เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 243 ฮูหยินคิดว่า เยี่ยนสมควรดีใจอย่างนั้นหรือ
ซือถูเฟิงหัวเราะเสียงเย็น “อนาคตหรือ คุณชายใหญ่ของตระกูลซือถูถูกเนรเทศมายังสถานที่เช่นนี้ ท่านหญิงของตระกูลซือถูที่มีโอกาสเป็นมารดาของแผ่นดินมาที่สุดกลายเป็นคนพิการขาขาด ตระกูลซือถูยังมีอนาคตอะไรให้เอ่ยถึงอีก”
“เรื่องนี้…” คนชุดดำพลันไม่รู้จะเอ่ยว่าอะไร จะตอบคำถามของซือถูเฟิงอย่างไรดี
หากมองนาคต ย่อมต้องดูชนรุ่นหลัง
สถานการณ์ของคุณชายกับท่านหญิงในยามนี้ไม่ดีเอาเสียเลยจริงๆ
ซือถูเฟิงเอ่ยต่อว่า “ในตระกูลคนจำนวนมากคิดมาแทนตำแหน่งของข้า ข้าไม่อยู่เมืองหลวง หากไม่มีวิธีกลับไป เช่นนั้นซือถูเฟิงก็จะกลายเป็นอดีตสำหรับตระกูลซือถูในไม่ช้า! ถึงข้าจะเป็นบุตรจากภรรยาเอกที่โดดเด่นที่สุดของท่านพ่อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีบุตรจากอนุภรรยา!”
“คุณชาย ท่านอย่าได้คิดเช่นนี้เป็นอันขาด นายท่านยังคงเห็นความสำคัญของท่านมาก เขาต้องคิดหาหนทางพาท่านกลับไปแน่!” คนชุดดำรีบปลอบ
ซือถูเฟิงมองเขาคำรบหนึ่ง เอ่ยเสียงนิ่ง “ข้าคิดมาตลอดว่า หวังในตัวคนอื่น ไม่สู้หวังพึ่งตนเอง ถึงท่านพ่อจะใส่ใจข้ามาก แต่ในใจเขาใส่ใจตระกูลซือถูมากกว่า หากข้ามีวิธีกำจัดเยี่ยเม่ย รวมถึงกำจัดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไปได้ เช่นนั้นไม่ต้องให้ท่านพ่อลงมือ ฝ่าบาทก็จะเชิญข้ากลับไปด้วยความเบิกบานพระทัย!”
“นี่…” คนชุดดำค่อยเข้าใจว่า ที่แท้คุณชายมีความคิดเช่นนี้
เดิมทีเขายังคิดว่า ต่อให้คุณชายมีสายสัมพันธ์ฉันพี่ชายกับน้องสาวกับท่านหญิงแน่นแฟ้นเพียงไหน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำร้ายตัวเองจนตกอยู่ในสภาพนี้ ยังไม่พอเขายังทำเรื่องอันตรายเช่นนี้ต่อไปอีกด้วย
คิดไม่ถึงว่าคุณชายจะมีความหวังนี้เช่นนี้ ก็จริง อย่างไรเสียใครต่างก็รู้ว่า องค์ชายสี่เป็นภัยพิบัติในใจของฝ่าบาท หากคุณชายกำจัดเขาไปได้จริง ต่อให้การอวยยศโหวหรือเสนาบดี หรือแม้กระทั่งตำแหน่งที่สูงส่งกว่านายท่านก็อาจเป็นไปได้ทั้งนั้น
“แต่ว่าคุณชาย ทำเช่นนี้ออกจะอันตรายเกินไปแล้ว! โอกาสสำเร็จไม่สูงเลยจริงๆ โดยเฉพาะจุดยืนของอี้อ๋อง พวกเราเองก็ไม่รู้แน่ชัด!” คนชุดดำเอ่ยไปก็ยิ่งกังวลใจ ไม่ต้องพูดถึงองค์ชายสี่และเยี่ยเม่ยล้วนไม่ใช่บุคคลที่ต่อกรได้ง่าย ซ้ำยังมีอี้อ๋องที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกันแน่อีก
ไม่ว่ามองอย่างไร การเลือกเป็นศัตรูกับพวกเขา ถือว่าอันตรายมาก
ซือถูเฟิงหัวเราะเสียงย็นชา เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ลาภยศสรรเสริญต้องเสี่ยงชิงมาในคราวคับขัน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังมีชีวิตอยู่วันหนึ่ง เขาย่อมไม่ยินยอมให้ข้ากลับเมืองหลวง ท่านพ่อไม่มีวิธีช่วยเหลือข้าได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้นอกจากข้าช่วยเหลือตัวเองแล้วก็ไร้ทางเลือกอื่นอีก! เจ้าทำตามคำสั่งข้าก็พอแล้ว!”
