่ยเริ่มรู้สึกโชคดีอยู่ในใจ เมื่อก่อนยามอยู่ร่วมกับพวกลูกพี่ ทุกครั้งที่นางมีประจำเดือน มักแกล้งทำเป็นเจ็บปวดจนทนไม่ไหว ทั้งยังแกล้งสลบไปเพื่อหนีงาน ทุกเดือนจะมีเวลาพักผ่อนอยู่สองสามวัน
ความสามารถในการเสแสร้ง ในยามนี้ก็เอาออกมาใช้ได้แล้ว
หลังจากลงรถม้า เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองรอบด้านล้วนเป็นผืนหญ้าเขียวขจี สิ่งที่น่าแปลกใจในครั้งนี้คือ เยี่ยเม่ยกลับไม่รับรู้ถึงอะไรเลย
เป่ยเฉินอี้มองนาง จากนั้นตวัดสายตามองทางเดินสายเล็กไม่ห่างออกไป เอ่ยเสียงนิ่ง “แม่นางเยี่ยเม่ย เดินตามข้ามาเถอะ!”
เยี่ยเม่ยระแวงสงสัย ไม่ค่อยเข้าใจว่าครั้งนี้ทำไมนางถึงไม่รับรู้ถึงอะไรเลย
เมื่อฟังเขาเอ่ยเช่นนี้ นางก็หาได้คัดค้าน พยักหน้าเล็กน้อย “อี้อ๋องเชิญนำทางเถิด!”
สิ้นเสียงนาง เป่ยเฉินอี้ก็หมุนตัวเดินออกไปสองก้าว เขาก้าวเท้าช้าๆ รอนางก้าวตามมา ทั้งสองเดินเคียงบ่าไปบนทุ่งหญ้า
บนร่างของเยี่ยเม่ยยังคงคลุมผ้าขนเตียวผืนนั้น ยามเช้าอากาศเย็นมาก เป่ยเฉินอี้ยืนอยู่กลางลมหนาว ไอออกมา
จากนั้น เยี่ยเม่ยเพียงหันมองทีหนึ่ง ไม่ขยับเขยื้อน ทั้งยังไม่คิดเอาผ้าขนเตียวส่งให้เขา
นางก็หนาวเช่นกัน
เป่ยเฉินอี้เห็นสายตาแปลกประหลาดของนาง กลับหัวเราะเสียงขรึม “แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ต้องใส่ใจ เป่ยเฉินอี้เป็นบุรุษ ร่างกายย่อมแข็งแรงกว่าแม่นางอยู่บ้าง”
สิ้นเสียงของเขาเยี่ยเม่ยก็พยักหน้าเห็นด้วย เอ่ยปากเสียงนิ่งว่า “เดิมทีข้าก็หาได้ใส่ใจอยู่แล้ว”
เป่ยเฉินอี้ “…”
ชิงเกอ “…!”
อะไรกัน ไม่ว่าอย่างไรผ้าคลุมบนร่างเยี่ยเม่ยผืนนั้นก็เป็นของท่านอ๋องนะ นางไม่สำนึกบุญคุณเรื่องนี้ก็ช่างเถอะ ยังจะพูดจาไร้น้ำจิตน้ำใจออกมาอีก
ราวกับนางเข้าใจว่าชิงเกอคิดอะไรอยู่
เยี่ยเม่ยกวาดสายตามองเจ้านายกับลูกน้องรอบหนึ่ง เอ่ยปากเสียงเย็นชา “ตามหลักแล้วเวลานี้ข้าสมควรใกล้ถึงชายแดนแล้ว หากไม่ใช่เพราะท่านอ๋องรั้งให้ข้าอยู่ที่นี่ ข้าก็ไม่ต้องทนรับความหนาวอยู่ตรงนี้ ท่านอ๋องมอบผ้าคลุมขนเตียวให้ข้า ก็ช่วยชดเชยความเสียหายของข้าไปแค่หนึ่งส่วนสองส่วนเท่านั้น หวังให้เยี่ยเม่ยสำนึกบุญคุณ เป็นไปไม่ได้”
นอกจากว่า เพราะผ้าคลุมขนเตียวนี้ทำให้นางไม่แค้นเคืองมากเกินไปก็เท่านั้น
เป่ยเฉินอี้ย่อมเข้าใจเหตุผลนี้ เพียงแต่นางเอ่ยออกมาตามตรงว่า นางไม่ใส่ใจสุขภาพของเขาสักนิด ความจริงแล้วทำร้ายจิตใจคนอยู่บ้าง
เขาถอนหายใจเบาๆ เอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว!”
