เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 25
เยี่ยเม่ยอึ้งไปเล็กน้อย
ความจริงมาจนถึงบัดนี้ ไม่มีใครรังแกนางได้สำเร็จ ดังนั้นนางไม่ต้องการการปกป้อง
เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนี่ต้องการตอบแทนบุญคุณที่นางช่วยชีวิต
นางใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ปฏิเสธเสียงเย็นว่า “ข้าไม่ต้องการให้ปกป้อง ข้าช่วยเจ้ามิได้ต้องการให้เจ้าตอบแทน เจ้าไปเถอะ!”
เด็กหนุ่มผู้นั้นได้ฟัง ก้มหน้าลงเงียบๆ ไม่พูดจา
ไม่ตอบว่าไปหรือไม่ไป แต่ว่าเท้ายังนิ่งสนิทไม่ไหวติง
เยี่ยเม่ยเห็นปฏิกิริยาของเขา ก็รู้ว่าเขาไม่คิดจากไป ถอนใจอย่างจนปัญญา เอ่ยเสียงนิ่งต่อ “เจ้าติดตามข้า ไม่กลัวข้าเอาเจ้าไปขายหรือ”
เด็กหนุ่มได้ฟัง ปรายตามองนาง จากสีหน้าเย็นชาของอีกฝ่าย ดูไม่ออกว่านางกำลังล้อเล่นหรือพูดจริง
เขาชะงักไปชั่วครู่ เอ่ยเสียงเบา “ไม่กลัว”
เยี่ยเม่ย “…เจ้าคงดูออกว่าข้าเป็นพวกคนคุณธรรมสูงส่งแน่ๆ รู้ว่าข้าไม่อาจขายเจ้าได้ ถึงได้กล้าติดตามข้า ช่างเถอะ หากจะตามก็ตาม!”
เยี่ยเม่ยเอ่ยจบ หันหลังเดินไป
ผู้อื่นดึงดันจะติดตามปกป้องนางให้ได้ ไม่มีเจตนาร้ายอันใด นางคงไม่อาจลงมือขับไล่เขาไปหรอก คิดว่าหากเขาตอบแทนคุณได้แล้ว ก็คงจากไปเอง
นางเบาใจลง โทษตัวเองที่ดูมีคุณธรรมมากเกินไป ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกว่าเป็นคนดี
เด็กหนุ่มนิ่งไปมองแผ่นหลังของนาง นางเป็นคนคุณธรรมสูงส่ง…?
เขาก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน มองแผ่นหลังเยี่ยเม่ยเงียบๆ
ผ่านไปอีกสองชั่วยาม
เยี่ยเม่ยพาเขาไปร้านเสื้อผ้า ตัวเขาสกปรกมอมแมมไปทั้งร่าง ต้องเปลี่ยนชุดสะอาด เขาก็ไม่ปฏิเสธ เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความเชื่อฟัง เยี่ยเม่ยยืนกอดอกพิงกำแพงรออยู่ด้านนอก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เจ้าเด็กนั่นก็ออกมาแล้ว
เยี่ยเม่ยมองเขา จากนั้นก็อึ้งไปอีกครั้ง
เป็นอย่างที่ว่าคนงามเพราะแต่ง เดิมทีเขาก็หน้าตาไม่ธรรมดาอยู่แล้ว รูปร่างสูงราวร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร กอปรกับหน้าได้รูปมากพอให้คนหลงใหล เวลานี้สวมชุดยาวสีขาว ยิ่งเน้นย้ำความหล่อเหลา บริสุทธิ์ดุจปุยเมฆไร้ราคีบนฟากฟ้า
เยี่ยเม่ยพยักหน้าพอใจ “ไม่เลว!”
นางล้วงถุงเงินออกจากแขนเสื้อ นั่นคือถุงเงินที่นางรีดไถมาจากเจ้าคนที่สะกดรอยตามนาง หยิบเงินมอบให้เถ้าแก่ร้านเสื้อผ้า
เยี่ยเม่ยถาม “พอไหม”
เถ้าแก่พยักหน้า เอ่ยปนหัวเราะ “พอแล้ว!”
