เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 240 หากกูเยว่อู๋เหินแค้นข้าเพราะความรักเล่า
ดูจากสีหน้าเยี่ยเม่ยคล้ายมีความแตกตื่นอยู่บ้าง เผยความเจ็บปวดที่ยากจะพูดออกมาได้
เป่ยเฉินอี้เองก็รู้สึกน่าขันไม่น้อย แต่สุดท้ายคนที่จะโมโหก็คือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน คนที่จะต่อสู้กันก็คือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับกูเยว่อู๋เหิน เรื่องระหว่างคนทั้งสองคน เขาไม่ต้องสอดมือเข้าไปไปยุ่ง เขาจึงไม่เอ่ย
เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองเขา ถามว่า “ไม่ทราบว่าอี้อ๋องจะใส่ใจหรือไม่ หากพวกเราแยกทางกันตรงนี้”
“เจ้าคิดเอาขลุ่ยหยกโลหิตกลับไปคืนกูเยว่อู๋เหิน” อย่างไรเสียเป่ยเฉินอี้ก็เป็นยอดฝีมือในการเดินหมากที่มีความคิดลุ่มลึก ได้ยินเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ ก็เข้าใจว่านางคิดอะไร
เยี่ยเม่ยพยักหน้าตามตรง “ไม่ผิด! ไม่เช่นนั้นข้าจะขอแยกเดินทางกับท่านทำไม ถึงพวกเราจะดูเหมือนรังเกียจกัน แต่ว่าการนั่งบนรถม้าท่าน ก็สบายกว่าข้าขี่ม้า เดินด้วยเท้ามากนัก”
ดังนั้น หากจะเดินทางกลับไปย่อมมีเพียงเหตุผลนี้เพียงข้อเดียวเท่านั้นแล้ว
นางเชื่อว่าเป่ยเฉินอี้บรรลุเป้าหมายของตนแล้ว คงไม่รบเร้าพัวพัน เขาควรปล่อยนางไปถึงจะถูก
จากนั้น
เป่ยเฉินอี้กลับมองนางอย่างเอาจริงเอาจัง ปอยผมดำขลับกลุ่มหนึ่งปรกลงมาอยู่ที่หน้าอกเขา ยิ่งขับเน้นความสูงศักดิ์ของเขา มุมปากเจือรอยยิ้มสนุกสนานที่หาดูได้ยาก เอ่ยเสียงนิ่งว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยเคยคิดหรือไม่ว่า เดินทางกลับไปเพื่อคืนของ กูเยว่อู๋เหินจะรับกลับหรือไม่”
“นี่…” เยี่ยเม่ยนิ่งไป เอ่ยว่า “เขาไม่ยินยอมรับกลับไป หรือว่าข้าจะวางของทิ้งไว้แล้ว กลับมาไม่ได้”
เป่ยเฉินอี้พยักหน้าราวกับเห็นด้วย
หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็หัวเราะ เสียงขรึมเอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนั้น แม่นางเยี่ยเม่ยก็ไปเถอะ เจ้าจะได้เห็นด้วยว่ากูเยว่อู๋เหินมีนิสัยอย่างไรกันแน่”
“หืม” เยี่ยเม่ยกลับฟังความไม่ปกติในคำพูดออก
เป่ยเฉินอี้เป็นจอมวางแผนอันดับหนึ่ง หากบอกว่าเขาเข้าใจวิธีการและนิสัยของกูเยว่อู๋เหินก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ดังนั้นคำพูดของเขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่