เยี่ยเม่ยถอนสายตากลับ จากนั้นเดินติดตามเขาต่อไป ทว่าเมื่อเดินไปถึงบริเวณพื้นขรุขระ ขานางเกือบพลิก เวลานั้นเยี่ยเม่ยชะงักไปเล็กน้อย
ในเวลานี้ ภาพเหตุการณ์หนึ่งโลดแล่นเข้าในสมองนางอย่างรวดเร็ว
แม่นางน้อยหน้าตาเหมือนนางราวกับแกะกำลังหนีเอาชีวิตรอด คนชุดดำด้านหลังไล่สังหาร นางสะดุดล้มอยู่ที่ขรุขระตรงนี้
เยี่ยเม่ยหันไปด้านข้าง นางมองเห็นใบหน้าของเป่ยเฉินอี้
ยามที่มองเห็นเป่ยเฉินอี้ มีภาพเหตุการณ์ฉายวับขึ้นมาให้หัวนางอีกครั้ง นางล้มลงที่พื้น เวลานี้เป่ยเฉินอี้ปรากฏกายยามที่นางตกอยู่ในอันตราย เขาแทงดาบออกไปช่วยชีวิตนางไว้ จากนั้นภาพเหตุการณ์ก็เด่นชัดขึ้นมา นั่นคือภาพทั้งหมดตอนที่เป่ยเฉินอี้ช่วยเหลือนาง
เยี่ยเม่ยในเวลานี้ชะงักไปเล็กน้อย
ความรู้สึกไม่ถูกต้องที่แปลกประหลาดปรากฏขึ้นในหัวใจ เป็นไปได้อย่างไร เป่ยเฉินอี้เป็นคนที่เคยช่วยชีวิตนางไว้ ถ้าเป็นเช่นนี้…นางที่รังเกียจเป่ยเฉินอี้อยู่แต่เดิมค่อยๆ ฟื้นฟูความทรงจำขึ้นมาทีละนิดในเวลานี้ เพราะอะไรในจิตใต้สำนึกกลับยิ่งทวีความรังเกียจคนผู้นี้ขึ้นไปอีกกันเล่า
“แม่นางเยี่ยเม่ยเห็นว่าอย่างไร”
สายตาของนาง รวมถึงฝีเท้าที่พลันชะงักหยุด ทำให้เป่ยเฉินอี้กลับมามองนางทีหนึ่ง น้ำเสียงที่เอ่ยถามยังคงนิ่งขรึมดังเดิม ฟังไม่ออกว่าเขากังวลมากน้อยเพียงใด กลับรู้สึกถึงความหยั่งเชิงอยู่ไม่น้อย
เยี่ยเม่ยจ้องเขา แค่นหัวเราะออกมา “ข้าเพียงแค่แปลกใจ คนที่ปราดเปรื่องเช่นอี้อ๋อง ไฉนถึงมีใจมาเดินเล่นอยู่ที่นี่ ที่สุดแล้วท่านต้องการช่วยข้าตามหาเรื่องในอดีต หรือช่วยให้ตัวเองกลับไปสัมผัสในอดีตที่ผ่านมากันแน่
ในยามที่ตัวเองเกือบเผยพิรุธออกมา ถอยเพื่อรุกก็นับเป็นวิธีที่ดี
เมื่อไม่อยากให้เป่ยเฉินอี้มองออก อย่างนั้นก็ชิงจู่โจมก่อน ลอบถามอดีตของเป่ยเฉินอี้ ก็ถือเป็นวิธีการปกป้องตนเองเช่นกัน
เป็นจริงดังคาด
เมื่อนางเอ่ยออกมาเช่นนี้ เป่ยเฉินอี้กลับชะงักไป ก้มหน้าแค่นหัวเราะ เบือนหน้ามองทิวทัศน์ด้านข้าง เสียงทุ้มต่ำน่าฟังค่อยๆ ดังขึ้นว่า “เชื่อว่าจนถึงตอนนี้ แม่นางเยี่ยเม่ยน่าจะเข้าใจว่า เป่ยเฉินอี้เห็นเจ้าเป็นคนอีกคนหนึ่ง!”
