เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 256 คนคานอำนาจที่โดดเด่น !
ส่วนที่ว่าเป็นพรุ่งนี้ได้หรือไม่ ต้องรอดูว่าฝ่าบาททรงตรัสว่าอย่างไรแล้ว
เสินเซ่อเทียนโบกมือ ส่งสัญญาณให้เขาไป
เป่ยเจี้ยนเกอเข้าใจแล้ว ก่อนที่ขันทีน้อยจะกลับมารายงาน อารมณ์ของจวินซ่างไม่มีทางดีขึ้นแน่ เพราะกังวลว่าจะต้องเข้าวังทันที เช่นนั้นนกของจวินซ่างก็…
เป่ยเจี้ยนเกอกล่าว “ฝ่าบาทถึงกับตรัสเช่นนี้ ดูท่าคงจะมีเรื่องด่วนจริงๆ!”
เสินเซ่อเทียนหันกลับมองเขาทีหนึ่ง สีหน้าราวก้อนน้ำแข็งปรากฏความไม่ยินดี “หรือว่านกของข้าก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเช่นกัน”
“ข้าน้อย…” เป่ยเจี้ยนเกออยากตอบตามตรงว่า ไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ
อย่างไรเสียอาหารเลิศรสในใต้หล้านี้ที่กินได้ท่านก็กินไปหมดแล้ว ขาดนกพิราบนี้ไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
ยิ่งกว่านั้น…
อย่างมากผ่านไปอีกสองสามวันก็ให้เฉิงเสี่ยวจวนไปหามาอีกตัวก็ได้ ถึงจะลำบากอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ว่าจะหากินไม่ได้ จวินซ่างต้องทำถึงขั้นนี้เชียวหรือ
ก็ได้ สำหรับพวกเขาถือว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่สำหรับจวินซ่างที่ความสุขทั้งหมดในชีวิตคือการกินแล้ว ก็เป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
เป่ยเจี้ยนเกอปาดเหงื่อตรงขมับออก ปลอบ “จวินซ่างระงับโทสะด้วย ยามนี้นกพิราบคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง!”
เสินเซ่อเทียนแค่นเสียงเบาๆ ไม่พูดไม่จา
จู่ๆ เสินเซ่อเทียนโพล่งถามขึ้น “เจ้าเด็กนั่นช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“อ้อ…”
เจ้าเด็กนั่น ย่อมหมายถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว
ความจริงเป่ยเจี้ยนเกออยากบอกว่า จวินซ่างท่านแก่กว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่เจ็ดปีเท่านั้น ไม่ต้องเอาแต่แสดงออกเป็นเหมือนคนแก่ เห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นเด็กก็ได้
สุดท้ายก็เขาก็ไม่ได้เอ่ยออกมา ทว่าตอบกลับไป “ช่วงนี้น่าจะมีชีวิตไม่เลวเลย เขามีคนในดวงใจแล้ว ชื่อว่าเยี่ยเม่ย เหมือนกับว่าองค์ชายใหญ่ก็ชอบสตรีนางนี้เช่นกัน ช่วงก่อนยังทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ด้วย!”
