เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 251 ข้าหลงคิดว่าท่านจะถอนหมั้น!
พูดไปแล้ว หัวคิ้วของอวี้เหว่ยขมวดแน่น
ก่อนหน้าเขาไม่ได้รับข่าวใดๆ ว่า มียอดฝีมือในการพรางกายอยู่ที่นี่ คนผู้นี้เป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่ ยังไม่ชัดเจน
ซือหม่าหรุ่ยกลับชะงักไป ไม่สนใจใครอีก รีบวิ่งออกไปนอกห้อง มองออกไปรอบๆ กลับไม่เห็นแม้แต่เงาใคร…
อวี้เหว่ยไม่เข้าใจสถานการณ์ของนาง วิ่งติดตามออกไป
เห็นซือหม่าหรุ่ยมองไปรอบๆ ทั้งสี่ทิศ เขาถามออกไปด้วยความสงสัย “ทำไมกัน เป็นคนที่เจ้ารู้จักหรือ เขาจากไปไกลแล้ว”
สีหน้าซือหม่าหรุ่ยเปลี่ยนไป อวี้เหว่ยเห็นความเสียใจบนใบหน้านางอย่างชัดเจน
เขายิ่งอึ้งทึ่ง
ซือหม่าหรุ่ยมองไปในความมืด ไม่เห็นคนที่ตัวเองอยากพบ ก็ค่อยๆ ถอนสายตากลับ หันมองอวี้เหว่ย ด้วยสีหน้าท้อแท้อยู่บ้าง ส่ายหน้าไปมา “ไม่ ไม่มีอะไร!”
อวี้เหว่ยมองนางด้วยความสงสัย
ซือหม่าหรุ่ยโบกมือ “เจ้ากลับไปรายงานก่อนเถอะ เรื่องที่นี่ต่อไปข้าจะระวังมากขึ้น!”
“ได้! เจ้าระวังตัวด้วย!” อวี้เหว่ยเอ่ยจบก็จากไป
ซินเยว่เยี่ยนตามออกมา เห็นสีหน้าซือหม่าหรุ่ย พลันเข้าใจอะไรขึ้นมาได้ ถามเสียงเบาว่า “เจ้าสงสัยว่า…”
“จะเป็นเขาหรือไม่” ซือหม่าหรุ่ยหันมองซินเยว่เยี่ยน
ซินเยว่เยี่ยนมุ่นคิ้ว พูดไม่ออกในคราแรก “เขาหายสาบสูญไปหลายปี อีกอย่างมีคนจำนวนไม่น้อยที่คอยจับตามองเจ้าเพื่อตามหาเขา ทำให้หลายปีมานี้เจ้าไม่เคยพบเขาเลย ยามนี้ในชายแดน คนข้างนอกพวกนั้นจับตาดูเจ้าไม่ได้ แต่เขาก็เข้ามาได้ยากเช่นกัน”
ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยไปตามเหตุผล
ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “เจ้าพูดถูก ต่อให้เซียวชินมีวรยุทธ์สูงแค่ไหน คิดเข้าชายแดนมาโดยไร้สุ้มเสียง ทั้งยังมาเฝ้าสังเกตการณ์ข้าโดยไม่ถูกจับได้ ยากเกินไปแล้ว! นอกจากมีคนพาเขาเข้ามา!”
“แต่ใครจะพาเขาเข้ามา” ซินเยว่เยี่ยนย้อนถาม ไม่ช้าก็เอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยไม่รู้จักเขาสักหน่อย อีกอย่างหากรู้จัก นางสมควรบอกกับพวกเรา จากนิสัยขององค์ชายสี่ไม่มีทางร่วมมือกับใครแน่ ยังมีผู้ใดอีก”
ซือหม่าหรุ่ยหน้าขรึม “เจ้าพูดก็ถูก!”