เยี่ยเม่ยหัวเราะเสียงเย็น “จำเป็นต้องถึงเวลานี้อย่างนั้นเหรอ วันนั้นในห้องอี้อ๋อง ท่านโพล่งประโยคนั้นออกมา ว่าข้าเป็นคนที่ใครส่งมากันแน่ ก็มากพอพิสูจน์แล้วว่าฐานะข้าในใจของอี้อ๋องไม่ใช่ธรรมดา”
เป่ยเฉินอี้หัวเราะเบาๆ เอ่ยเสียงเข้ม “แม่นางเยี่ยเม่ยฉลาดจริงๆ อย่างนั้นไม่ทราบว่าเจ้าจะคาดเดาได้หรือไม่ว่า เป่ยเฉินอี้เห็นว่าเจ้าคือใคร”
“เกรงว่าจะเป็นสหายเก่าของอี้อ๋องแล้ว!” พูดไปเยี่ยเม่ยหันมองใบหน้าด้านข้างของเป่ยเฉินอี้เสริมขึ้นอีกว่า “บางทีอาจไม่ใช่แค่สหายเก่า แต่ยังเป็นคนที่สำคัญมากคนหนึ่ง”
สายตาของเป่ยเฉินอี้ทอดยาวออกไปไกล เสียงน่าฟังเอ่ยว่า “เป็นสตรีในดวงใจข้า ทั้งยังเป็นพระชายาอี้อ๋องหนึ่งเดียวในใจข้าด้วย”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยเม่ยพลันตะลึงงัน
อารมณ์แปลกประหลาดงอกเงยขึ้นมาในจิตใจ เจ็บปวดคล้ายสุราร้อนแรงที่หมักไว้เป็นเวลาหลายปีไหลผ่านกระเพาะ นี่หาใช่ความรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ กลับเป็นอารมณ์สับสน อธิบายได้ไม่ชัด คิดไม่ออกชนิดหนึ่ง
เพียงแต่หลังจากนางอึ้งไปแล้ว ก็ได้สติกลับมา แค่นหัวเราะคำหนึ่ง “อี้อ๋องกลับตรงไปตรงมานัก ไม่รู้ไฉนท่านถึงได้คิดว่าข้าคือสตรีนางนั้น”
ความจริง ในใจนางก็พอมีคำตอบอยู่บ้าง
อีกทั้งคำพูดของเป่ยเฉินอี้ก็จะพิสูจน์การคาดเดาของนางได้ในไม่ช้า เขาตอบเสียงขรึมว่า “เพราะว่าแม่นางเยี่ยเม่ยมีหน้าตาเหมือนกับนางไม่มีผิดเลย”
เป็นอย่างที่คาดไว้!
เยี่ยเม่ยทำหน้าเข้าใจ พยักหน้า “ดังนั้นท่านจึงสงสัยว่าข้าคือนาง ถึงมีการหยั่งเชิงตลอดสองวันนี้อย่างนั้นหรือ”
นางเข้าใจ นางอาจเป็นคนที่เป่ยเฉินอี้เอ่ยถึง
แต่นางชัดแจ้งอยู่ในใจ ความสัมพันธ์ของนางกับเป่ยเฉินอี้ไม่มีธรรมดาง่ายดายอย่างแน่นอน