เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 268 ข้ากำลังคิดว่า หากนางความจำเสื่อมล่ะ
“อืม!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยรับคำหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เซียวเยว่ชิงแอบคิดว่า หากมิใช่เพราะแม่นางเยี่ยเม่ยยังใส่ใจการศึกที่ชายแดนอยู่บ้าง จากนิสัยของเตี้ยนเซี่ยคงไม่มีทางสนใจการศึกแน่
หลังจากเขามุมปากกระตุก ก็เอ่ยว่า “ข้าน้อยขอตัวก่อน!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนโบกมือเป็นสัญญาณให้เขาจากไปได้
เซียวเยว่ชิงยิ่งรู้สึกเหนื่อยใจ…
องค์ชายผู้ไม่ใส่ใจผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง หากไม่ได้พบด้วยตาตัวเองก็คงไม่อยากเชื่อ ในใจเขาสงสัยเหลือเกินว่า องค์ชายสี่คือกากเดนของราชวงศ์ก่อนที่แฝงตัวอยู่ในวังหลวงใช่หรือไม่ เขาถึงได้ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจการศึกและความปลอดภัยของชาติบ้านเมืองได้อย่างหมดจดเช่นนี้
เซียวเยว่ชิงจากไปพร้อมกับความสลดใจ
อวี้เหว่ยมองตามแผ่นหลังของเซียวเยว่ชิง ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิดเขาก็คิดออกว่าเซียวเยว่ชิงคิดอะไรอยู่ เฮ้อ…คนที่ไม่เคยประสบชะตากรรมเช่นเตี้ยนเซี่ย ไม่มีทางเข้าใจว่าเหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้
“เตี้ยนเซี่ย…” อวี้เหว่ยร้องเรียก
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนิ่งไปครู่หนึ่ง พลันถามเสียงขรึมว่า “ส่งคนออกไปตาม ต้องหาเบาะแสของนางให้พบให้ได้!”
“ขอรับ!”อวี้เหว่ยรับคำ เขารู้ว่าเตี้ยนเซี่ยยังไม่วางใจ
ไม่ช้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็สั่งขึ้นมาอีกว่า “ไปเฝ้าดูเป่ยเฉินอี้ไว้ เยี่ยนไม่อยากให้เขาออกไปจากชายแดนภายใต้สายตาของเยี่ยนอีกครั้ง!”
“ขอรับ!” อวี้เหว่ยสีหน้าจริงจัง ครั้งก่อนเพราะเรื่องนี้ เขาถูกถีบทีหนึ่ง เขายังจดจำอยู่ในใจ เขาคืออวี้เหว่ยที่มีศักดิ์ศรี ไม่มีทางให้ถูกถีบเป็นครั้งที่สองเพราะเรื่องเดิมแน่
อ้อ จริงสิ
หากยังเกิดเรื่องแบบนี้อีก ดูท่าเตี้ยนเซี่ยคงคร้านจะถีบ กลัวแต่จะโยนเขาออกไปประหารเสียมากกว่าแล้ว!
……
เยี่ยเม่ยควบม้าห้อตะบึงไปด้วยความเร็วไปบนถนนสายหลัก
หลังออกจากชายแดน นางก็รู้ดีว่ามีคนแอบติดตามนางมา ครั้งนี้นางไม่เกรงใจเลยสักน้อย ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อปาใส่ตำแหน่งของผู้ติดตามมา
“ฉึก!”