เยี่ยเม่ยออกจากประตูไป เด็กหนุ่มติดตามในทันที เดินไปไม่กี่ก้าว เยี่ยเม่ยเอ่ยถามเสียงนิ่งไม่หันหน้ากลับมา “ข้าจะรู้ชื่อของเจ้าได้หรือไม่ คงไม่ให้ข้าเรียกเจ้าว่า ‘นี่’ ไปตลอดหรอกนะ”
เด็กหนุ่มเงียบไปสักพัก
ราวกับเขาไม่ชอบพูดจริงๆ อ้าปากอึกอัก ในที่สุดก็พ่นคำพูดออกมาได้สองคำ “จิ่วหุน”
พูดจบก็ก้มหน้ามองพื้น เข้าสู่โลกส่วนตัวของตนเองอีกครั้ง
เยี่ยเม่ยตอบรับเสียงนิ่ง “รู้แล้ว”
หลังจากสิ้นเสียง พวกนางก็ผ่านร้านขายอาวุธพอดี เยี่ยเม่ยคิดถึงมีดสั้นของตน ก่อนหน้าตอนตกลงมาจากท้องฟ้า มีดทื่อลงเพราะกรีดกับหน้าผา ถึงจะใช้งานได้ ทว่าไม่คมเท่าเมื่อก่อนอีก ในที่สุดก็ก้าวเข้าร้านอาวุธ เตรียมซื้อมีดเล่มใหม่ให้ตัวเอง
เสี่ยวเอ้อร้านอาวุธปรี่เข้ามา “แม่นาง เจ้าต้องการอาวุธอะไรหรือ อาวุธของพวกเราล้วนเป็นของชั้นดี ยังมีอาวุธที่ทำจากอัญมณี วันนี้แม่นางมาได้จังหวะพอดี มีคนมาจำนำมีดสั้นเล่มหนึ่งที่ร้านเรา ตัดเหล็กได้ราวตัดดินเหนียว หลายปีมานี้ข้าไม่เคยเห็นมีดสั้นดีขนาดนี้มาก่อน แม่นางอยากดูหรือไม่”
เสี่ยวเอ้อเอ่ยจบก็หยิบกล่องผ้าต่วนออกมาด้วยตัวเอง
เขาเห็นสองคนนี้ หน้าตาไม่ดาษดื่น ท่วงท่าไม่ธรรมดา ดูแล้วคล้ายคนมีฐานะ ดังนั้นรีบแนะนำของดีในทันที
เขาเปิดกล่องให้เยี่ยเม่ยชมดู
มีดสั้นเล่มนั้นดูแล้วเปล่งประกายแวววาว ทั้งที่ไม่มีคนใช้แต่แสดงความคมออกมาด้วยตัวเอง ด้ามมีดสั้นยังประดับด้วยอัญมณี
เยี่ยเม่ยคิดถึงจำนวนเงินในถุง มองมีดสั้นเล่มนี้ เอ่ยเสียงนิ่งจริงใจว่า “ไม่เลวเลย แต่ซื้อไม่ไหว”
นางไม่อยากหวั่นไหว คงต้องตัดใจแล้วล่ะ
เสี่ยวเอ้อนิ่งไป คิดไม่ถึงว่านางจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่าซื้อไม่ไหว ลูกค้าปกติในยามซื้อไม่ไหว มักแกล้งทำเป็นไม่ชอบเพื่อไม่ให้เสียหน้า
เวลานี้เขารู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา ดังนั้นไม่เกิดความรู้สึกไม่ดีกับนาง
เขาเอ่ยต่อทันทีว่า “อย่างนั้นพวกเราดูอย่างอื่น…”
แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเอ่ยจบ จิ่วหุนที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านข้าง พลันล้วงตั๋วเงินออกจากแขนเสื้อวางบนโต๊ะ
เมื่อมองดูตัวเลข เสี่ยวเอ้อตกใจในทันที
ทองคำหมื่นตำลึง!
เยี่ยเม่ยเอ่ยก็ตกตะลึง หันกลับไปมองเด็กหนุ่มผู้นี้ด้วยความแปลกใจ ทองคำหมื่นตำลึง เชื่อว่าไม่ว่าเป็นยุคโบราณหรือปัจจุบัน ล้วนเป็นเงินก้อนโต! เขามีเงินมากขนาดนี้ ไฉนถึงเกือบถูกขายให้เม่ยเซียงเก๋อได้
พวกที่จะจับเขาตาบอดไปแล้วหรือเปล่า จับเขาไปทำไม เอาเงินเขาไปไม่ใช่จบเรื่องแล้วหรือไง
เห็นเยี่ยเม่ยมองเขาอย่างตะลึง
เวลานี้เขายื่นมือล้วงเข้าไปในแขนเสื้อตัวเองอีก ควักตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมา
ตั๋วเงินปึกถูกจับรวมกันอย่างขอไปที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใส่ใจเงินเหล่านี้ ดังนั้นไม่ได้พับเก็บอย่างเรียบร้อย
เขาถือตั๋วเงินพวกนั้น ยัดใส่มือเยี่ยเม่ยทั้งหมดราวกับเป็นกระดาษไร้ค่ากองหนึ่งก็ไม่ปาน เสียงเบาประหนึ่งสัตว์ตัวน้อยเช่นเดิม “ให้เจ้าทั้งหมด อยากซื้ออะไรก็ซื้อ ข้ายังเหลือที่ฝังไว้ในถ้ำอีก ตอนผ่านไปค่อยขุดมาให้เจ้า”
เยี่ยเม่ย “…”
นางรู้สึกเหมือนตัวเองเก็บเศรษฐีมาได้
ทว่าเจ้าหนุ่มที่ดูแล้วอายุน้อยนี้ ไฉนถึงมีเงินมากนัก?!
