เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 239 ขลุ่ยหยกโลหิตคือของหมั้นจากกูเยว่อู๋เหิน
ดังนั้นเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ท่านหญิงผู้นั้นเป็นคนก่อขึ้นอย่างนั้นหรือ
“ซือถูเฟิงผู้นั้นคือใคร”
หลังจากถามออกไป เยี่ยเม่ยกลับฉุกคิดได้อย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ตอนที่นางอยู่กับจิ่วหุนคล้ายกับว่าเคยถูกแม่ทัพคนหนึ่งล้อมไว้…
ในขณะคิดนั้น เป่ยเฉินอี้ก็เอ่ยปากว่า “เขาคือพี่ชายของซือถูเฉียง จากที่ได้ฟังมาเขาเคยนำทหารไล่สังหารเจ้ามาก่อน แต่ถูกจิ่วหุนทำให้ล่าถอยไป!”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เป่ยเฉินอี้ก็รู้สึกว่าน่าขบขันอยู่บ้าง
คนที่เกลียดเยี่ยเม่ยเข้ากระดูกพวกนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่อยู่ในสายตานางสักน้อย นางถึงกับไม่คิดจะจดจำด้วยซ้ำไป ‘คนเหล่านี้คือใครกัน’ สำหรับคนพวกนี้แล้วก็คงเป็นการเย้ยหยันอย่างรุนแรงสินะ
“อ้อ นึกออกแล้ว!” ในเมื่อคิดได้ว่าคือใคร เยี่ยเม่ยก็รู้ว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงไม่ชอบนาง
เป่ยเฉินอี้กวาดตามองเยี่ยเม่ยทีหนึ่ง เสียงขรึมเอ่ยว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสั่งให้สังหารซือถูเฉียง ซือถูเฟิงพาซือถูเฉียงหนีกลับเมืองหลวง แม่ทัพหนีออกจากหน้าที่โดยพลการเป็นความผิดมหันต์ ซือถูเฟิงถูกเนรเทศ เขาเป็นคนรุ่นหลังที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นของตระกูลซือถู ถูกทำลายเพราะเรื่องนี้ไปแล้วคนของตระกูลซือถูย่อมไม่เลิกรากับเจ้าแน่!”
เยี่ยเม่ยฟังแล้วกลับอยากหัวเราะ พวกเขาว่างมาหาเรื่องนางเอง หาเรื่องไม่สำเร็จ ซ้ำยังถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกำจัดอีก สุดท้ายคิดบัญชีแค้นไว้ที่นาง ทั้งยังพลอยลำบากไปถึงจิ่วหุน
นางมองเป่ยเฉินอี้ ถามด้วยเสียงนิ่งว่า “สิ่งที่พวกเขาขอก็คือทำให้ฐานะของจิ่วหุนถูกเปิดเผย ทำให้จิ่วหุนและข้ากลายเป็นเป้าหมายของคนทั้งหมด ถึงขั้นถูกคนทั่วหล้าไล่สังหาร แล้วยังถูกคนที่ชายแดนขับไล่ นี่คือเป้าหมายของพวกเขาอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ผิด!” เป่ยเฉินอี้รีบตอบ
เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินอี้ ถามว่า “อี้อ๋องบอกความจริงทั้งหมดกับข้า นั่นมิได้หมายความว่า…”
ทอดทิ้งซือถูเฟิงแล้วใช่หรือไม่
ถึงซือถูเฟิงเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของเขา แต่สามารถใช้หมากตัวหนึ่งอย่างถึงขีดสุดเช่นนี้ เยี่ยเม่ยรู้สึกนับถือเขาจริงๆ
“การใช้หมากนั้นอยู่ก็ที่เวลาที่นำออกมาใช้และเวลาที่ถอยหมาก ล้วนต้องใช้ให้ได้ประโยชน์อย่างสูงสุด ไม่ใช่หรือไง” เป่ยเฉินอี้เข้าใจว่าเยี่ยเม่ยต้องการเอ่ยอะไร ก็เอ่ยประโยคนี้ออกมาตามตรง
เยี่ยเม่ยยิ้มไม่พูดจา
