เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 262 เบาะแสของน้องชายเยี่ยเม่ย
เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ ซือหม่าหรุ่ยก็กล่าวต่อ “ที่โชคดีคือชุดที่เจ้าใส่ในตอนนั้น เจ้าเคยมอบชุดที่ตัดเหมือนกับเจ้าไว้ให้ข้าชุดหนึ่ง เจ้าบอกว่าพวกเราสนิทกันที่สุด อยากใส่ชุดเหมือนกับข้า สร้อยข้อมือที่เจ้าเคยใส่วันนั้น เจ้าก็เคยมอบแบบที่เหมือนกันให้กับข้า เวลานั้นทั่วทุกแห่งชุลมุนวุ่นวาย ศพเกลื่อนไปทั่ว ข้าเอาศพผู้หญิงที่รูปร่างเหมือนเจ้า เปลี่ยนชุดและสวมสร้อยข้อมือให้นาง ใช้ธนูแทงอกนาง จากนั้นให้ยาทำลายใบหน้านาง ดูแล้วมีสภาพเน่าเปื่อยเหมือนแช่น้ำเป็นเวลานาน จากนั้นโยนลงไปในแม่น้ำหมิง”
ขณะเล่าไป ซือหม่าหรุ่ยก็พรูลมหายใจ ถอนใจเอ่ยว่า “ภายหลังก็ได้ยินข่าวว่า เป่ยเฉินอี้หาศพเจ้าพบแล้ว ข้าไม่เข้าใจมาตลอดว่า เขาพบศพที่แท้จริงของเจ้า หรือศพปลอมที่ข้าทำขึ้นมา อย่างไรเสียก็ปลอมออกมาได้เหมือนมาก ยามที่เป่ยเฉินอี้พบศพ ต่อให้คิดว่าเป็นเจ้าจริง ศพก็สมควรเน่าเปื่อยไปบ้างแล้ว”
“ด้วยเหตุนี้ หลายปีที่ผ่านมา เจ้าก็ไม่แน่ใจว่าข้าเป็นหรือตาย” เยี่ยเม่ยถอดถอนใจถามออกไป
ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้ารับ “ใช่! ข้าเองก็เคยมีความหวังว่าเจ้ายังไม่ตาย ศพที่เป่ยเฉินอี้หาพบก็คือศพที่ข้าโยนลงไปในแม่น้ำ แต่หากเจ้ายังไม่ตาย ทำไมเจ้าถึงไม่ปรากฏกายเป็นเวลาสี่ปีเต็มๆ อีกทั้งเป่ยเฉินอี้ก็พบศพอย่างจริงแท้แน่นอน ข้าจึงไม่กล้าคาดหวังอะไร จนกระทั่งข้าได้พบเจ้า!”
เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ ความจริงที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็ไขกระจ่างแจ้งแล้ว
ส่วนที่ขาดไปก็คือความทรงจำที่แท้จริงของเยี่ยเม่ย
หลังจากซือหม่าหรุ่ยเล่าจบก็มองเยี่ยเม่ย “เรื่องพวกนี้ข้ารู้ทั้งหมด! ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง รวมถึงสถานการณ์โดยละเอียด ข้ากลับไม่รู้ชัด!”
“อย่างนั้น…น้องชายของข้าล่ะ” เยี่ยเม่ยรีบถามออกมา น้ำเสียงของนางร้อนรน สายตาที่มองซือหม่าหรุ่ยก็ร้อนใจมาก
ซือหม่าหรุ่ยนิ่งไป มองเยี่ยเม่ย “เจ้ายังจำได้ว่าเจ้ามีน้องชายด้วย”
“ข้าจำได้ว่าเคยอุ้มเด็กทารก มือของเขาเคยจับมือข้าไว้ แต่ข้าจำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้อีก!” เยี่ยเม่ยเอ่ยไป สีหน้าก็เศร้าโศก สิ่งที่นางจำได้ช่างจำกัดนัก มีน้อยนิดแค่นี้เอง
ซือหม่าหรุ่ยมุ่นคิ้ว ลังเลเล็กน้อยว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้เยี่ยเม่ยฟังดีหรือไม่
เยี่ยเม่ยเห็นสายตานางก็รู้ว่า ซือหม่าหรุ่ยต้องรู้เรื่องอะไรแน่ นางรีบจับมือซือหม่าหรุ่ยไว้ เอ่ยปากว่า “หากเจ้ารู้อะไรก็บอกข้ามาเถอะ!”
