เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 260 บุญคุณความแค้นที่มีกับเป่ยเฉินอี้!
“ได้! ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง! ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง” ซือหม่าหรุ่ยรีบพยักหน้า ทั้งยังยื่นมือออกมาปาดน้ำตาที่หางตา
ถัดมา
นางไม่อาจควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้อีก ปล่อยให้น้ำตาไหลริน มองเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว ข้าหลงคิดว่า…ทำไมเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ข้า…หรือว่าการกระทำของข้าในปีนั้น ช่วยชีวิตเจ้าได้จริงๆ”
คราวนี้เยี่ยเม่ยยิ่งคล้ายมืดมนในเมฆหมอก
เพียงแต่เห็นซือหม่าหรุ่ยร้องไห้เสียใจขนาดนี้ นางก็เข้าใจว่า นี่คือความใส่ใจที่อีกฝ่ายมีต่อนางอย่างสุดซึ้ง เยี่ยเม่ยจึงอดทน ไม่เอ่ยอะไรออกมาชั่วคราว รอให้ซือหม่าหรุ่ยอารมณ์สงบขึ้น
นางรอเป็นเวลาชั่วครู่ใหญ่ ซือหม่าหรุ่ยถึงสงบลง
อีกฝ่ายมองเยี่ยเม่ย เอ่ยถาม “เจ้าจำได้มากน้อยแค่ไหน จำเรื่องไหนได้บ้าง มีอะไรที่เจ้าสงสัย ก็พูดออกมา ข้าจะช่วยตอบให้เจ้าเอง!”
เยี่ยเม่ยมองหน้าซือหม่าหรุ่ย เอ่ยปากอย่างละล้าละลังว่า “ข้าจำได้แค่ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับเป่ยเฉินอี้ ข้าจำได้ว่าตอนอยู่นอกเมืองเขาเคยช่วยชีวิตข้าไว้ครั้งหนึ่ง แต่เพราะอะไรกัน จิตสำนึกข้าถึงเกลียดเขานัก ถึงกระทั่งแค้นเขาอยู่บ้าง จริงสิ นั่นคือความแค้น! ข้าเข้าใจดีว่าความแค้นล้ำลึกเช่นนี้ หาใช่เพราะแผนการเล่นงานจิ่วหุนและข้าในช่วงหลายวันนี้แน่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ! ดังนั้นข้าไม่เข้าใจจริงๆ”
คำถามนี้วนเวียนอยู่ในใจเยี่ยเม่ยมานานแล้ว
หลายวันนี้นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
นางเชื่อว่า ต่อให้เป็นตัวเองในอดีตปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณ ก็ไม่สมควรมีปฏิกิริยาเช่นนี้
ทว่าคิดไม่ออก
นางเอ่ยออกมาซือหม่าหรุ่ยรีบกัดฟันแน่น เอ่ยเสียงดุดัน “บุญคุณช่วยชีวิตอะไรกัน! อาซี ต่อให้เขามีบุญคุณช่วยชีวิตเจ้า ข้าคิดว่าก็ไม่มีทางกลบความแค้นยิ่งใหญ่ที่เขามีต่อเจ้าไปได้!”
เยี่ยเม่ยนิ่งไป รอซือหม่าหรุ่ยอธิบายต่อ
ซือหม่าหรุ่ยอธิบาย “ข้าว่าหากความทรงจำของเจ้าไม่ผิดแล้วล่ะก็ เจ้าก็คือสหายสนิทของข้า จงเจิ้งซี ฐานะจริงของเจ้าคือองค์หญิงแห่งราชสำนักจงเจิ้ง”
เยี่ยเม่ยสั่นสะท้าน การคาดเดาของนางได้รับการยืนยันแล้ว วินาทีนี้ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่
ที่แท้จงเจิ้งซีเกี่ยวพันกับนางจริงด้วย
อย่างนั้นสามีภรรยาที่สวมชุดต่วนสีเหลือง ก็คือฮ่องเต้และฮองเฮาของราชสำนักจงเจิ้งจริงๆ ทั้งเป็นพ่อแม่ของนางจริงๆ ด้วย
เยี่ยเม่ยกำหมัดแน่น สงบสติอารมณ์ มองซือหม่าหรุ่ย “เจ้าเล่าต่อ!”