เช่นนั้นเซียวชินไม่น่ามีวิธีเข้าได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ใครกันที่ลอบจับตาดูนาง ไม่ใช่เขาจริงๆ ใช่หรือไม่
“ช่างเถอะ ไม่ใช่เขาหรอก!” ซือหม่าหรุ่ยส่ายหน้า “ข้าน่าจะคิดมากไปเอง!”
……
ภายในห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
คนสองคนนั่งจ้องหน้ากัน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเปลี่ยนชุดใหม่ทั้งหมด รัดเกล้าหยกแดงรวบผมขึ้น ดูแล้วมีความหล่อเหลาเยือกเย็น
เยี่ยเม่ยนั่งตรงหน้าเขา
นางก็ผลัดเปลี่ยนชุดสะอาดแล้วเช่นกัน…
ผ้าห่มและของอื่นๆ บนเตียงถูกเปลี่ยนเป็นชุดใหม่หมด
คนทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน เห็นสีหน้าที่เรียกว่าไม่ดีเลยของเขา ในชั่วขณะหนึ่งเยี่ยเม่ยไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
ความจริงแล้ว นางเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเหลือเกิน
ถึงขั้นรู้สึกอยากเอาหัวยัดใส่เข้าไปในถุงเลยด้วยซ้ำ นางรู้สึกว่าเรื่องน่าขบขันเช่นนี้ คนทั่วไปชั่วชีวิตคงไม่มีโอกาสได้พบเจอสักครั้งแน่…
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเองก็นิ่งเงียบ
เขาจ้องตานางเงียบๆ ทั้งยังระงับโทสะในใจ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมเรื่องมักเปลี่ยนเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย เขาคิดว่าเรื่องพวกนี้หากเปลี่ยนเป็นบุรุษอื่น บางทีอาจกลายเป็นเงามืดในใจแล้ว
เยี่ยเม่ยชะงักไป ชิงทำลายความอึดอัดขึ้นมาก่อน “คือว่า ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ก่อนหน้าข้ายังไม่ทันคิดถึง พอคิดได้แล้ว ข้ากำลังจะบอก ทั้งยังพยายามดึงกางเกงไว้ คิดไม่ถึงว่าข้ายังไม่ทันเอ่ยท่านก็…”
เยี่ยเม่ยเอ่ยไป พลางพยักหน้าเพื่อเน้นย้ำคำพูดของนาง “อืม ที่ข้าอยากบอกคือ ทุกอย่างคืออุบัติเหตุ ข้าไม่ได้ตั้งใจกลั่นแกล้งท่านเลยสักนิดเดียว!”
อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็น่าขยะแขยงมาก
นางหวนคิดถึงผ้าห่มเลอะเลือดที่ถูกบ่าวไพร่สีหน้าอึ้งทึ่งนำออกไปทำความสะอาดเมื่อครู่ นางยังได้กลิ่นแรงจนแทบอาเจียน
ยังดีที่
กางเกงรวมถึงผ้าซับเลือดที่นางใส่ก่อนหน้านี้ ถูกเขาเผาทิ้งไปก่อนที่บ่าวไพร่จะเข้ามาแล้ว
ไม่เช่นนั้นพวกบ่าวไพร่เห็นกางเกงเช่นนั้น แล้วนำออกไป ไม่ว่าจะเกิดความคิดประเภทไหนออกมา ตอนนี้…อย่างดีก็คิดว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บแล้ว ใช่ไหม
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้แน่ว่า นางไม่ได้ตั้งใจกลั่นแกล้ง
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง สูดลมหายใจลึก จ้องสตรีเบื้องหน้า น้ำเสียงน่าฟัง ค่อยๆ ถามว่า “ดังนั้นเพราะฮูหยินรู้ว่าตัวเองมีประจำเดือนแล้ว เยี่ยนคงไม่ทำอะไรเจ้า จึงจงใจบอกว่าจะแบกรับผลทุกอย่างใช่หรือไม่”
เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก มองเขาอย่างพูดไม่ออก เอ่ยเสียงนิ่ง “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าผลลัพธ์ที่ท่านหมายถึงคือผลลัพธ์เช่นนี้ ข้าหลงคิดว่าผลลัพธ์คือ ท่านรับไม่ได้ รู้สึกว่าข้าไม่คู่ควรเป็นภรรยา ไม่ปฏิบัติตนอย่างที่คู่หมั้นสมควรทำ ต้องการถอนหมั้นกับข้าอะไรพวกนั้น…”
ใครจะคิดว่าเขาคิดจะนอนกับนาง
คิดไม่ถึงว่าเมื่อนางเอ่ยออกมาเช่นนี้ เขายิ่งโมโหแล้ว
สายตาร้ายกาจกวาดมองนาง ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มอ่อนโยน มองแล้วชวนให้คนรู้สึกขนหัวลุกอย่างไร้เหตุผล
เขาจับจ้องสตรีตรงหน้า ค่อยๆ เอ่ยออกทีละคำว่า “ดังนั้นฮูหยินหมายความว่า เจ้าคิดว่าเยี่ยนจะถอนหมั้น ถึงไม่คิดรั้งเอาไว้เลยสักน้อย ไม่ใส่ใจเลยสักนิด เจ้าก็ตกลงแล้วใช่ไหม”
เยี่ยเม่ยอึ้งไปแล้ว “นี่…”
ถึงแม้นางไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่เมื่อมองจากมุมใดมุมหนึ่ง คำพูดของเขาคล้ายจะไม่ผิด เยี่ยเม่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง…
นางยกมุมปาก ใช้เสียงนิ่งถามออกอีกประโยคที่แทบทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนโมโหจนกระอักเลือดออกมา “หรือท่านคิดถอนหมั้น แล้วข้าไม่ยินยอม ข้ายังต้องคุกเข่าเพื่ออ้อนวอนรั้งท่านเอาไว้ด้วย”
ดังนั้น ต่อให้สุดท้ายเรื่องราวจะอธิบายได้เช่นนี้
คำพูดของนางสมควรไม่มีปัญหาเลยสักน้อย
ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเองก็โมโหแล้ว อย่างนั้นพูดความจริงไป ก็ไม่มีวิธีการรั้งเขาไว้ใช่ไหม
ดังนั้น นางยังทำอะไรได้อีกเล่า
ก็ต้องยอมรับอย่างไรล่ะ แสดงออกว่าจะรับผิดชอบ หากเขาอยากถอนหมั้น นางก็ยินดีรับ นางคงไม่ต้องคุกเข่าขอร้องให้เขาไม่ถอนหมั้นกระมัง
นางเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ทั้งยังรักศักดิ์ศรีด้วย
ในเสี้ยวเวลานั้น องค์ชายสี่ถูกยั่วโมโหจริงๆ…รู้สึกว่าจนปัญญาสื่อสารกับนางอีก
เขาเงียบไปนาน จ้องมองสตรีตรงหน้าที่แสดงสีหน้าว่าทุกอย่างมีเหตุผล ในที่สุดก็ใช้น้ำเสียงสุภาพค่อยๆ ถามออกมาประโยคหนึ่ง “เยี่ยเม่ย เจ้าไม่เคยเข้าใจการคิดในมุมมองของคนอื่นบ้างเลยหรือ”
เมื่อประโยคนี้เอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยก็นิ่งอึ้งไปแล้ว
นางครุ่นคิดชั่วครู่ คิดถึงการกระทำของตนเองหลายปีที่ผ่านมา ถึงยอมรับว่าเรื่องนี้เสียหน้าอยู่บ้าง แต่ความจริง…
นางมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ตอบตามตรงว่า “ความจริงแล้ว ข้าก็ทำอะไรตามใจมาตลอด!”
ไม่ว่านางจะทำอะไร ล้วนเริ่มจากมุมมองของตนเอง ปัญหาอื่นๆ ก็ล้วนใคร่ครวญจากมุมมองของนาง ไม่เคยมองจากมุมของผู้อื่นมาก่อน