เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 247 นางหมั้นหมายแล้ว ยังรับขลุ่ยหยกโลหิตของข้าอีกหรือ
- Home
- เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]
- ตอนที่ 247 นางหมั้นหมายแล้ว ยังรับขลุ่ยหยกโลหิตของข้าอีกหรือ
ดูท่าทางแบบนี้คงเตรียมกลับไปคิดบัญชีนางแล้วแน่
จะว่าไปตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืน อยู่ข้างนอกไม่อาจคิดบัญชีได้สะดวก แต่ว่าหลังจากกลับไปแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะทำอย่างไรนะ
เยี่ยเม่ยเริ่มใคร่ครวญอยู่ในใจ
เมื่อนางถามเช่นนี้
น้ำเสียงน่าฟังแฝงไปด้วยโทสะของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดังแทรกผ่านสายลมราตรี “ในเมื่อฮูหยินรู้ว่าจะกลับไปคิดบัญชี รู้ทั้งรู้อยู่แล้วไฉนต้องถามด้วย”
อืม
ก็ได้ เขาเตรียมกับไปคิดบัญชีกับนางแล้วจริงๆ
ไม่รู้เพราะอะไร เยี่ยเม่ยตัวสั่นอย่างไม่มีเหตุผล นางกระชับผ้าคลุมบนร่าง ผ้าคลุมขนเตียวของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแตกต่างกับผ้าคลุมขนเตียวของเป่ยเฉินอี้โดยสิ้นเชิง
บนผ้าคลุมขนเตียวของเป่ยเฉินอี้มีกลิ่นอำพันทะเล หลังจากคลุมแล้ว กลิ่นหอมนั้นทำให้คนหลับได้ง่าย รวมถึงคลายจากความตื่นตัว แต่ก็เพราะสรรพคุณเช่นนี้ ดังนั้นตอนนี้ที่เยี่ยเม่ยคลุมผ้าคลุมไว้ยิ่งไม่กล้าผ่อนคลายเลย
ทุกวินาทีที่ใช้ผ้าคลุมขนเตียวรู้สึกเหมือนขอหนังกับเสือ ทำให้คนไม่สงบใจ
ทว่าผ้าคลุมขนเตียวของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต่างกันโดยสิ้นเชิง
ผ้าคลุมไม่มีกลิ่นอะไรทั้งนั้น ตอนอยู่บนร่างนางกลับมีไออุ่นจากร่างเขา คลุมแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นรวมถึงปลอดภัย ทำให้คนที่ถูกคลุมไว้ด้านในรู้สงบใจอย่างแท้จริง
นางคิดไปหลากหลายเรื่อง ภายใต้อารมณ์สงบใจเช่นนี้ พิงกายไปด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว ขยับเข้าใกล้อ้อมอกเขาอีกนิด
การกระทำเล็กๆ ของนางทำให้เขาตัวแข็งทื่อในทันที
ในขณะเดียวกันก็ทำให้อารมณ์ไม่ยินดีที่มีอยู่ในยามนี้ ค่อยๆ คลายลงไปหลายส่วน ยังดีที่ถึงสตรีนางนี้จะ ‘มีเหตุผล’ เสียจนเขาโมโห แต่ท้ายที่สุดแล้วใจนางก็ยังใกล้ชิดเขา
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ โทสะในใจเขาก็ยังไร้หนทางสงบลง
อวี้เหว่ยและเสี่ยวกวนมองพวกเขาขี่ม้าจากไปก็รีบติดตาม อวี้เหว่ยไม่พูดพร่ำก็ทะยานขึ้นม้า ห้อตะบึงตามไป
เสี่ยวกวนพาคนใต้บัญชาทั้งหมดวิ่งตามหลังไปอย่างหมดคำพูด…
เขาเหนื่อยใจเหลือเกิน ในฐานะองครักษ์ลับ การเคลื่อนไหวของพวกเขาย่อมเป็นไปอย่างลึกลับ การขี่ม้าจะเปิดเผยตัวตนได้ในวินาทีแรก ดังนั้นไม่ว่าออกไปทำภารกิจใด พวกเขาล้วนใช้วิชาตัวเบา นั่นก็ทำให้พวกเขามีวิชาตัวเบาที่ดีมาก
แต่ต่อให้ดีแค่ไหน…