ก็จริง สำหรับเป่ยเฉินอี้ที่เห็นคนที่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมดเป็นหมาก เขาย่อมไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้
เมื่อเอ่ยถึงจุดนี้ หัวข้อสนทนานี้ก็นับว่าจบลง
เป่ยเฉินอี้พลันมองขลุ่ยหยกโลหิตที่เอวเยี่ยเม่ย สายตาล้ำลึกขึ้นหลายส่วน “ความจริงข้าอยากถามมาตลอด ขลุ่ยหยกโลหิตที่อยู่กับแม่นางเยี่ยเม่ยเป็นของที่กูเยว่อู๋เหินกำนัลให้ใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า มองขลุ่ยหยกโลหิตของตัวเองทีหนึ่งเช่นกัน ตัวขลุ่ยทั้งเลาเป็นหยกโลหิตราวเลือดนก ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ แต่คนที่ร่ำรวยมหาศาลอย่างกูเยว่อู๋เหิน นำของชิ้นนี้ออกมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เป่ยเฉินอี้ถามเสียงนิ่ง “แม่นางรู้หรือไม่ว่าขลุ่ยเลานี้มีเพียงเลาเดียวในโลก”
เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว
ยังไม่ทันตอบคำถาม เป่ยเฉินอี้เอ่ยเสริมขึ้นอีกว่า “ได้ยินมาว่าพ่อแม่ของกูเยว่อู๋เหิน เคยเป็นคู่รักที่โด่งดังมากในยุทธภพ ครั้งแรกที่พวกเขาได้ผูกวาสนาต่อกันก็คืองานเลี้ยงศิลปะทั้งสี่[1] คนทั้งสองชอบเป่าขลุ่ยมาก…”
“ท่าน ท่านคงไม่ได้อยากบอกว่า ขลุ่ยเลานี้คือสมบัติตกทอดจากพ่อแม่ของกูเยว่อู๋เหินหรอกกระมัง” เยี่ยเม่ยยกมุมปาก มองเป่ยเฉินอี้อย่างไม่เชื่อสายตา
เป่ยเฉินอี้ส่ายหน้า รู้สึกขบขันกับการคาดเดาของนาง “ไม่ใช่!”
“อ้อ…” เยี่ยเม่ยค่อยวางใจ
คิดไม่ถึงว่า นางเพิ่งจะวางใจลง
ประโยคถัดมาของเป่ยเฉินอี้เกือบทำให้นางสำลักตาย “วันที่พ่อแม่ของกูเยว่อู๋เหินแต่งงานได้รับของขวัญชิ้นหนึ่ง เป็นหยกล้ำค่าสีแดงและสีเขียวสองก้อน พวกเขาสองสามีภรรยาคิดได้ว่าขลุ่ยเป็นสิ่งที่ผูกวาสนาของทั้งคู่ จึงตัดสินใจเอาหยกเขียวและหยกโลหิตทำเป็นขลุ่ย เพื่อมอบให้กับบุตรชายและลูกสะใภ้ของตน!”
“แค่ก แค่ก แค่ก” เยี่ยเม่ยสำลักเพราะคำพูดประโยคนี้จนหน้าแดงก่ำแล้ว นางจ้องมองใบหน้าเป่ยเฉินอี้อย่างไม่อยากเชื่อสายตา นี่เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ
จากนั้น
สายตานางกวาดมองดูสีหน้าเป่ยเฉินอี้ ไม่คล้ายกับล้อเล่นเลยสักน้อย ทั้งไม่มีคล้ายหลอกนางสักนิด ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าหลอกลวง
นางสำลักอยู่นาน ยามนี้ค่อยรู้สึกว่าขลุ่ยหยกโลหิตที่เอวเหมือนเผือกร้อนลวกมือก็ไม่ปาน นางแทบอยากโยนขลุ่ยหยกโลหิตนี้ทิ้งไปด้วยซ้ำ
กูเยว่อู๋เหินมอบของสิ่งนี้ให้นางทำไมกัน
เขาคิดทำอะไรกันแน่
ไม่ช้า สมองของนางยังฉุกคิดขึ้นมาได้ คำพูดของซ่งอวี้เชวียในยามนั้น บอกว่าคู่หมั้นเอยอะไรเอย ทั้งยังมีการแสดงออกอย่างแปลกประหลาดของซินเยว่เยี่ยนในเวลานั้น เยี่ยเม่ยค่อยตระหนักได้ เพราะตัวนางมัวแต่กังวลเรื่องของจิ่วหุน ถึงละเลยรายละเอียดปลีกย่อยหลุดรอดไป
นางกุมขมับ รู้สึกปวดหัว “หลังจากกลับไปแล้วข้าจะถามซินเยว่เยี่ยน!”