แววตาซือหม่าหรุ่ยทอดยาวออกไป เล่าต่อว่า “ตอนนั้นข้ากับศิษย์พี่เซียวชินร่ำเรียนวิชาแพทย์อยู่บนเขา เพราะความซุกซน จึงลงจากเขามาเที่ยวเล่น บังเอิญได้พบเจ้าที่หนีออกมาเที่ยวนอกวัง จากนั้นพวกเราก็รู้จักกัน หลังจากนั้นทุกๆ ปีข้าจะไปเล่นกับเจ้าที่ราชสำนักจงเจิ้งอยู่ช่วงระยะหนึ่ง เสด็จพ่อเสด็จแม่ของเจ้ารักเอ็นดูเจ้ามาก ทั้งยังต้อนรับข้าอย่างดี!”
ซือหม่าหรุ่ยเล่าการคบหาระหว่างตนกับเยี่ยเม่ยให้ฟังก่อน
เมื่อเล่าจบ นางก็เอ่ยต่อว่า “เดิมทีทุกอย่างก็สุขสงบดี แต่เมื่อห้าปีก่อน ราสำนักเป่ยเฉินปรากฏปีศาจร้ายตัวหนึ่ง! คนผู้นั้นคือ เป่ยเฉินอี้ ปีนั้นเป่ยเฉินและจงเจิ้งก่อสงคราม หลังจากที่เป่ยเฉินพ่ายแพ้ ก็ส่งตัวเป่ยเฉินอี้มาเป็นเชลย เมื่อตอนนี้คิดดูแล้ว สงครามในตอนนั้นสมควรเป็นหนึ่งในแผนการของเป่ยเฉินอี้ด้วย!”
ระหว่างเล่าไปซือหม่าหรุ่ยก็กัดฟันแน่น
จากคำบอกเล่าของซือหม่าหรุ่ย เยี่ยเม่ยคล้ายคิดอะไรขึ้นมาได้ นางหลบอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ได้ยินเสด็จพ่อพูดคำว่า ‘ชนะแล้ว เป่ยเฉินอี้ อันตรายมาก รวมถึงเชลยอะไรพวกนั้น’
เมื่อเล่าถึงตรงนี้ ซือหม่าหรุ่ยใช้สายตาสงสารมองเยี่ยเม่ย “ห้าปีก่อนข้าไปหาเจ้า เจ้าบอกข้าว่า เป่ยเฉินอี้เป็นคนดี พวกเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เจ้าบอกนอกจากข้าแล้ว เขาคือสหายที่ดีที่สุดของเจ้า ตอนนั้นข้ายังเฝ้ารอว่า บางทีอาจมีสักวันหนึ่งที่พวกเจ้าอาจเป็นเหมือนข้ากับเซียวชิน อยู่ด้วยกันนานจนบ่มเพาะความรู้สึกกลายเป็นคู่รัก เวลานั้นข้ายังแอบอวยพรให้พวกเจ้าอยู่ในใจ!”
เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ในสมองก็คล้ายกับคิดอะไรได้ ตัวนางช่วงวัยรุ่นนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ในมือถือกิ่งดอกเหมยไว้ดอกหนึ่ง พูดกับซือหม่าหรุ่ยอย่างดีใจว่าอะไรบางอย่าง
ในนาทีนี้ นางพลันรู้สึกหัวใจรัดเกร็ง
ส่วนสายตาซือหม่าหรุ่ยก็แปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดล้ำลึก นางเอ่ยว่า “แต่เมื่อสี่ปีก่อน ข้ารู้ว่าราชสำนักจงเจิ้งเกิดเรื่องขึ้น ด้วยความเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า จึงลงจากเขาล่วงหน้าต่างจากปีก่อนๆ หนึ่งเดือนเพื่อไปหาเจ้า คิดไม่ถึงว่า ครั้งนี้พอข้าไปถึงวังของจงเจิ้ง ก็เห็นเจ้าในสภาพน่าเวทนาหนีออกจากวัง ยามนั้นไฟโหมลุกไหม้ไปทั่วฟ้า…”
เมื่อคิดถึงภาพในปีนั้น หางตาของซือหม่าหรุ่ยมีน้ำตาไหลออกมา
“ยังมีอีกไหม” เยี่ยเม่ยจ้องตา ซือหม่าหรุ่ยอย่างร้อนรน ถามเรื่องราวหลังจากนั้น
หลังจากนางหนีออกมาแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง
เกิดอะไรขึ้นอีก
สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเป่ยเฉินอี้หรือเปล่า
ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ย สีหน้ายิ่งโศกเศร้า “เจ้าจับมือข้าอย่างลนลาน พูดไม่หยุดว่า เป่ยเฉินอี้หลอกเจ้า เจ้าทำร้ายทุกคน เจ้าบอกว่าก่อนหน้านี้มีคนเห็นเป่ยเฉินอี้ออกจากวัง เดิมทีเสด็จพ่อของเจ้าจะสังหารเขา แต่ว่าเป่ยเฉินอี้หลอกเจ้าว่า ออกจากวังไปซื้อหน้ากากผีที่เจ้าอยากได้ เจ้าเชื่อเขา ทั้งยังขอร้องอ้อนวอนให้เสด็จพ่อละเว้นเขา เสด็จพ่อของเจ้าเชื่อเจ้า!”
เยี่ยเม่ยค่อยเข้าใจ ในดวงตามีเส้นเลือดแดงปรากฏขึ้นชัด “แต่เขาออกจากวังมิใช่เพื่อไปซื้อหน้ากากใช่หรือไม่ !”
“อืม!” ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “เข้าออกจากวังเพื่อวางแผนการ คืนวันที่สอง ทัพใหญ่ของเป่ยเฉินบุกมา เข่นฆ่ามาถึงในวัง มีเขาคอยประสานนอกใน เจ้าบอกข้าว่า เจ้าเห็นพ่อแม่ถูกคนฆ่าตายกับตา พวกเขาบอกให้เจ้ารีบหนี…”
เยี่ยเม่ยยามนี้ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ภายในตาปรากฏเรื่องราวที่เคยประสบในวังเก่า ภาพเหตุการณ์นองเลือด
ความแค้นงอกเงยขึ้นมา จนนางแทบทนรับไม่ไหวแล้ว
ทั้งแค้น ทั้งเสียใจ ทั้งโทษตัวเอง
เพราะนางเชื่อเป่ยเฉินอี้ ถึงทำให้พ่อแม่ต้องตาย ทำให้คนมากมายต้องตาย! มิน่าตอนนางพบเป่ยเฉินอี้ ถึงแค้นเขาขนาดนั้น ….
ซือหม่าหรุ่ยเห็นหยาดน้ำตาที่หางตาเยี่ยเม่ย หาได้รีบปลอบใจอีกฝ่าย กลับเล่าต่อว่า “ข้าพาเจ้าหนีไปด้วยกัน ฮ่องเต้ของเป่ยเฉินในปีนั้นไม่รู้เกิดคลุ้มคลั่งอะไร ในยามปกติเมื่อบ้านเมืองถูกทำลาย ต่อให้ลงโทษตายกับเสด็จพ่อเสด็จแม่ของเจ้า ก็สมควรประทานสุราพิษหรือไม่ก็ผ้าขาว ใช้วิธีให้สมเกียรติ แต่…ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเขาออกคำสั่งให้ใช้กระบองฟาดจนตาย ซ้ำยังต้องการสังหารคนทั้งเมืองหลวงอีกด้วย!”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ซือหม่าหรุ่ยยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจ มองเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจมาตลอดว่า เขาทำเช่นนี้ ต้องมีความนัยแฝงอยู่แน่ เพียงแต่เวลานี้พวกเราไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้อีก เพียงแต่นำชาวเมืองหนีออกจากเมืองหลวงไปด้วยกัน สวรรค์คุ้มครอง บังเอิญว่าช่วงนั้นแม่น้ำหมินนอกเมืองมีชาวประมงจำนวนไม่น้อยพักเรือไว้ ดังนั้นเจ้าจึงพาพวกชาวเมืองโดยสารเรือหนีไป ปีนั้นยังมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยตายเพราะห่าธนู!”