ก็ไม่สามารถคุ้มครององค์ชายสี่ที่พาพระชายาขี่ม้าไปได้
เมื่อเห็นอวี้เหว่ยขี่ม้าจากไปลำพัง
พวกเขารั้งท้ายต่อสู้กับความคิดโลดแล่นในจิตใจ
เขารู้สึกเหนื่อยจริงๆ
อวี้เหว่ยไสม้าห่างไปได้ไม่กี่ร้อยเมตร หันกลับมามองเสี่ยวกวนด้วยความยินดีในโชคร้ายของผู้อื่น เขาโบกมือให้เสี่ยวกวน…
จากนั้นหันหน้ากลับไปควบขี่ม้าต่อ
อวี้เหว่ยเห็นบรรยากาศขององค์ชายสี่และแม่นางเยี่ยเม่ยก่อนหน้านี้ไม่ปกติเอาเสียเลย โทสะของเตี้ยนเซี่ยยังไม่หาย ไม่แน่ว่าหลังจากกลับถึงชายแดนแล้ว พวกเขาอาจจะทำเรื่องที่ชวนให้เขินอายก็ได้…
อวี้เหว่ยกุมหน้ากุมตา หัวใจเต้มโครมคราม รู้สึกเฝ้ารอได้พบเตี้ยนเซี่ยตัวน้อยๆ ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
จากนั้นเพราะเขากุมหน้า จึงไม่จับเชือกไว้ให้ดี
“เฮ้ย!”
“ตุบ!” คนร่วงลงมาจากหลังม้า…
……
ชายแดน
ภายในห้องซือหม่าหรุ่ย ซือหม่าหรุ่ยหยิบยาลูกกลอนที่เพิ่งปรุงเสร็จเตรียมป้อนให้จิ่วหุน จงรั่วปิงฉุกคิดได้ห้ามเอาไว้
“นี่ เจ้าอย่าลืมว่าครั้งก่อน…”
ครั้งก่อนตอนที่ซือหม่าหรุ่ยเข้าใกล้จิ่วหุน เกือบถูกเขาที่ไม่ได้สติแทงเอาแล้ว
ซือหม่าหรุ่ยหันมองนางทีหนึ่ง บอกให้นางวางใจ “ไม่เป็นไร ยามนั้นเขายังมีแรงต่อสู้ และยังเหลือเศษเสี้ยวจิตสำนึกอยู่บ้าง ยามนี้เขาอาศัยตัวยาในการยื้อชีวิต ไม่มีสติ พละกำลังก็ไม่มี ทำอะไรข้าไม่ได้!”
คราวนี้ จงรั่วปิงค่อยวางใจ
ก็จริง คนก็เหลือลมหายใจรวยรินแล้ว ยังจะเหลือสัญชาตญาณนักฆ่าจากไหนกัน
เป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากซือหม่าหรุ่ยเดินเข้าไป ก็ไม่ถูกขัดขวางใดๆ นางเอายาป้อนใส่ปากจิ่วหุน เขาก็ไม่ได้ลงมือกับนางอย่างที่คิดไว้
นี่ยิ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเขาใช้พละกำลังไปจนหมดสิ้น ซือหม่าหรุ่ยก็กังวลเล็กน้อย เมื่อร่างกายดำเนินมาถึงขั้นนี้จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเขายังมีเรี่ยวแรงกลืนยาลงไปหรือไม่
เห็นสีหน้าตื่นเต้นของซือหม่าหรุ่ย จงรั่วปิงก็เริ่มตื่นเต้นตามมาอย่างอดไม่ได้
คนทั้งสองจ้องมองจิ่วหุน ตั้งใจสังเกตความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าเขา
ซือหม่าหรุ่ยเองยื่นมือออกไป เชยคางของจิ่วหุนขึ้น รอปฏิกิริยาตอบรับของเขาอย่างสงบ เวลานี้กลัวแต่เขาจะไม่กลืนยาลงไป
ยังดีที่หลังจากรอไปสักครู่ ลำคอของเขาเกิดการขยับ กลืนเม็ดยาลงไป
ยามนี้ซือหม่าหรุ่ยวางใจแล้ว จงรั่วปิงมองนางคราหนึ่ง ถามว่า “น่าจะไม่เป็นไรแล้วใช่หรือไม่”
“อืม!” ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “กลืนยาได้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว! เพียงแต่ไม่รู้ว่าเยี่ยเม่ยเป็นอย่างไรบ้าง ซินเยว่เยี่ยนก็ยังไม่กลับมา ตอนนี้…”
ในขณะที่กำลังเอ่ยอยู่นั้น ด้านนอกประตูก็มีเสียงของ ซินเยว่เยี่ยนดังขึ้น “ข้ากลับมาแล้ว!”