“บางที แม่นางเยี่ยเม่ยน่าจะใคร่ครวญบ้างว่า ซือหม่าหรุ่ยช่วยเหลือเจ้าก็มีเหตุผล นางก็เหมือนกับข้า เห็นเจ้ามีใบหน้าเหมือนกับจงเจิ้งซี ดังนั้นตัดสินใจรั้งอยู่ข้างกายเจ้า ส่วนซินเยว่เยี่ยนกลับไม่มีเหตุไม่มีผล!” เป่ยเฉินอี้เตือนเยี่ยเม่ย
เวลานี้นางค่อยคิดได้
ก็จริงซือหม่าหรุ่ยช่วยเหลือนาง ประการแรกเพราะเรื่องของราชาดาบ ประการที่สองเกรงว่าเพราะรูปโฉมของนาง ส่วนจงรั่วปิงก็เคยบอกแล้วว่าบิดาของนางส่งมา
มีเพียงซินเยว่เยี่ยนคนเดียวที่มอบเคล็ดวิชาให้นางอย่างแปลกประหลาด ถึงบอกว่ามีเงื่อนไข แต่ดูท่าแล้วก็ไม่คิดจะเรียกร้องอะไรกับนางภายในระยะเวลาอันสั้น อีกอย่างช่วงนี้อีกฝ่ายช่วยนางไว้ไม่น้อย ดังนั้นซินเยว่เยี่ยนช่วยนางเพราะอะไรกัน
เกี่ยวข้องกับ กูเยว่อู๋เหินหรือไม่
ยามนี้เยี่ยเม่ยรู้สึกมีเรื่องใหญ่สองเรื่อง ปัญหาเรื่องชาติกำเนิดของตนยังไม่คลี่คลาย ปัญหาแปลกๆ เรื่องของกูเยว่อู๋เหินก็ปะทุออกมาด้วย…
เวลานี้เป่ยเฉินอี้ยังกังวลว่าเรื่องยังไม่วุ่นวายพอ ช่วยเตือนเยี่ยเม่ยคำหนึ่ง “รับขลุ่ยหยกโลหิตของกูเยว่อู๋เหินเอาไว้ ก็เท่ากับยอมรับการขอแต่งงานของเขาโดยไม่รู้ตัว แม่นางเยี่ยเม่ยเจ้าก่อเรื่องใหญ่เอาไว้เลยทีเดียว!”
“อะไรนะ ยังมีความหมายเช่นนี้ด้วยหรือ” เยี่ยเม่ยยิ่งอึ้งไปใหญ่
ความหมายของเป่ยเฉินอี้คือ คงไม่ใช่คนทั่วหล้าต่างรู้เรื่องนี้หรอกนะ
เป็นจริงดังคาด
เป่ยเฉินอี้จ้องหน้านาง “กูเยว่อู๋เหินเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะในยุทธภพ ถึงเขาไม่มีใจเข้าร่วม แต่ทว่าเป็นผู้นำศูนย์รวมจิตใจของเหล่าชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะ เป็นผู้รวบรวมข่าวสารทั่วยุทธภพ เป็นการดำรงอยู่ของเจ้ายุทธภพ คนฝ่ายธรรมะทั้งหมดต่างรู้ว่า ผู้ครอบครองขลุ่ยหยกโลหิตนี้ ก็คือฮูหยินเจ้ายุทธ์ นี่เป็นเรื่องที่คนรู้กันทั้งใต้หล้า!”
เยี่ยเม่ย “…”
เวลานี้นางคิดกลับไป หมู่ตึกกูเยว่เอาขลุ่ยเลานี้คืนเขาไป
เห็นหน้าตาตะลึงงันของนาง เป่ยเฉินอี้ถามขึ้นว่า “หรือว่ายามที่แม่นางรับขลุ่ยไว้ หาได้รู้เรื่องนี้มาก่อน”
“เขาเพียงบอกว่ารับไว้เป็นที่ระลึก…” ของที่ระลึกนี้มีค่าหนักหน่วงไปหรือเปล่า
เอ๋ ขลุ่ยหยกโลหิตเลานี้คือของหมั้น แล้วคนทั่วหล้ายังรู้ด้วยว่ามันหมายความว่าอะไร นางยังรับเอาไว้อีก สารเลวเอ้ย !
เรื่องแรกที่นางต้องคิดในเวลานี้คือ จะกลับไปอธิบายกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างไร
[1] หมายถึง ฉิน(กู่ฉิน เครื่องดนตรีจีนโบราณ) หมากล้อม การเขียนอักษรจีน และการวาดภาพ