ซือหม่าหรุ่ยชะงักไป มองเยี่ยเม่ย สุดท้ายก็ถอนใจเล่าว่า “เรื่องที่เกี่ยวกับน้องชายเจ้า เจ้าเคยเล่าให้ข้าฟังว่า ยามที่เขาเกิด มีผู้วิเศษที่สนิทกับบิดาเจ้าท่านหนึ่งมาในวัง บอกว่าน้องชายของเจ้าคนนี้จะพบวิบากกรรมถึงชีวิตตอนอายุสิบสอง ดังนั้นน้องชายของเจ้าคนนี้จึงอาศัยอยู่ในวังกับพวกเจ้าแค่สองปี พอเขาอายุครบสองขวบ ผู้วิเศษก็มาพาเขาออกไปจากวัง บอกว่าเมื่อถึงเวลาเหมาะสมจะพาเขากลับมา กระทั่งถึงตอนที่เจ้าเกิดเรื่อง เจ้าก็ไม่เคยได้พบเขาอีก เจ้าคิดถึงเขาอยู่เสมอมักจะพูดถึงเขาให้ข้าฟังอยู่เรื่อย”
ซือหม่าหรุ่ยเล่ามา หัวใจของเยี่ยเม่ยเกิดความยินดี รีบจับมือซือหม่าหรุ่ยไว้ “อย่างนั้น เขาปลอดภัยใช่ไหม เขาไม่ได้อยู่วัง จึงหนีรอดจากเภทภัยได้”
เห็นเยี่ยเม่ยมีท่าทางยินดีเป็นอย่างมาก ซือหม่าหรุ่ยรู้สึกทนไม่ไหวที่จะเล่าความจริง
แต่สุดท้ายนางก็หลอกลวงเยี่ยเม่ยไม่ได้ หลับตาลงเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าน้องชายของเจ้าได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง ก็มาตามหาพวกเจ้า เขาเข้าวังมาถูกคนของเป่ยเฉินจับเอาไว้ ประหารชีวิตแล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าเยี่ยเม่ยพลันแข็งชะงักไป
มือที่จับซือหม่าหรุ่ยไว้ก็ร่วงตกลงมา
ราชสำนักเป่ยเฉิน !
ราชสำนักเป่ยเฉิน! ทำลายบ้านเมืองนาง สังหารพ่อแม่นางยังไม่พอ แม้แต่น้องชายอายุเยาว์ของนางก็ยังไม่ละเว้น!
เห็นท่าทางเช่นนี้ของเยี่ยเม่ย ซือหม่าหรุ่ยเริ่มลนลาน นางจับบ่าเยี่ยเม่ยไว้ โน้มน้าวว่า “เยี่ยเม่ย สงบอารมณ์หน่อย! เจ้าต้องหนักแน่นไว้!”
เยี่ยเม่ยหันมองมือของซือหม่าหรุ่ยบนบ่าตน
นางยื่นมือออกไปวางบนมือซือหม่าหรุ่ย น้ำเสียงเย็นชาเหมือนเคยในเวลาแฝงความน่ากลัวราวอสุรีผุดขึ้นมาจากนรก “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะสงบลงแน่!”
เสี้ยววินาทีนี้ ซือหม่าหรุ่ยเห็นดวงตานางที่เต็มไปด้วยความแค้นคล้ายกับถ้ำมืดมิด ในใจก็เกิดความหวาดกลัว
ถัดมา
เยี่ยเม่ยมองซือหม่าหรุ่ย เอ่ยออกมาทีละคำ “เจ้าวางใจเถอะ ก่อนที่จะสังหารคนของเป่ยเฉินหมดทีละคนๆ ข้าจะเป็นคนที่สงบเยือกเย็นที่สุดในโลกนี้แน่!”