หรือว่านางเอาของไปคืนผู้อื่นไม่สำเร็จ ซ้ำยังเสี่ยงโดนอัดกลับมาด้วย กูเยว่อู๋เหินเป็นคนยโสเพียงนั้น คงไม่ลงมือกับสตรีได้ง่ายๆ หรอกกระมัง
แววตานิ่งขรึมของเป่ยเฉินอี้กวาดมองเยี่ยเม่ย น้ำเสียงเย็นเยือกเหมือนเคย “ในเมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยได้ยาสมุนไพรมาแล้ว ก็เท่ากับติดค้างน้ำใจกูเยว่อู๋เหิน สถานการณ์เช่นนั้นเจ้ายังเอาของไปคืนเขา พานจะยั่วโทสะเขาได้”
เยี่ยเม่ยสะดุดไปเล็กน้อย เอ่ย “แต่ข้าคงไม่อาจรับของของหมั้นของผู้อื่นไว้อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเพราะเหตุผลนี้กระมัง”
น้ำใจก็คือน้ำใจ ความรักก็คือความรัก
สองสิ่งนี้จะเอามานับรวมกันได้อย่างไร
เป่ยเฉินอี้มอง ถามอย่างจริงจัง “กูเยว่อู๋เหินเอ่ยอะไรแล้ว”
“นี่…” คำถามนี้ถามจนเยี่ยเม่ยนิ่งไป ตอนที่กูเยว่อู๋เหินมอบของสิ่งนี้ให้นาง ไม่พูดอะไรสักคำ จู่ๆ ยามนี้นางกลับไปอย่างฉุกละหุก บอกว่าจะเอาของคืนแก่ผู้อื่น ทั้งยังฝืนเข้าใจว่าเป็นการขอแต่งงานของกูเยว่อู๋เหิน ซ้ำนางไม่อาจตกลง…
หากกูเยว่อู๋เหินบอกว่า เขาหาได้มีความคิดเช่นนั้นเลยสักน้อย นางจะไม่อึดอัดแย่หรือ อีกทั้งยังแสดงออกว่าคิดเองเออเองอย่างชัดเจนมาก
นางลูบคาง เอ่ยเสียงจริงๆว่า “ท่านพูดถูกถึงข้าจะมีเสน่ห์เกินใครจะเปรียบได้ ทำให้กูเยว่อู๋เหินคิดขอข้าแต่งงาน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากเขาทำเพื่อรักษาหน้าไม่ให้ถูกปฏิเสธ ฝืนบอกว่าไม่ได้ขอแต่งงาน ข้าจะไม่ยิ่งอึดอัดหรือ”
เป่ยเฉินอี้ “…!”
เขาไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่ หรือการแสดงออกของเขาเมื่อครู่มีปัญหา
ชิงเกอที่อยู่ด้านนอก “…”
แม่นางเยี่ยเม่ยผู้นี้…
หากบอกว่านางมีความเกี่ยวพันกับจงเจิ้งซี ชิงเกอไม่เชื่อเด็ดขาด! จงเจิ้งซีหาใช่คนหลงตัวเองถึงขั้นนี้ หากนางมีความเกี่ยวข้องกับจงเจิ้งซีจริงๆ เขาชิงเกอยอมขายตัวไปในเสี่ยวกวนก่วน[1]เลย
ชิงเกอแอบสาบานด้วยคำรุนแรง…
เมื่อเยี่ยเม่ยวิเคราะห์ออกมาแล้ว ยังมองเป่ยเฉินอี้ทีหนึ่ง ถามจริงจังว่า “ท่านว่าใช่หรือไม่ อีกอย่างหากกูเยว่อู๋เหินเปลี่ยนจากความรักที่มีต่อข้ากลายเป็นความแค้น หักใจสังหารข้า ก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นไม่ว่าจะคิดอย่างไร ข้าก็ไม่ควรกลับไปคืนของเขาแล้ว!”
