เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 252 เม่ยเกอแสดงออกว่า ข้าสำนึกผิดแล้ว!
แต่ไหนแต่ไรมาเยี่ยเม่ยไม่เคยใส่ใจสิ่งเหล่านี้เลย
เยี่ยเม่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมนางถึงทำให้เขาโมโหแทบตาย แต่กลับไม่รู้สึกผิดกับการกระทำหรือพูดคำเลยสักน้อย
แต่ว่า…
แต่เยี่ยเม่ยก็ตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว “อืม บางครั้งก็มีคิดในมุมมองของคนอื่นบ้าง เพียงแต่ว่าเวลานี้ ข้ายอมรับว่าคิดไม่มากจริงๆ!”
ไม่มากจริงๆ ในชีวิตนี้มีไม่กี่ครั้งเท่านั้น เยี่ยเม่ยสามารถนับออกมาได้เลย
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้
เยี่ยเม่ยยามนี้ก็รู้สึกว่าปวดขมับ หากพูดจากหัวใจอันดีงามแล้ว อุปนิสัยและมุมมองความคิดของตัวเองก็มีคนรับได้น้อยจริงๆ
แต่ว่านางก็หาได้จงใจ…
ในฐานะที่เป็นนักฆ่าหาเงินโดยการเอาชีวิตเข้าแลก ชีวิตตลอดสี่ปีของนางล้วนฝึกฝนกลวิธีการสังหารคน คำนวณราคาค่าหัวคนที่จะถูกสังหาร และการคร่าชีวิต
การดำเนินชีวิตเช่นนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปใคร่ครวญปัญหามากมาย…
คนที่อยู่ร่วมกับกลุ่มนักฆ่ามาหลายปี ใช้ชีวิตร่วมกับสหายสนิทที่ความรู้สึกช้าทั้งกลุ่ม นางจะเป็นหงส์ในฝูงไก่[1] เข้าใจความรู้สึกคนได้อย่างไรเล่า อ้อ จริงสิ เรื่องความรู้สึกลูกพี่ดูเหมือนจะโดดเด่นอยู่เหนือพวกนางอยู่บ้าง
ในขณะที่นางครุ่นคิดอยู่หลายตลบ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันยื่นมือออกมา ในชั่วขณะนั้นเอง เยี่ยเม่ยคิดว่าเขาคงโมโหนางเจียนคลั่งแล้ว คิดจะทำร้ายนาง หญิงสาวยังหลบเขาตามสัญชาตญาณ
จากนั้น
ในเสี้ยวเวลาที่นางหลบ เขาคว้ามือนางได้อย่างแม่นยำ นางไม่อาจหลบได้อีก
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถอนหายใจเบาๆ จับมือนางไว้ ความอบอุ่นจากนิ้วมือส่งผ่านให้แก่กัน ทำให้หัวใจแข็งกระด้างของเยี่ยเม่ย ค่อยๆ รับรู้ถึงความอุ่นร้อนกระแสหนึ่ง ในเวลานั้นหัวใจก็สั่นไหวอยู่บ้าง มองใบหน้าของบุรุษเบื้องหน้า
นางเรียกเขาเบาๆ เสียงอ่อนลงไปหลายส่วน “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน…”
นัยน์ตาของเขากลอกมองนาง ใบหน้าหล่อร้ายกลับลดโทสะลง อ่อนโยนเพิ่มขึ้นหลายส่วน
น้ำเสียงน่าฟัง เอ่ยขึ้นด้วยท่วงทำนองเบาสบายเหมือนเคย “เยี่ยนเข้าใจแล้ว! อุปนิสัยของเจ้าเป็นเช่นนี้ เยี่ยนไม่ร้องขออะไรเจ้า เยี่ยเม่ย เจ้าไม่เข้าใจการคิดแทนผู้อื่น ดังนั้นเจ้าก็ไม่เข้าใจว่าจะรักคนผู้หนึ่งอย่างไร ปกป้องไม่ให้อีกฝ่ายไม่บาดเจ็บได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าไม่เข้าใจ เยี่ยนทนรับมากหน่อยก็ไม่เป็นไร เพียงแต่…”
เพียงแต่…
เพียงแต่อะไรกัน