เอ่ยจบนางก็ลุกขึ้นอย่างฉับพลันเดินออกไปด้านนอก ซือหม่าหรุ่ยเห็นท่าทางเช่นนี้ก็ตกใจ รีบติดตามออกไป เอ่ยว่า “เยี่ยเม่ย ยามนี้กำลังของเจ้าอ่อนด้อยนัก ไม่มากพอจะสั่นคลอนพวกเขา เจ้าอย่าได้วู่วามเด็ดขาด”
เมื่อซือหม่าหรุ่ยเอ่ยออกมา มือที่เตรียมเปิดประตูออกของเยี่ยเม่ยพลันหยุดชะงัก นิ่งไปหลายวินาที
มุมปากนางเผยรอยยิ้มเย็นชา สะกดข่มเพลิงโทสะในใจลง กดเสียงต่ำเอ่ย “อาหรุ่ย…”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเรียกซือหม่าหรุ่ยเช่นนี้
ยามที่นางเรียกออกมานั้น เยี่ยเม่ยคล้ายสัมผัสได้ว่าภายในความทรงจำที่เลือนหายไปของตน นางเคยเรียกซือหม่าหรุ่ยเช่นนี้มาเป็นพันๆ ครั้ง
อาหรุ่ย อาหรุ่ย
สหายที่ดีสุดของนางในปีนั้น
ซือหม่าหรุ่ยได้ฟังคำเรียกที่ห่างเหินไปนานก็ตะลึง กระบอกตาแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง
จากนั้นมือของเยี่ยเม่ยก็จับกลอนประตูแน่น กัดฟันกล่าวว่า “เจ้ารู้ไหม นั่นคือความผิดของข้า! การตายของท่านพ่อท่านแม่ การตายของน้องชาย การตายของชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ในปีนั้น ล้วนเป็นเพราะข้า เพราะข้าเชื่อใจเป่ยเฉินอี้ผิดไป!”
ซือหม่าหรุ่ยรีบเข้าไปคว้ามือนางไว้ เตือนว่า “อย่า! เจ้าอย่าทำเช่นนี้ อาซี ข้ารู้ว่าเจ้าเจ็บปวดใจ แต่ว่าเจ้าทำอย่างนี้ไม่ได้ แบบนี้เจ้าจะมีอันตราย!”
ใช่แล้ว ด้านนอกยังมีคนเฝ้าอยู่
หากนางทำลายกลอนประตูนี้ทิ้งไป ก็จะถูกจับได้ว่ามีความผิดปกติ
ดังนั้นต่อให้ใจนางเจ็บปวด ก็ไม่มีคุณสมบัติจะระบายออกมา
ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยเบาๆ “อาซี เจ้าต้องรักษาตัวให้ดี! อย่าให้พวกเขารู้ฐานะของเจ้า ไม่เช่นนั้น…”
“เจ้าพูดถูก!” เยี่ยเม่ยกัดฟันแน่น สะกดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดไว้ เสี้ยวนาทีนั้น นางคล้ายเปลี่ยนเป็นคนไร้หัวใจไร้ความรู้สึกดึงมือออกมาจากการจับกุมของซือหม่าหรุ่ย
นางมองซือหม่าหรุ่ยอย่างจริงจัง เสียงเย็นเยียบเอ่ยว่า “ต่อไปอย่าเรียกข้าว่าอาซีอีก ชื่อนี้ข้าไม่อยากฟังอีกต่อไปแล้ว! ในโลกนี้มีเพียงเยี่ยเม่ยที่ลุกขึ้นมาจากนรกเพื่อแก้แค้น ต่อให้ข้าต้องสูญเสียทุกอย่างไป ข้าก็จะทำให้ตระกูลเป่ยเฉินชดใช้หนี้เลือดนี้ด้วยเลือด!”
เมื่อสิ้นเสียง เยี่ยเม่ยเปิดประตูเดินออกไป
เมื่อเห็นแผ่นหลังของเยี่ยเม่ย กลับสู่ความเยือกเย็นเหมือนเคย ซือหม่าหรุ่ยก็คลายใจลง รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่วู่วามอีก
หากจะแก้แค้น ต้องเดินไปทีละก้าว ค่อยเป็นค่อยไป!
ยังดีที่ อาซี…ไม่สิ ในที่สุดเยี่ยเม่ยก็ควบคุมอารมณ์ของตนเองได้!