เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 248 ปั่นหัวกูเยว่อย่างนั้นหรือ
“ถูกต้อง! ไม่ผิด!” เฉิงฉู่รีบพยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วย เมื่อเอ่ยจบแล้วเขายังสงสัยว่าตัวเองโง่งมไปแล้วหรือเปล่า ตอบว่าถูกต้องไม่พอ ยังเติมคำว่าไม่ผิดอีก จะถูกสงสัยว่าเยาะเย้ยที่เห็นคนอื่นมีความทุกข์หรือไม่
คราวนี้เขารีบทำทีโมโหเรียกร้องความเป็นธรรม เพื่อรักษาความเบาปัญญาของตนที่แสดงออกไปอย่างผิดพลาด “เยี่ยเม่ยผู้นี้ช่างทำเกินไปนัก นางคิดจะปั่นหัวท่านหรืออย่างไรกัน”
“หึ…” กูเยว่อู๋เหินแค่นหัวเราะเสียงเย็น เอ่ยเสียงเรียบว่า “ปั่นหัวกูเยว่อย่างนั้นหรือ”
เมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา นัยน์ตาของเขายังคงเรียบเฉย ทว่าเขาลุกขึ้นมาแล้ว ยามดอกบัวดำบนชุดสยายลู่ตามลม ยิ่งขับเน้นความหล่อเหลาสง่างามของเขา กูเยว่อู๋เหินก้าวเท้าเดินออกจากห้อง
เฉิงฉู่เห็นท่าทางของเจ้านายก็ตกตะลึง อดถามไม่ได้ว่า “นายท่าน ท่านเตรียมจะ…”
“นางอยู่ที่ใด” น้ำเสียงราบเรียบเช่นเคยถามขึ้น รองเท้าสีขาวปลอดของเขาก้าวออกจากห้องไปแล้ว
เฉิงฉู่รีบตอบกลับไป “นายท่าน นางไปชายแดนแล้ว คิดว่าจะทำสงครามกับต้ามั่วอีก แล้วก็…ครั้งนี้นางขอสมุนไพรไปเพื่อรักษาจิ่วหุน ยังมีเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ จิ่วหุนผู้นั้นปกป้องนางเป็นพิเศษ ตามที่ได้ฟังมาเพราะความหึงหวง เขาประลองกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนบนกำแพงเมืองตั้งหลายกระบวนท่า…….”
เฉิงฉู่เอ่ยออกมา มุมปากก็กระตุก
เรื่องหึงหวงตามปกติแล้วเป็นเรื่องที่สตรีชอบทำมิใช่หรือ ไฉนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับจิ่วหุน บุรุษสองคนนี้ก็ยังเป็นไปด้วย
พวกเขาสองคน…แค่ก
สมองยังใช้การได้อยู่หรือไม่
กูเยว่อู๋เหินฟังแล้ว สีหน้าอารมณ์ยังไม่แปรเปลี่ยน เอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้ารู้แล้ว ไปเตรียมม้า”
“นายท่าน ท่านจะไปชายแดนหรือ” เฉิงฉู่มองแผ่นหลังของเจ้านายอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
หลายปีมานี้นายท่านออกไปข้างนอกน้อยครั้งมาก
สายตากูเยว่อู๋เหินกวาดมองเขาเรียบๆ ไม่พูดไม่จา ทว่าแววตาคล้ายกำลังมองตัวโง่งม เฉิงฉู่มุมปากกระตุก พลันรับรู้ถึงความเขลาของตน รีบหมุนตัวไปเตรียมม้า
ในใจกลับอัดแน่นไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
มารดามันเถอะ…
นายท่านถึงกับยอมออกจากหมู่ตึกเพื่อเยี่ยเม่ย อีกทั้งยังเดินทางไกลไปถึงชายแดน….จากนิสัยเฉยชาของนายท่านแล้ว เฉิงฉู่ไม่อยากเชื่อจริงๆ