เยี่ยเม่ยเห็นท่าทางของเขา ฟังน้ำเสียงจริงใจของเขา ในเวลานี้รู้สึกผิดขึ้นมาบ้าง
เขาไม่โทษนาง ทั้งไม่ขอร้องนาง กลับบอกแสดงออกว่าเข้าใจ
มือเขาห่อหุ้มเรียวนิ้วยาวของนาง เอ่ยด้วยเสียงอ่อนต่อไปว่า “เพียงแต่เยี่ยนหวังว่าอย่างน้อย เจ้าอย่าได้ไปเกี่ยวพันกับเรื่องพรรค์นี้อีกแล้ว โดยเฉพาะต้องรักษาระยะห่างกับบุรุษไว้ ได้หรือไม่”
“ข้า…” เยี่ยเม่ยเห็นท่าทางของเขา ในคราแรกนางก็เอ่ยคำปฏิเสธไม่ออก
ในความทรงจำของนาง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสูงส่งอยู่เบื้องบน สูงศักดิ์สง่างาม ชอบกลั่นแกล้งคน นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเขาเป็นเช่นนี้ แทบจะใช้น้ำเสียงเชิงปรึกษาระคนขอร้อง
นี่ทำให้ในใจเยี่ยเม่ยรู้สึกผิด…
เมื่อเห็นว่านางเอ่ยคำว่า ‘ข้า’ แล้วไม่เอ่ยต่ออีก
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังหลงคิดว่านางไม่ยินยอม เขาก็ไม่รีบร้อนโกรธเคือง อย่างไรเสียวันนี้ได้รู้จักเนื้อแท้ของนางแล้ว
เขาจ้องมองตานาง เอ่ยช้าๆ ว่า “เยี่ยเม่ย เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากมีวันใดวันหนึ่ง เจ้าเห็นข้าเอาผ้าคลุมห่มบนร่างสตรีอื่น เจ้าจะรู้สึกอย่างไร”
“นี่…” ภายใต้คำพูดชักนำของเขา นางเงียบลงครุ่นคิด คิดถึงสถานการณ์เช่นนั้น นางแทบจะเอาของหมั้นส่งคืนเขา ให้เขามอบให้กับแม่นางผู้นั้นไปซะ ในชั่วขณะนี้เอง นางพลันเข้าใจความคิดของเขา ยามเห็นนางคลุมเสื้อคลุมของเป่ยเฉินอี้
นางเพียงใคร่ครวญว่าตัวเองหนาวเกินไป เพียงใคร่ครวญจากมุมมองของตัวเองเท่านั้น ไม่เคยใคร่ครวญเลยว่าหลังจาก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพบเห็นแล้ว ในใจจะมีความรู้สึกแบบไหน
ฝ่ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในเวลานี้ก็เสริมขึ้น “เยี่ยนรู้ว่าเจ้าคลุมผ้าคลุมของเขาเพราะเจ้าหนาว อย่างนั้นต่อให้เจ้าใช้มัน อย่างน้อยตอนที่เจ้าปรากฏกายต่อหน้าเยี่ยน ก็นำของคืนเขาไปก่อนไม่ได้หรืออย่างไร”
ยามเขาเอ่ยคำพูดนี้ ก็ถือเป็นการถอยให้แล้ว
เท่ากับเป็นการบอกว่า หากเจ้าต้องมีการสนิทสนมกับบุรุษอื่นทำให้ข้าไม่พอใจได้ ข้าก็ให้อภัยเจ้าได้ แต่ว่าอย่างน้อยเจ้าอย่าทำให้ข้าเห็นได้หรือเปล่า
“ได้!” เยี่ยเม่ยก้มหน้า ตอบรับ
ถัดมา
น้ำเสียงน่าฟังของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ค่อยๆ เอ่ยอีกว่า “หากวันนี้เยี่ยนออกจากเรือนไป ไม่ทันระวังรับผ้าแพรเลือกคู่ของแม่นางคนหนึ่งได้ ทั้งยังไม่รู้ว่านั่นคือผ้าแพรที่ใช้เลือกคู่ หลังจากรู้แล้วยังนำมันกลับมา เจ้ามาเอาเรื่องกับเยี่ยน แล้วเยี่ยนตอบกลับไปว่าของก็เก็บกลับมาแล้ว หากเจ้าไม่พอใจ เจ้าถอนหมั้นกับข้าก็ได้ เยี่ยเม่ย หากเป็นเช่นนี้ เจ้าโมโหหรือไม่”
“ข้า…” ยามนี้เยี่ยเม่ยหน้าแดงก่ำ
หวนคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ ยามนี้นางเริ่มสงสัยในสติปัญญาของตนแล้ว
จากนั้นในเวลานี้เอง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอธิบายต่อ “อีกทั้งยามนี้เจ้าโมโหเป็นอย่างมาก เยี่ยนกลับบอกว่าเรื่องราวก็อธิบายให้เจ้าฟังแล้ว เจ้ายังจงใจหาเรื่องไม่เลิกรา ไม่มีเหตุผลอีก อย่างนั้น…เจ้ายังจะดีใจหรือไม่”
เขาวิเคราะห์เรื่องนี้จากอีกมุมมองหนึ่ง
ยามนี้เยี่ยเม่ยรู้สึกว่า การแสดงออกของตนในวันนี้ นับได้ว่าโง่เขลาเบาปัญญาเหลือเกิน นางยังรู้สึกแปลกประหลาด รู้สึกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนใจแคบ สงสัยว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีปัญหาหรือไม่ เอะอะก็โมโหจนแทบคลั่ง
ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว ปัญหาอยู่ที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่ไหนกัน เห็นชัดๆ ว่าคือนาง…
สมองนางพังไปแล้วหรืออย่างไร
ทำไมถึงไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อนเลย กระทั่งยังงุนงงว่าทำไมเขาเอาแต่ทำตัวระเบิดอารมณ์ เอะอะก็โมโห
เยี่ยเม่ยเงียบอยู่เนิ่นนาน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ใบหน้าแสดงออกถึงความขอโทษอย่างจริงจัง นางก้มหน้าเอ่ยว่า “ข้าสำนึกผิดแล้ว…”
นางเข้าใจแล้ว
หากนางยังเข้าใจไม่กระจ่างอีก อย่างนั้นเกรงว่านางคงกลายเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา
เห็นนางเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาได้ ยามนี้เขาระบายลมหายใจ เขาเชื่อว่าสตรีที่ฉลาดอย่างนาง หลังจากคำพูดในวันนี้ สิ่งที่นางสมควรเข้าใจก็คงเข้าใจหมดสิ้น ไม่ต้องให้เขาทนรับความเสียใจอย่างนี้อีก
เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองเขาอย่างระวัง น้ำเสียงนิ่งเหมือนเคย ทว่าเพราะอย่างไรนางก็ยังรู้สึกผิดในใจ ดังนั้นน้ำเสียงจึงไม่แข็งมากนัก “แต่ว่า…จิ่วหุน…จิ่วหุน…ข้าเห็นเขาเป็นน้องชายจริงๆ ท่านอย่าได้เอาเรื่องเอาราวกับเขาอยู่เรื่อยได้หรือเปล่า ข้าเข้าใจว่าหากข้างกายท่านมีน้องสาวผู้หนึ่งเช่นนี้ ข้าก็อาจจะดีใจไม่ได้ แต่เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล้ว…”
“ได้!”
เขากลับตรงไปตรงมานัก กระชับมือของนางแน่น นัยน์ตาร้ายกาจจับจ้องนาง ค่อยๆ เอ่ยออกมาทีละคำ “ในเมื่อเจ้ายืนยันเช่นนี้ เข้าใจว่าเขาคือน้องชายของเจ้า อย่างนั้นเยี่ยนจะละเว้นเขาชั่วคราว เจ้าเด็กนี่อารมณ์ไม่ได้ดีไปกว่าเยี่ยนนัก เห็นแก่หน้าเจ้า เยี่ยนจะพยายามไม่ปะทะกับเขา!”
เมื่อเอ่ยถึงขั้นนี้แล้ว หากยังไม่รับน้ำใจเขาอีก เช่นนั้นเยี่ยเม่ยก็โง่เต็มทีแล้ว!
[1] หมายถึง คนที่มีความสามารถหรือรูปลักษณ์เหนือหรือแตกต่างกว่าคนในกลุ่มเดียวกันอย่างชัดเจน