“ตุบ!” สิ้นเสียง
ศพสองศพร่วงลงพื้น
คราวนี้นางทำจริงตามคำพูด หากใครยังติดตามมาอีก นางจะฆ่าคนแล้ว
ยามนี้คนอื่นๆ ไม่กล้าติดตามไป เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวของพวกเขาถูกเยี่ยเม่ยจับได้แล้ว หากยังฝืนติดตามไปอีก นอกจากเสียชีวิตน้อยของตนไป ก็คงไม่มีผลลัพธ์ที่งดงามเป็นอย่างที่สองอีก
ถัดมาก็ไม่มีใครลอบท้าทายความอดทนของเยี่ยเม่ยอีก คนทั้งหมดพากันล่าถอยไม่กล้าติดตามต่ออีก
เยี่ยเม่ยควบม้าไปตามแผนที่ที่ได้มาจากหลูเซียงฮั่วที่ทำหน้าตางุนงงยามนางออกจากชายแดน นางมุ่งหน้าสู่ทิศทางของแม่น้ำหมิงด้วยความไว สมองก็ครุ่นคิดด้วยความเร็ว
จากความรอบคอบของเป่ยเฉินอี้ เขาต้องเดาได้แน่ว่า หากนางจำอะไรขึ้นมาได้ มีโอกาสที่นางจะเดินทางไปแม่น้ำหมิงด้วยตัวเอง ดังนั้นที่แม่น้ำหมิงสมควรมีคนของเป่ยเฉินอี้เฝ้าอยู่แต่แรก
นางจะหลบหูตาของคนพวกนี้เพื่อเดินทางไปตามหาความทรงจำที่แม่น้ำหมิงให้สำเร็จได้อย่างไร
หากนางสังหารคนที่เฝ้าอยู่ทั้งหมด เป่ยเฉินอี้ต้องเดาได้ว่านางไปที่นั่นแน่
แต่ที่นั่นไม่เหมือนกับวังหลวงหรือค่ายทหาร สถานที่ที่ศัตรูอยู่ในที่แจ้ง ส่วนนางอยู่ในที่ลับ ในทางกลับกันเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปกลายเป็นว่าไม่รู้คนมากแค่ไหนแอบดักซุ่มอยู่ ศัตรูอยู่ในที่ลับ นางอยู่ในที่แจ้ง อีกทั้งนางไม่สันทัดภูมิประเทศบริเวณแม่น้ำหมิงเลย คิดจะปรากฏตัวโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลยเป็นเรื่องยากมาก
อย่างนั้น…
นางยังมีวิธีคลี่คลายอะไรได้อีก เพื่อไม่ให้หลงเหลือเบาะแส ทั้งยังไม่ทำให้เป่ยเฉินอี้สงสัย
เยี่ยเม่ยครุ่นคิดอย่างว่องไว เสียงลมกระพืออยู่ข้างหู การคาดคำนวณในใจไม่หยุดหย่อน นางไม่อาจชักช้าแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ยินยอมพ่ายแพ้สักครั้ง ยิ่งไม่อาจทิ้งพิรุธใดๆ ไว้ ไม่เช่นนั้นเส้นทางการแก้แค้นของนางจะยากลำบากมาก!
ดังนั้นต่อให้ต้องใช้ความคิดมากเพียงใด นางก็ต้องคิดให้ออก!
บางทีการที่คนกดดันตัวเองมากๆ เข้า อาจจะดึงความสามารถของตนออกมาได้จริงๆ ในขณะที่สมองเยี่ยเม่ยกำลังจะระเบิดออก ห้วงสมองนางเกิดแสงวาบขึ้นมา วิธีการหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวนาง…
……
ชายแดน
เป่ยเฉินอี้นอนอยู่บนเตียง ยังไอแห้งๆ เหมือนเดิม
เซียวชินเพ่งตรวจชีพจรเขา เอ่ยด้วยความจนปัญญาประโยคหนึ่ง “อี้อ๋อง จากสัญญาก่อนหน้าของพวกเรา ต้องรอให้ข้าขจัดพิษในกายท่านออกไปหมดก่อนสัญญาถึงสิ้นสุด แต่ท่านไม่รักถนอมร่างกายตัวเองเช่นนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าอาการจะดีขึ้นมาไม่น้อย ท่านก็ต้องลมเย็นอีกแล้ว ท่านต้องการให้ข้าช่วยดูแลท่านไปสิบปีแปดปีหรืออย่างไรกัน”
อยู่ดีๆ ก็ถูกยืดระยะเวลาการทำงานของตนออกไป เป็นใครก็ไม่พอใจทั้งนั้น
เป่ยเฉินอี้มองเซียวชินทีหนึ่ง กลับไม่มีแววสำนึกผิด เพียงเอ่ยเสียงขรึมว่า “ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว!”