……
“นายท่าน!” เฉิงฉู่ยืนอยู่เบื้องหน้ากูเยว่อู๋เหิน เขากล้ำกลืนความเจ็บปวดที่บั้นท้าย พูดไปแล้วเขาถูกโบยยังไม่ทันหายก็ต้องทำงานเสียแล้ว
กูเยว่อู๋เหินเงยหน้า วางพู่กันที่กำลังวาดภาพลง
เขาหยิบผ้าขาวเช็ดมือ สายตานิ่งสงบกวาดมองที่เฉิงฉู่ ถามเสียงเรียบว่า “สืบได้แล้วหรือ”
“ขอรับ!” เฉิงฉู่ตอบนับ จากนั้นรีบรายงานว่า “เยี่ยเม่ยผู้นั้น มีที่มาไม่ชัดเจน…”
ประโยคแรกที่เขาเอ่ยออกมา เรียกสายตาเรียบเฉยของกูเยว่อู๋เหินให้กวาดมองเขาอีกครั้ง ถามว่า “ที่มาไม่ชัดเจนหรือ”
“ถูกต้อง!” เฉิงฉู่พยักหน้า ในเวลาเดียวกันเหงื่อเย็นเยียบผุดพรายเต็มแผ่นหลัง “มีที่มาไม่ชัดเจนจริงๆ คล้ายกับว่าโผล่ออกมาจากอากาศก็ไม่ปาน”
กูเยว่อู๋เหินเงียบใช้ความคิดไปชั่วขณะ จากนั้นเอ่ยเสียงเรียบว่า “พูดต่อ!”
เฉิงฉู่ระบายลมหายใจออกมาทันที สืบความเป็นมาของเยี่ยเม่ยไม่ได้ เขากลัวว่าจะถูกนายท่านจัดการเสียแล้ว ดูท่าแล้วนายท่านไม่คิดจัดการเขา เขาย่อมต้องเบาใจ
เฉิงฉู่เล่าต่อ “นางปรากฏตัวที่ชายแดน ช่วยเหลือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนป้องกันเมือง นี่น่าสนใจก็คือ เพราะว่าการปรากฏตัวของนางทำให้เซียวชินจั่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่วประสบความพ่ายแพ้ครั้งแรกในชีวิต ไม่เพียงแค่นั้น นางยังทำลายตำนานไม่เคยพ่ายแพ้ของจิวมั่วเหอ ทำให้หลังจากเซียวซินทิ้งอำนาจทางการทหารไป ก็ทิ้งจดหมายลาไว้ จากไปโดยไร้ร่องรอย ความสามารถของสตรีนางนี้ เหนือกว่าคนทั่วไปมากจริงๆ!”
“อืม” กูเยว่อู๋เหินรับคำเสียงเรียบ เหมือนบอกให้เฉิงฉู่เล่าต่อ
ในเวลาเดียวกัน เรียวนิ้วยาวประดุจหยกสลัก หยิบการินน้ำชาใส่ถ้วย
แต่ในเวลานี้เฉิงฉู่เริ่มตื่นเต้น เงยหน้ามองอย่างระแวดระวัง เห็นสีหน้านายท่านของตนก็เอ่ยปากเล่าต่อ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือระหว่างแม่นางเยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคล้ายจะมีการพึ่งพากันอย่างไม่ธรรมดา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ปิดบังความชอบที่มีต่อเยี่ยเม่ยเลยแม้แต่น้อย อืม…ยังมีคำเล่าลือว่า คนทั้งสองหมั้นหมายกันแล้วด้วย!”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เฉิงฉู่รู้สึกว่าเหงื่อเย็นเยียบที่แผ่นหลังแทบจะไหลลงมาแล้ว
จากนั้นเป็นอย่างที่เขาคิดไว้ เมื่อกูเยว่อู๋เหินฟังประโยคนี้ มือที่รินชาอยู่พลันชะงักไปหลายวินาที เขาวางกาน้ำชาลง มองเฉิงฉู่ ถามเสียงเรียบว่า “เจ้าบอกว่านางหมั้นหมายแล้ว แต่กลับรับขลุ่ยหยกโลหิตของข้าไว้”