เยี่ยเม่ยก้มหน้ามองผ่านๆ ตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลัง สองหมื่นตำลึง ซ้ำยังมีแสนตำลึงอีกหลายใบ สิ่งที่น่าตระหนกที่สุดก็คือ ในตั๋วทั้งหมดเขียนว่าทองก้อน
เสี่ยวเอ้อมองตั๋วเงินในมือเยี่ยเม่ย อ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อ ปากกว้างพอยัดไข่ได้เข้าไปฟองหนึ่ง
ชีวิตนี้ในยามฝันก็ไม่เคยเห็นมากมายเท่านี้มาก่อน คุณชายรูปงามยังพูดอะไรอีกนะ ในถ้ำซ่อนไว้เยอะมาก? เป็นถ้ำที่ไหนกัน เขาอยากไปขุด!
เมื่อคิดว่าตนเคยช่วยชีวิตเขา เยี่ยเม่ยก็คร้านจะเกรงใจ อีกทั้งมีดสั้นนี้นางก็อยากซื้อจริงๆ
ดังนั้นนางเก็บตั๋วแลกเงิน ปรายตามองเสี่ยวเอ้อ “มีดสั้นเล่มนี้ราคาเท่าไหร่”
“พันตำลึงทอง” เสี่ยวเอ้อตอบ
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เสียงนิ่ง “อย่างนั้นซื้อ”
เสี่ยวเอ้อรีบมอบมีดสั้นให้นาง ดูตื่นเต้นราวพบเศรษฐี ตัวสั่นหาเงินทอนให้พวกนาง
นางเก็บมีดสั้นเล่มใหม่ใส่ปลอกหนัง ในแขนเสื้อมีเงินก้อนใหญ่ เยี่ยเม่ยรู้สึกทอดถอนใจ หากให้สหายในโลกก่อนของนาง เยาเนี่ยนักฆ่ามือหนึ่งผู้เห็นเงินดั่งชีวิตพบเงินก้อนโตตกลงมาจากฟากฟ้าเช่นนี้ เกรงว่าจะตื่นเต้นจนเป็นลมล้มพับไป!
พูดไปแล้ว เยี่ยเม่ยรู้สึกคิดถึงเยาเนี่ยขึ้นมา
นางถือมีดสั้น เก็บเงิน นำจิ่วหุนออกจากประตูไป
นางมองจิ่วหุน เดิมคิดว่าเขามอบเงินมากมายให้นาง ก็นับเป็นการตอบแทนแล้วจะจากไป
ทว่าคิดไม่ถึงว่าเจ้าหนุ่มนี่ยังเดินตามฝีก้าวอยู่ข้างหลังนาง เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกพิกล หันกลับไปถามเสียงเย็นว่า “ภายหน้าเจ้าเตรียมจะติดตามข้าไปตลอดเลยหรือ”
จิ่วหุนก้มหน้าลงไม่มองนาง หรือเขากลัวการจ้องหน้ากับคนอื่น เพียงตอบรับคำหนึ่ง “อือ”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เสียงนิ่ง “งั้นก็ได้ ดูแล้วเจ้าเด็กกว่าข้า ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ภายหน้าเจ้าก็เรียกข้าว่าพี่สาวแล้วกัน!”
นางไม่รู้สึกรังเกียจเจ้าหนุ่มนี่ หรือบอกว่าพบหน้าครั้งแรก ตอนตัดสินใจช่วยเขาก็รู้สึกสนิทชิดเชื้อ เป็นพี่น้องก็ไม่เลว
คิดไม่ถึงว่าเมื่อนางเอ่ยออกไป
จิ่วหุนรีบเงยหน้ามองนางทันที สีหน้าขรึมลง ใบหน้าได้รูปนั้นดูไปแล้วฉายความไม่พอใจและอึดอัด จากนั้นก้าวเท้าเดินผ่านข้างกายเยี่ยเม่ยไป ปฏิเสธไร้เยื่อใยว่า “ไม่เรียก!”
เยี่ยเม่ยมองแผ่นหลังเขางงงัน ดูเหมือนเขากำลังโมโห
ไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มนี่แง่งอนอะไร หรือว่าเรียกนางเป็นพี่สาวแล้วเสียเปรียบ? เขารู้หรือไม่ว่าในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด มีคนมากมายเท่าไหร่ที่คิดติดตามเรียกนางว่าพี่ นางล้วนไม่ใส่ใจทั้งสิ้น
ในขณะที่คิดอยู่
ในเวลานี้เอง เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น
คนผู้หนึ่งถูกโยนใส่พื้นโดยแรง คนผู้นั้นอยู่ด้านหน้าห่างออกไปห้าเมตร เยี่ยเม่ยเบิกตากว้าง แววตาเย็นเยียบขึ้นมา คนผู้นั้นคือ…