จะไม่มีทางมีครั้งหน้าอีกแล้ว
ครั้งนี้เป็นเพราะใบหน้าของเยี่ยเม่ยเหมือนกับอาซีไม่มีผิด จึงเกิดความสงสารอาซี หลังจากไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาก็เข้าใจได้กระจ่างไปมากกว่านี้ไม่ได้อีก เยี่ยเม่ยก็คือเยี่ยเม่ย อาซีก็คืออาซี หากใช่คนคนเดียวกันไม่ เขาไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้อีก
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” เซียวชินแค่นเสียงไม่พอใจ เขียนใบสั่งยาด้วยท่าทางไม่พอใจอย่างมาก
เมื่อเขียนแล้ว ก็ส่งให้บ่าวที่อยู่เวร
ยามนี้ชิงเกอเดินเข้ามา สีหน้าตื่นตระหนกมองเซียวชิน
เซียวชินรู้ว่า คำพูดพวกนี้ไม่สะดวกที่ตนจะฟัง จึงปลีกตัวออกไป
หลังจากชิงเกอเข้ามา ก็ค้อมเอวคารวะ “ท่านอ๋อง คนที่เราส่งไปจับตาดูเยี่ยเม่ยถูกนางไล่กลับมาจากนั้นนางออกจากชายแดน ข้าน้อยก็ส่งคนติดตามไปอีก ครั้งนี้นางลงมือสังหารคนสองคน สายที่พวกเราส่งไปก็ไม่กล้าติดตามไปอีก กลับมาทั้งหมดแล้ว”
เป่ยเฉินอี้พยักหน้า หลับตาครุ่นคิด “นางออกไปหลังพบซือหม่าหรุ่ยหรือ”
“ไม่ผิด!” ชิงเกอพยักหน้า “บอกว่าจะไปหายาให้จิ่วหุน ทั้งออกไปอย่างร้อนรน ไม่ฝากคำพูดให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลยสักคำ ทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่พอใจมาก!”
เป่ยเฉินอี้ ฟังจบก็นิ่งไป ไม่ตอบอะไรชั่วคราว
ชิงเกอรีบถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านว่าเยี่ยเม่ยไปหายาให้จิ่วหุนจริงหรือไม่ หากไม่จริงนางจะไปที่ไหนได้”
เป่ยเฉินอี้นิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาหงส์คู่นั้นเปลี่ยนเป็นสุดหยั่งคาดได้ เอ่ยว่า “ชิงเกอ ความจริงหลายวันก่อนข้าละเลยปัญหาข้อหนึ่งไป”
“ท่านอ๋องหมายถึง…” ชิงเกองุนงง
เป่ยเฉินอี้รีบเอ่ย “ข้าเพียงคิดว่า ตามหลักแล้วหากเยี่ยเม่ยคืออาซี นางต้องไม่มีท่าทีสงบแน่ อีกอย่างเยี่ยเม่ยไม่เหมือนกับอาซีเลย แต่…หากเยี่ยเม่ยความจำเสื่อมเล่า”
“นี่…” ชิงเกอพลันชะงักไป คิดดูแล้วก็เอ่ยว่า “เรื่องนี้อาจเป็นไปได้ เพียงแต่…”
แต่ว่าศพของนางในยามนั้น พวกเขาหาพบแล้ว
เป่ยเฉินอี้เสริมต่อ “ไม่ว่าการคาดเดานี้ของข้าจะจริงหรือไม่ แต่หากเยี่ยเม่ยคืออาซี หลังจากไปสถานที่ตั้งเดิมของราชสำนักจงเจิ้งแล้ว เป็นไปได้มากว่า…นางจะไปแม่น้ำหมิง!”