เสินเซ่อเทียนชะงักฝีเท้า
มองเป่ยเจี้ยนเกอด้วยความแปลกใจ “เยี่ยเม่ย? ชอบจริงๆ หรือชอบหลอกๆ”
“ดูท่าแล้วเหมือนจะชอบจริงๆ!” เป่ยเจี้ยนเกอแสดงความคิด จากนั้นเสริมต่อทันที “ไม่เพียงแค่ชอบ ซ้ำยังหมั้นหมายแล้ว”
เสินเซ่อเทียนพยักหน้า คิดถึงคำพูดก่อนที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินทางออกจากเขาหลิงซาน ยามนี้เขาหัวเราะเบาๆ โคลงหัวไปมา
จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินกลับตำหนัก
เสียงเข้มและทรงอำนาจค่อยๆ เอ่ยว่า “หากการมีสตรีคนหนึ่งทำให้เขาสงบเสงี่ยมลงได้ ข้ากลับรู้สึกยินดี ไม่เช่นนั้นไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะกลายเป็นมหันตภัยแบบไหนกัน”
“จวินซ่าง ในเมื่อท่านคิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นภัยคุกคาม ไฉนท่านถึงไม่กำจัดเขาเสีย” เป่ยเจี้ยนเกอถามด้วยความสงสัย
เสินเซ่อเทียนหันกลับมากวาดสายตามองเขา
ใบหน้าเย็นเยียบราวน้ำแข็งฉายแววโมโห “เป่ยเจี้ยนเกอ สั่งให้เจ้าไปฆ่าเขา เจ้าลงมือได้หรือไม่”
เป่ยเจี้ยนเกอหน้าแข็งค้างในทันที ส่ายหน้า “ลงมือไม่ได้!”
จริงด้วย ในเมื่อเขายังลงมือไม่ได้ แล้วจวินซ่างจะลงมือได้อย่างไร เพียงแต่ “จวินซ่าง ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยเรื่องที่ท่านใช้ความรู้สึกทำงาน! ไม่ว่าอย่างไร ท่านก็ต้องระวังจิตใจหวาดระแวงและความริษยาของฝ่ายบาทเอาไว้บ้าง โดยเฉพาะฝ่าบาทยัง…”
พูดมาไปพูดมาเป่ยเจี้ยนเกอก็พูดต่อไปไม่ได้อีก
ครั้นเอ่ยถึงฮ่องเต้ สีหน้าของเสินเซ่อเทียนปรากฏความเหนื่อยอ่อนและสับสน
เขาโบกมือ “ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจดี”
“ขอรับ!”
……
ในวังหลวง
ขันทีเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท จวินซ่างถามว่าพรุ่งนี้ค่อยมาได้หรือไม่”
พูดไปแล้วเขายังรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง ความจริงเขาเพิ่งได้พบจวินซ่างเป็นครั้งแรก คนที่เป็นเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั่วหล้าประดุจดังเทพเทวดา
ครั้งแรกนี้ก็เพราะอาจารย์เขาผู้เป็นหัวหน้าขันทีไม่สบาย ดังนั้นเขาจึงได้รับโอกาสนี้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เข้าใจ เหตุใดจวินซ่างถึงแสดงออกเช่นนี้
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมาที่เขา มุมพระโอษฐ์เผยรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มที่ขันทีน้อยเห็นชวนให้รู้สึกแปลกพิกล นั่นคือความอ่อนโยน…อย่างที่ไม่เคยมียามตรัสกับฮองเฮาหรือพระสนมทั้งหลาย
พระสุรเสียงแฝงไปด้วยความโปรดปราน ถามเบาๆ ว่า “เขาหาของอร่อยอะไรได้อีกแล้ว”
“อ้อ…” ขันทีน้อยแปลกใจที่ฝ่าบาทแสดงออกเช่นนี้ แต่ก็ยังไม่ลืมตอบ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมก็มิทราบ จวินซ่างเพียงบอกว่า เป็นวันพรุ่งนี้หรือว่าคืนนี้เขายังพอทนไหว!”
ขันทีน้อยพูดไปพลางปาดเหงื่อบนหน้าปาก
คงไม่มีใครอีกแล้ว…
จวินซ่างมาพบฝ่าบาท ยังใช้คำว่า ‘ทนไหว’ ไม่ใช่ว่าจวินซ่างเคารพฝ่าบาทมาตลอดหรืออย่างไร
ก็ได้ บางทีสำหรับผู้อื่น แม้กระทั่งคำว่า ‘ทนไหว’ จวินซ่างยังไม่ยินยอมเลยกระมัง
“ไม่เป็นไร เจ้ากลับไปถ่ายทอดคำสั่งข้า พรุ่งนี้ก็แล้วกัน! บอกเขาว่า ขอเพียงเขายอมมา รอนานแค่ไหนข้าก็ยินดีรอ!” ฮ่องเต้ค่อยๆ ตรัสออกมา
ขันทีน้อยยิ่งตะลึงไปใหญ่
นี่เขาคิดมากไปใช่หรือเปล่า
ทำไมเขารู้สึกว่าคำพูดของฝ่าบาทช่างแปลกนัก
เขาไม่กล้าคิดมากอีก รีบรับคำสั่งว่า “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบไปส่งข่าว!”