“ขอรับ!”
ถึงในใจของคนชุดดำจะจนปัญญา แต่ก็ยังตอบรับ
ซือถูเฟิงถามขึ้นอีกว่า “ท่านหญิงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
คนชุดดำรีบตอบ “ท่านหญิง…ความจริงแล้วไม่กี่วันก่อน ฮองเฮาทรงมีพระราชเสาวนีย์ ประทานงานอภิเษกให้ท่านหญิงกับองค์ชายสี่ ท่านหญิงดีใจอยู่ได้ไม่กี่วัน ผลคือองค์ชายสี่ขัดพระราชเสาวนีย์ไม่พอ ข่าวนี้ส่งมาถึงวังหลวง ฝ่าบาททรงกักบริเวณฮองเฮาและองค์ชายใหญ่ จากนั้นท่านหญิงก็เริ่มร้องไห้ทั้งวันไม่หยุด…”
คนชุดดำเล่าไป ก็รู้สึกหมดคำพูด
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าท่านหญิงเป็นอะไรกันแน่ ถูกวางยาหรืออย่างไร เป่ยเฉินเสียเยี่ยนทำกับนางเช่นนั้น นางยังไม่ถอดใจ ตกต่ำลงมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังคงทำเช่นนี้ ช่าง…”
“ข้ารู้แล้ว!”
ซือถูเฟิงแสดงออกว่าเข้าใจแล้ว ไอสังหารในแววตาทวีความเข้มข้นขึ้น เพราะว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ย พวกเขาสองพี่น้องถึงรับความลำบากเช่นนี้ เขาย่อมไม่มีทางหยุดแน่ “จับตาดูพวกเขาไว้ให้ดี ความหวังทั้งหมดของข้าในตอนนี้ฝากไว้กับเจ้าแล้ว!”
“ข้าน้อยรับทราบ!”
……
ใกล้ชายแดน
เยี่ยเม่ยเลิกม่านหน้าต่างรถม้าขึ้น มองออกไปด้านนอก ตอนนี้เป็นยามจื่อ[1] อยู่ในช่วงกลางดึกพอดี
สายตาเป่ยเฉินอี้กวาดมองนาง กลับมีแววหวาดหวั่นอยู่หลายส่วน
เยี่ยเม่ยปล่อยม่านลง ถอนสายตากลับมามองเป่ยเฉินอี้ เมื่อเห็นสายตาแปลกๆ ของเขามองนางอยู่ จึงถามว่า “อี้อ๋องมองอะไรกัน”
เป่ยเฉินอี้นิ่งไป ถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว
เยี่ยเม่ยกลับเข้าใจแล้ว แค่นเสียงเย็น “อี้อ๋องมองเห็นข้าเป็นอีกคนหนึ่งใช่หรือไม่”
คำพูดของนางตรงมาก เป่ยเฉินอี้คร้านจะปิดบัง “ในเมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยเข้าใจแล้วไฉนยังต้องถามด้วย”
“หึ…” เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็น
เป่ยเฉินอี้พลันถามว่า “หลายวันมานี้ คล้ายแม่นางเยี่ยเม่ยจะมีความในใจ”
หัวใจเยี่ยเม่ยในเวลานี้เต้นระรัว หรือเรื่องที่นางจำอะไรขึ้นมาได้ถูกเขาพบเห็นแล้ว นางจ้องใบหน้าของเขา เห็นสีหน้าสูงศักดิ์และเย็นเยือก ก็เปลี่ยนความคิด น่าจะยังไม่ใช่
ไม่เช่นนั้น เป่ยเฉินอี้ต้องถามถึงฐานะของนางแน่
อย่างนั้น…
นางมองเป่ยเฉินอี้ “ถูกแล้ว ข้าคิดอยู่ตลอดว่า เจ้าเมืองหลินรู้ฐานะของจิ่วหุนได้อย่างไร! คนของซือถูเฟิงบอกหรือท่านอ๋องบอกด้วยตัวเองกันแน่!”