แต่เมื่อเขาคิดถึงเยี่ยเม่ย
คนที่สามารถทำให้คนอย่างซ่งอวี้เชวียหัวหมุน ถูกหลอกครั้งหนึ่ง ทั้งยังเอาชนะเซียวชินและจิวมั่วเหอได้ ซ้ำเขาเฝ้าอยู่หน้าประตูนานขนาดนั้น ยังไม่อาจเฝ้าคนไว้ได้ ปล่อยให้นางขโมยของได้สำเร็จภายใต้การจับตาดูของตน
เมื่อเอ่ยเช่นนี้…
เขารู้สึกว่าหากนายท่านต้องการสตรีนางนี้ ต่อให้ต้องสิ้นเปลืองความคิดมากมายก็นับว่าคุ้มค่า
……
บนรถม้าเป่ยเฉินอี้
เสียงไอแห้งเบาๆ ดังขึ้นอยู่เป็นระยะไม่ขาดสาย ชิงเกอรีบเปิดผ้าม่านเข้าไปรับใช้ เขารู้ดีแก่ใจว่า เดิมทีร่างกายของนายท่านก็อ่อนแอมากเพราะพิษอยู่แล้ว สองสามวันมานี้ยกผ้าคลุมให้เยี่ยเม่ย ใช้กำลังภายในคุ้มครองร่างกายของตัวเอง ร่างกายนี้ก็รับไม่ไหว
หลังจากเข้าไป ชิงเกอเอ่ยปากถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านจะให้หยุดรถเพื่อหาหมอมาตรวจดูดีหรือไม่”
การเดินทางครั้งนี้เซียวชินมิได้มาด้วย ดังนั้นชิงเกอค่อนข้างกังวลใจ
เป่ยเฉินอี้ไอโขลกอย่างแรงหลายคำ ห่อตัวอยู่ในผ้าคลุมขนเตียว โบกมือให้กับชิงเกอ น้ำเสียงนิ่งเฉยในเวลานี้ฟังแล้วแฝงไปด้วยความเหนื่อยอ่อน “ไม่ต้อง ร่างกายของข้า ข้ารู้ดีที่สุด”
ชิงเกอขมวดคิ้ว อดไม่ไหวเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง เยี่ยเม่ยผู้นั้นหาใช่จงเจิ้งซี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไฉนท่านต้องทนหนาว เอาผ้าคลุมให้นางด้วยเล่า”
เมื่อเขาถาม เป่ยเฉินอี้กลับคลี่ยิ้มออก เอ่ยเสียงขรึมว่า “ต่อให้ไม่ใช่ แต่ใบหน้าที่เหมือนอาซีไม่มีผิดของนาง เมื่อข้าเห็นแล้วจะอดทนมองนางรับความลำบากได้อย่างไร ชิงเกอ เจ้าก็เข้าใจว่าข้าผิดต่ออาซี”
แน่นอนว่าชิงเกอเข้าใจ ทว่าเขายังตาแดงเรื่อขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “ท่านอ๋อง คนเราควรมองไปข้างหน้า”
เป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว ก็หัวเราะออกมา กระชับผ้าคลุมแน่นขึ้น หลับตาลง เอ่ยเสียงนิ่งว่า “มองไปข้างหน้าหรือ นับตั้งแต่วินาทีที่อาซีตาย ชีวิตของข้าก็ติดชะงัก ไม่มีข้างหน้าข้างหลังอีกต่อไป”
ชิงเกอยามนี้เงียบลง ยิ่งรู้สึกรับไม่ได้อยู่ภายในใจ
เขาเติบโตมาพร้อมกับท่านอ๋อง ย่อมรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมา ทุกเส้นทางที่ท่านอ๋องเดิน ทุกการเลือกล้วนเต็มไปด้วยความหนักแน่น แต่น่าเสียใจที่ชะตาชีวิตกลั่นแกล้งคน ในเสี้ยวเวลาที่เข้าใกล้ความใฝ่ฝันมากที่สุด กลับพบว่าตัวเองหลงรักจงเจิ้งซีเสียได้
ท่านอ๋องพ่ายแพ้ทุกสิ่งทุกอย่าง หลังจากการตายของจงเจิ้งซี ตั้งแต่นั้นหัวใจของท่านอ๋องก็ตายไปด้วย