……
ชายแดน
เยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนอยู่บนกำแพงเมือง ก้มหน้ามองทหารต้ามั่วเหล่านั้น
สายตาเยี่ยเม่ยพลันนิ่งไป มองกระบวนทัพของพวกเขา แต่นี่ดูไม่เหมือนตั้งใจออกรบ ต่อให้เยี่ยเม่ยไม่เข้าใจกลวิธีจัดทัพ ก็ยังดูออกว่าสถานการณ์เบื้องหน้ามีปัญหา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมมองออก
เขาเบือนหน้ามองเยี่ยเม่ย เอ่ยเสียงนุ่มว่า “เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่เป็นแม่ทัพนำศึก เขาเคยเป็นมือซ้ายขวาของราชาต้ามั่ว ยามนี้นำทัพออกมา ไพล่พลไม่เพียงพอ ทั้งกระบวนทัพสับสน ดูท่าจะมีแผนการอื่น!”
เยี่ยเม่ยหันมองเขา ถามว่า “ท่านคิดว่าอย่างไร”
“แผนการหรือ คนที่ไม่เข้มแข็งพอจึงคาดว่าหวังที่จะใช้แผนการล้มศัตรู แต่เยี่ยนต่างออกไป!” สายตาชั่วร้ายของเขามองเยี่ยเม่ย ค่อยๆ กล่าว “เยี่ยนคิดว่า อาศัยความแข็งแกร่งที่แท้จริงจึงทำลายแผนการทั้งหลายลงไปได้ ไม่ว่าเขาจะวางแผนอย่างไร เยี่ยนก็คิดว่าทำให้ทหารของเขาสูญสิ้นราบคาบไปถึงจะดีที่สุด!”
“งั้นก็ดี!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า ความจริงนางก็คิดเช่นนี้ ไม่ว่าเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่มีแผนการแบบไหน ตีศัตรูให้ถอยทัพไปก่อนค่อยว่ากัน เยี่ยเม่ยหันมองเซียวเยว่ชิง “นำทหารออกไป ตีพวกเขาให้แตกกระเจิง !”
“ขอรับ!”
ความจริงยามเซียวเยว่ชิงเห็นกระบวนทัพของคนเหล่านี้ก็ยังสงสัยว่าพวกเขาสมองมีปัญหาหรือไม่ เขามีความปรารถนาอยู่แต่แรกแล้ว คิดอยากออกตีให้ศัตรูแตกกระเจิง
เมื่อรับคำสั่งของเยี่ยเม่ยเวลานี้ ย่อมดีใจเป็นที่สุด
เขารีบหมุนกาย นำทหารขี่ม้าออกไป
เยี่ยเม่ยหันกลับมามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน มุมปากปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ย “หวังว่านี่คงไม่ใช่หนึ่งในแผนการของเสด็จอาผู้นั้นหรือท่านอีกหรอกนะ!”
เป่ยเฉินอี้ การปะทะกันในวันนี้ทำให้เยี่ยเม่ยเข้าใจเขามากขึ้น
นางจ้องมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กล่าวต่อ “ข้าว่าก่อนหน้าท่านไม่คิดสังหารเขา อดทนความเหิมเกริมของเขา เกรงว่าคงเป็นเพราะเหตุผลเดียว นั่นคือเขาคือคนคานอำนาจที่โดดเด่นที่สุด!”