นางใคร่ครวญปัญหานี้อยู่จริงๆ เมื่อเอ่ยออกมาในยามนี้ก็บังเอิญใช้เป็นเหตุผลปิดบังได้
เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วกลับยิ้มออก “ข้ายอมให้ แม่นางเยี่ยเม่ยสามครั้งแล้ว หากยังยอมแม่นางอีก แม่นางเยี่ยเม่ยคิดจะจ่ายค่าตอบแทนอย่างไร”
“หากอี้อ๋องไม่ยอมพูด ข้าบีบเจ้าเมืองหลินก็ไม่แน่ว่าจะไม่ได้คำตอบ!” เยี่ยเม่ยตอบกลับไปอย่างเฉยเมย
รอยยิ้มบนใบหน้าเป่ยเฉินอี้ชัดเจนขึนอีก เอ่ยว่า “ดูท่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะไม่ยอมเสียเปรียบเลยสักนิด!”
“ในโลกนี้จะมีคนยอมเสียเปรียบด้วยหรือ” เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วย้อนถาม จากนั้นเอ่ยเสียงนิ่งว่า “อี้อ๋องยินยอมพูดก็พูด ไม่ยินยอมพูด ข้าก็ไม่บังคับ!”
เป่ยเฉินอี้จ้องอยู่นาน กลับยิ้มแล้ว พยักหน้าเอ่ย “เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอให้แม่นางไปเค้นถามเขาดูแล้ว !”
แต่หลังจากที่ เป่ยเฉินอี้พูดพร้อมอมยิ้ม เยี่ยเม่ยเกิดความคิดทำร้ายคนขึ้นมา
ก่อนจะเอ่ยต่อ
นางพลันรับรู้ถึงพลังปราณคุ้นเคยกระแสหนึ่ง ไอมารเข้มแข็งมาจากคนที่นางคุ้นเคยมาก คนที่คะนึงหามาตลอดหลายวัน
เวลาเดียวกันนี้ รถม้าหยุดลงแล้ว
เยี่ยเม่ยลุกขึ้น เดินไปหน้าประตู เปิดม่านรถม้าออก นางทำกิริยาเช่นนี้ออกไป เป่ยเฉินอี้เห็นท่าทางร้อนรนแทบทนไม่ไหวของนาง นัยน์ตาก็ลุ่มลึกขึ้น
ม่านรถถูกเปิดออก
นางก็เห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยามนี้เขานั่งอยู่บนหลังม้า มองนางด้วยความสงบ บนชุดของเขามีไอเย็นจากการขี่ม้าข้ามราตรีในฤดูเหมันต์ ในเสี้ยวนาทีที่มองนาง ดวงตาร้อยกาจคู่นั้นปรากฏความคลายใจ ไม่ช้าก็ปกคลุมไปด้วยความเย็นเยือก
เยี่ยเม่ยชะงักงัน ไม่เข้าใจว่า จู่ๆ ไฉนเขาถึงพลันเปลี่ยนสีหน้า
นางหันกลับไปมองเป่ยเฉินอี้ หรือเป็นเพราะเขาไม่อยากเห็นเป่ยเฉินอี้กันแน่ นางไม่ถามออก ถึงบอกว่านางยังคงโดยสารรถม้าของเป่ยเฉินอี้กลับเมืองหลวงจะสบายเป็นพิเศษ แต่เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาแล้ว นางยังยินยอมขี่ม้าร่วมกับเขา
เมื่อเดินไปถึงข้างม้าของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางยังไม่ทันเอ่ย เขาก็ยื่นมือออกมาดึงนางขึ้นไปนั่งบนหลังม้าอย่างแรง
เยี่ยเม่ยอึ้งไปเล็กน้อย หันมองเขาด้วยความแปลกใจ “ท่านเป็นอะไร”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองประเมินนาง เผยรอยยิ้มสง่างามทว่าอันตราย “ฮูหยินคิดว่า เยี่ยนสมควรดีใจอย่างนั้นหรือ”
[1] 23.00-01.00