เมื่อนางถามเองตอบเองจบ ก็พรูลมหายใจยาว
เป่ยเฉินอี้มองนางราวกับมองสัตว์ประหลาดอยู่นาน พูดตามตรงแล้ว นับตั้งแต่พบกันครั้งแรกจนมาถึงวันนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักได้ว่า เยี่ยเม่ยเป็นคน…เช่นนี้นี่เอง
คนอย่างกูเยว่อู๋เหิน ไม่มีทางรักใครสักคนหนึ่งแล้วเปลี่ยนจากความรักเป็นความแค้นไปได้ง่ายดาย นางเข้าใจกูเยว่อู๋เหินผิดไปหรือเปล่า
ชิงเกอที่อยู่ด้านนอกรถนิ่งอึ้งไปแล้ว จากท่าทางเย็นชาของเยี่ยเม่ยในยามปกติ ยากนักที่จะคิดได้ว่าความจริงแล้วนางเป็นคนตลกขบขัน
เช่นนั้น…
หากมิใช่คำพูดตลกหยอกเล่นแล้วล่ะก็ บอกได้เพียงอย่างเดียวว่า คำพูดที่นางเอ่ยมาทั้งหมดนี้คือความจริง ไม่รู้ว่ากูเยว่อู๋เหินสร้างกรรมอะไรเอาไว้ ถึงได้ถูกนางวิเคราะห์ออกมาเช่นนี้
เมื่อถกกันมาถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยก็ไม่เอ่ยอะไรอีก หลับตาลงพิงรถม้าพักผ่อน
ยังไม่ต้องเอาของไปคืนก่อน มากเรื่องขึ้นมาเรื่องหนึ่งไม่สู้ลดเรื่องลงไปเรื่องหนึ่งดีกว่า
เป่ยเฉินอี้ใช้สายตาแปลกประหลาดจ้องมองนางอยู่สักพัก ในที่สุดก็ถอนสายตากลับ หลับตาพักผ่อน
เขารู้สึกว่าสำหรับโฉมหน้า “เชื่อมั่นในตัวเอง” ที่นางเพิ่งแสดงออกมาเมื่อครู่ บางทีเขาอาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเพื่อทำความคุ้นเคย
……
ชายแดน
ซือหม่าหรุ่ยเดินไปเดินมาร้อนรนอยู่ในห้องจิ่วหุน วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว หากเยี่ยเม่ยยังนำสมุนไพรกลับมาได้ไม่ทันแล้วล่ะก็ ชีวิตของจิ่วหุนก็รักษาไว้ไม่ได้
นางใช้วิธีการที่ช่วยยื้อชีวิตไว้ทั้งหมดไปแล้ว สามารถยืนหยัดได้จนถึงวันนี้ก็ถือว่าถึงขีดจำกัดแล้วจริงๆ
เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็รีบเดินไปหน้าประตู มองทอดสายตายาวออกไป หวังว่าจะได้เห็นเงาร่างของเยี่ยเม่ย
สักประเดี๋ยวหนึ่ง นางเห็นจงรั่วปิงถือกล่องผ้าต่วนกลับมา ในเวลานี้ซือหม่าหรุ่ยสายตาวาวโรจน์ รีบเข้าไปรับกล่องผ้าต่วน “สมุนไพรที่ข้าต้องการหรือ”
“ถูกต้อง!” จงรั่วปิงตอบรับ จากนั้นเสริมว่า “ล้วนอยู่ในนี้หมดแล้ว ไม่ขาดสักชนิดเดียว”
ซือหม่าหรุ่ยหอบสมุนไพร เดินกลับไปเข้าไปในห้อง
นางเอาเครื่องบดยาออกมา เริ่มปรุงยาช่วยชีวิตจิ่วหุน ในขณะเดียวกันก็ถามว่า “พวกนางสองคนเล่า”
“เยี่ยเม่ยถูกเป่ยเฉินอี้รั้งไว้ ซินเยว่เยี่ยนถูกคนอีกกลุ่มรั้งไว้ ตอนที่พวกเราถูกสกัดก็พบคนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนช่วยไว้ ถึงนำยากลับมาได้ทันเวลา!” จงรั่วปิงเอ่ยอย่างรวดเร็ว
เมื่อนางเอ่ยจบ
ซือหม่าหรุ่ยกลับชะงักมือไปเล็กน้อย เงยหน้ามอง “เจ้าบอกว่าเป่ยเฉินอี้รั้งเยี่ยเม่ยเอาไว้”
คำพูดนางเพิ่งเอ่ยออกมา ด้านนอกก็มีน้ำเสียงราวปีศาจแฝงไปด้วยแววโทสะยากปิดบังได้ “เยี่ยเม่ยอยู่กับเป่ยเฉินอี้อย่างนั้นหรือ”
สิ้นเสียง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรากฏตัวอยู่ที่ประตู
ใบหน้าหล่อร้ายของเขาเต็มไปด้วยโทสะ ดวงตายิ่งทอประกายมารสีแดง ดูไปแล้วอันตรายยิ่ง
“ใช่…” จงรั่วปิงเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ตกใจ ยังพูดตะกุกตะกักว่า “ใช่ ใช่แล้ว แต่ว่าเป่ยเฉินอี้ไม่มีเจตนาทำร้ายเยี่ยเม่ย ดังนั้นไม่ต้องกังวล…”
เมื่อนางเอ่ยจบ ก็เห็นบุรุษที่สง่างามราวแมวเปอร์เซียด้านหน้า หมุนกายสาวเท้าสวบๆ เดินออกไป
[1] สถานที่ที่ผู้ชายขายบริการ