“ท่านอ๋อง…” ชิงเกอปวดเจ็บเหลือเกิน แต่เขากลับไม่รู้ว่าตัวเองยังพูดอะไรออกไปเพื่อปลอบใจเจ้านายได้บ้าง
เป่ยเฉินอี้หลับตาลงสักพัก จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ชิงเกอ นางตายแล้วจริงๆ ใช่ไหม ตายแล้วใช่หรือไม่”
เขาถามชิงเกอซ้ำๆ คล้ายกับกำลังถามตัวเอง หรือถามสวรรค์ว่า
นางตายแล้วจริงหรือ
ยามที่ชิงเกอหันไปมองผู้เป็นนาย เห็นเป่ยเฉินอี้ในยามนี้ลืมตาขึ้นมา ดวงตาสุดหยั่งคาดคู่นั้นมีสีแดงเป็นปื้น เส้นเลือดฝอยสีแดง คล้ายกับร้องไห้ออกมาในยามนี้
คนที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เห็นใต้หล้าอยู่ในสายตา เห็นคนทั่วหล้าเป็นหมากในมือ แสดงโฉมหน้าด้านนี้ออกมา ยิ่งทำให้คนเจ็บปวด
ชิงเกอทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่สุดท้ายก็ยังก้มหน้า รู้สึกว่าศีรษะตัวเองหนักเป็นพันชั่ง พยักหน้าเงียบๆ “ใช่ เตี้ยนเซี่ย! นางตายแล้วจริงๆ! เยี่ยเม่ย นางไม่ใช่จงเจิ้งซี”
เป่ยเฉินอี้จ้องชิงเกอ ถามว่า “เจ้าคิดว่านางกับอาซีไม่เหมือนกันสักนิดใช่ไหม”
“ขอรับ! ไม่เหมือนเลยสักนิด!” ชิงเกอพยักหน้า กระบอกตาของเขาเองก็แดงเรื่อแล้ว เขารู้ว่าสำหรับท่านอ๋อง นี่คือคำตอบที่โหดร้ายมาก แต่ว่าเขาไม่อาจเอ่ยคำลวงท่านอ๋อง ทำให้ท่านอ๋องกอดความหวังที่เป็นไปไม่ได้
เช่นนั้นก็จะ…
ยิ่งทำร้ายมากไปใหญ่
เป่ยเฉินอี้ผงะ ในที่สุดก็หลับตาลง “ข้าเข้าใจแล้ว!”
ถูกต้อง เข้าใจแล้ว
เพราะว่าใบหน้าที่เหมือนกับจงเจิ้งซีของเยี่ยเม่ย เขาทำแผนการของตัวเองยุ่งเหยิงไปตั้งมาก ในเมื่อนางไม่ใช่อาซี อย่างนั้นเขาสมควรทำให้ทุกอย่างกลับสู่หนทางเดิม
เพียงแต่
เสี้ยวเวลาเพียงชั่วไฟลุก ในสมองเขามีภาพเยี่ยเม่ยล้มลงกับพื้น บอกว่าตัวเองมีประจำเดือนวาบขึ้นมา
แววตาเขาลุ่มลึกลงหันกลับไปมองชิงเกอ เอ่ย “สั่งให้คนจับตาดูการเคลื่อนไหวของเยี่ยเม่ยไว้ หากนางออกจากเมืองเพียงลำพัง รีบมารายงานข้าทันที!”
“ขอรับ!” ชิงเกอรับคำ ทว่าไม่เข้าใจว่า ทำไมท่านอ๋องถึงสั่งการเช่นนี้
ในเมื่อไม่เข้าใจ อย่างนั้นก็ไม่ถามแล้ว
หลังจากรับคำสั่ง เขาก็มองเป่ยเฉินอี้ถามว่า “ท่านอ๋อง เช่นนั้น…การเตรียมตัวก่อนหน้าของพวกเรายังจะพักไว้ก่อน ท่านมีแผนการอื่นหรือจะดำเนินตามแผนเดิม”
เมื่อเขาถาม เป่ยเฉินอี้ก็มองเขาเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่า ก่อนหน้านี้เจ้าไม่สนับสนุนแผนการของข้าไม่ใช่หรือ”
“ใช่!” ชิงเกอพยัหน้า “ข้าน้อยไม่เห็นด้วยที่ท่านจะทำลายใต้หล้านี้ ทำลายตัวเอง แต่เทียบกับการตามหาเงาของจงเจิ้งซีจากเยี่ยเม่ยอย่างอ่อนแอแล้ว เห็นท่านเจ็บปวด ไม่สู้ให้ท่าน…”